“สำนักภูตผี...”
เนี่ยเทียนขมวดคิ้ว แอบสังเกตอันอิ่ง เจิ้งรุ่ย ในใจเต็มไปด้วยความสนใจ
นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้ออกจากเมืองเฮยอวิ๋นมาอย่างแท้จริง
ก่อนหน้านี้ เขาล้วนบำเพ็ญตบะอยู่แต่ในจวนตระกูลเนี่ย โตมาขนาดนี้ เื่ที่เขาได้ยินมามากที่สุดก็ล้วนเป็เื่ของสำนักหลิงอวิ๋น
สำนักภูตผี สำหรับเขาแล้ว นั่นคือสำนักแปลกใหม่ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนสำนักหนึ่ง
เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสำนักภูตผีแม้แต่น้อย ไม่เข้าใจว่าพวกพันเทาสามคนที่มาจากหอหลิงเป่า เหตุใดพอรู้ว่าคนของสำนักภูตผีปรากฏตัวอยู่ในโลกมายามรกตแล้วถึงได้หวาดกลัวไม่เป็สุขขนาดนั้น
ที่เหมือนเขาก็คือเด็กหนุ่มเด็กสาวที่มาจากเมืองทั้งเจ็ดแห่งนั้น ส่วนใหญ่ก็ล้วนไม่รู้จักสำนักภูตผี สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
มีเพียงเด็กหนุ่มสองคนที่เหมือนว่าจะรู้ที่มาที่ไปของสำนักภูตผีจากปากของผู้าุโในตระกูล
เมื่อพวกเขาได้ยินว่าคนของสำนักภูตผีเข้ามาในโลกมายามรกต พวกเขาล้วนหน้าซีดขาว ั์ตาเปี่ยมล้นไปด้วยความหวาดผวา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขากลัวสำนักภูตผียิ่งกว่าพวกอันอิ่งสามคนเสียอีก!
“พวกเ้าหลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อสำนักภูตผีมาก่อน ข้าจำเป็ต้องอธิบายให้พวกเ้าเข้าใจสักหน่อย” พันเทามองเนี่ยเทียน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง สีหน้าเคร่งเครียด “พวกเราและสำนักหลิงอวิ๋น หุบเขาเทา อารามเสวียนอู้ ถือเป็ผู้ฝึกลมปราณที่เป็พันธมิตรกัน ส่วนสำนักภูตผี สำนักโลหิต และวังยมบาลคือพันธมิตรผู้ฝึกลมปราณที่เป็ศัตรูกับพวกเรา”
“สำนักภูตผี สำนักโลหิต และวังยมบาล พลังอำนาจของพวกเขาสามสำนักไม่ด้อยไปกว่าพวกเราแม้แต่นิดเดียว”
“หลายปีมานี้ เพื่อ่ชิงโลกลึกลับ เพื่อเอาแร่วิเศษมา พวกเราสี่ฝ่ายและพวกเขาล้วนต่อสู้กันทั้งในที่ลับและที่แจ้งมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว”
“กาลเวลาที่ผ่านมายาวนาน อันที่จริงแล้วพวกเรายังไม่เคยเอาชนะพวกเขาได้อย่างแท้จริง ความสามารถของทั้งสองฝ่ายต่างก็สูสีกัน”
หยุดชะงักไปครู่หนึ่งพันเทาก็พูดต่อว่า “พวกเราสี่สำนักเองก็มีการแก่งแย่งกันอย่างลับๆ เช่นกัน ทว่าทุกอย่างล้วนอยู่ในขอบเขตที่สามารถควบคุมได้ โดยทั่วไปแล้วจะไม่เกิดการตายและการาเ็ที่ร้ายแรงนัก ทว่าทุกครั้งที่พวกเราสี่สำนักต่อสู้นองเืกับพวกเขา จำเป็ต้องมีคนาเ็และล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วน! ไม่เพียงแต่พวกเราที่อยู่ในระดับต่ำเท่านั้น แม้แต่ผู้าุโที่แข็งแกร่งของพวกเราสี่สำนักก็อาจตายไปเพราะเหตุนี้!”
“ทั้งสองฝ่ายก็เหมือนน้ำกับไฟ เจอกันเมื่อใด หากไม่มีใครตายไปข้างใดข้างหนึ่งก็จะไม่ยอมเลิกรา!”
“คราวนี้ในเมื่อมีคนของสำนักภูตผีเข้ามาในโลกมายามรกต ข้าเดาว่าเป้าหมายของพวกเขาก็คือสังหารพวกเรา!”
“เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่สัตว์วิเศษ แต่เป็พวกเรา! มีเพียงสังหารพวกเราจนสิ้นซากแล้วเท่านั้น พวกเขาถึงจะยอมออกไปจากโลกมายามรกต!”
ประโยคเหล่านี้จบลง ผู้ประลองทุกคนซึ่งรวมไปถึงเนี่ยเทียนต่างก็เงียบงัน
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนมาเป็ดำคล้ำไม่น่ามอง การปรากฏตัวของสำนักภูตผีในโลกมายามรกต คล้ายทำให้สนามรบนองเืก่อเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“พี่อันอิ่ง หรือพวกเราควร... กลับไปที่ประตูแห่งโลกลับ เอาข่าวเื่ที่สำนักภูตผีเข้ามาในโลกมายามรกตบอกให้กับพี่สาวของท่านรู้ก่อนดี?” เจียงเหมียวแนะนำด้วยความหวาดกลัว
เด็กหนุ่มเด็กสาวคนอื่นที่พอได้ยินข่าวเื่การมาเยือนของสำนักภูตผีต่างก็พยักหน้าติดๆ กัน พากันคล้อยตาม
“กลับไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด” อันอิ่งส่ายหัว ประโยคเดียวก็ดับความหวังของพวกเขาเสียสิ้น “หลังจากที่ทุกคนเข้ามาแล้ว ประตูของโลกลึกลับก็จะถูกปิดผนึกลงชั่วคราว ทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดแอบเข้ามาช่วยพวกเ้าในโลกมายามรกตได้”
“มีเพียงรอให้การประลองสิ้นสุดลง เมื่อกำหนดครึ่งปีมาถึง ประตูที่นำพวกเราออกไปจากโลกลึกลับถึงจะเปิดออกอีกครั้ง”
“ใน่เวลานี้ พวกเราจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง พวกเราออกไปไม่ได้ และพวกเขาก็เข้ามาไม่ได้เช่นกัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ไม่ว่าในโลกมายามรกตจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็จำเป็ต้องรอไปครึ่งปี”
“นั่นไม่เท่ากับว่าพวกเราต้องตายแน่ๆ หรอกหรือ?” กัวฉีร่ำร้องอย่างสิ้นหวัง “ไม่มีผู้ใดรู้ว่าคนของสำนักภูตผีมากันกี่คน อยู่ในขอบเขตใดกันบ้าง หากเป็พวกที่อยู่ในขั้นท้าย์ กลาง์ ภายในครึ่งปีนี้พวกเขาต้องฆ่าพวกเราจนเกลี้ยงแน่ เกรงว่าพวกเราคงไม่มีใครเหลือชีวิตรอดกลับไป ต่างก็คงต้องถูกคนของสำนักภูตผีทรมานอย่างโเี้จนตาย”
“ไม่ต้องเป็กังวลมาก” ในใจอันอิ่งแอบดูิ่ความขี้ขลาดของเขา ทว่าจำต้องพูดปลอบใจว่า “พวกคนของสำนักภูตผี สำนักโลหิต และวังยมบาล แม้ว่าจะกระหายเืและโหดร้ายอำมหิต ทว่าต่างก็โอหังอย่างถึงขีดสุด พวกเขารู้ว่าการประลองในโลกมายามรกตทุกครั้ง ผู้ประลองของสี่สำนักที่เข้ามาด้านในล้วนเป็เพียงผู้ที่อยู่ในขั้นหลอมลมปราณ”
“ด้วยนิสัยลำพองอวดดีของพวกเขา พวกที่ถูกจัดให้เข้ามาอยู่ในโลกมายามรกต เป็ไปได้มากถึงแปดเก้าส่วนว่าจะเป็เด็กรุ่นเล็กของสำนักซึ่งมีขอบเขตเดียวกันกับพวกเรา”
“เมื่อเป็ผู้ประลองที่อยู่ในขอบเขตเดียวกัน บางทีประสบการณ์ในการต่อสู้ของพวกเขาอาจจะมากกว่าพวกเรา อาจจะผ่านพิธีล้างบาปด้วยเืสดมาแล้ว ทว่าความสามารถที่แท้จริง... น่าจะพอๆ กับพวกเรา”
“ขอเพียงทั้งสองฝ่ายมีจำนวนคนไม่ต่างกันมากนัก ก็ไม่จำเป็เสมอไปที่พวกเราจะต้องเป็ฝ่ายถูกฆ่า!”
กัวฉีอึ้งตะลึงพร้อมกล่าวว่า “เ้าจะบอกว่า พวกคนของสำนักภูตผีที่เข้ามาต่างก็เหมือนกับพวกเรา ล้วนอยู่ในขอบเขตหลอมลมปราณเหมือนกันอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าเดาว่าเป็อย่างนั้น” อันอิ่งพยักหน้า
กัวฉีผ่อนลมหายใจ ความกล้าหาญถูกปลุกขึ้นมา แค่นเสียงกล่าวว่า “ทุกคนล้วนอยู่ในขอบเขตเดียวกัน พวกเราจะต้องกลัวอะไร? พี่อันอิ่ง ข้าเห็นว่าเมื่อครู่นี้พวกเ้ามีสีหน้าไม่ค่อยดีก็นึกไปว่าสำนักภูตผีส่งผู้แข็งแกร่งขั้นท้าย์และกลาง์มาเองเสียอีก หึ เพราะพวกเ้าสามคนนั่นแหละ ทำพวกเราตกอกใหมด” เขาแสร้งทำเป็วางท่าสบายๆ
คนอื่นๆ พอได้ยินกัวฉีพูดเช่นนี้ก็ดูเหมือนว่าจะผ่อนคลายมากขึ้น
แม้แต่เนี่ยเทียนเองที่ตอนแรกตื่นเต้นก็ยังสงบลงอย่างรวดเร็ว พูดกับตัวเองในใจว่า “ถ้าเป็แค่ขอบเขตหลอมลมปราณ สำนักภูตผี... ก็อาจจะไม่น่ากลัวเท่าไหร่นัก”
มีเพียงอันอิ่ง พันเทา เจิ้งรุ่ยสามคนเท่านั้นที่ไม่ผ่อนคลายแม้แต่นิด พวกเขามองหน้ากัน ต่างก็มองออกถึงความขมขื่นในดวงตาของอีกฝ่าย
เพราะพวกเขาเข้าใจความน่ากลัวของสำนักภูตผี สำนักโลหิต และวังยมบาลเป็อย่างดี
ลูกศิษย์ทุกคนของสามสำนักนี้ต่างเติบโตขึ้นมาท่ามกลางการเข่นฆ่าและการนองเื ทุกคนล้วนมองการฆ่าคนเป็เื่ธรรมดาพอๆ กับการกินดื่มถ่ายนอน
แม้แต่พวกเขาที่มาจากหอหลิงเป่าเอง ในด้านการสู้รบก็ยังห่างชั้นกันไกลนัก ทำได้เพียงอาศัยอาวุธวิเศษมาชดเชยความเสียเปรียบในด้านนี้
ส่วนพวกกัวฉีที่มาจากตระกูลในสังกัด พวกเขาเชื่อว่าหากได้ต่อสู้กับคนของสำนักภูตผี ก็อาจจะใวิธีการอำมหิตกระหายเืของอีกฝ่ายจนจิตใจแตกสลายไปเลยก็เป็ได้
คนเหล่านี้ต่างก็เป็ดอกไม้ที่ถูกปลูกในเรือนกระจก ไม่มีใครเคยเผชิญความทรมานจากลมฟ้าลมฝนโหมกระหน่ำ
ที่ทั้งสี่สำนักร่วมมือกันจัดการประลองในโลกมายามรกต ก็เพราะรู้ว่าพวกเขาขาดประสบการณ์การต่อสู้อย่างรุนแรง ้าขัดเกลาพวกเขาล่วงหน้า เพื่อให้พวกเขาค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับการต่อสู้นองเืที่ต้องเจอในวันหน้าได้
ทว่าการประลองโลกมายามรกตของพวกเขายังไม่ทันสิ้นสุดลงก็ต้องเผชิญหน้ากับลูกศิษย์ของสำนักภูตผีที่เคยชินกับการเข่นฆ่าจนติดเป็นิสัยเสียแล้ว
สำหรับพวกเขาแล้ว นี่ถือเป็เื่ที่โหดร้ายเกินไป
หลังจากพวกอันอิ่งสามคนแลกเปลี่ยนสายตากันแล้ว ต่างก็ไม่ได้พูดถึงความน่ากลัวของสำนักภูตผีอย่างละเอียด หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขาใกลัวจนหมดสิ้นพลังในการต่อสู้
“ตึง ตึง! ตึง ตึง ตึง!”
และเวลานี้เอง เสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้ก็พลันดังมาจากทิศที่ห่างออกไปไกล
อันอิ่งหน้าเปลี่ยนสีทันควัน นางตบหัวตัวเองอย่างแรง กล่าวด้วยความเสียใจที่ทำผิดพลาดว่า “แย่แล้ว ลืมไปว่าควรไปจากที่นี่ก่อน!” นางเงยหน้ามองท้องฟ้าหนึ่งครั้ง
เนี่ยเทียนเงยหน้า พอมองเห็นว่าควันดำบนท้องฟ้ายังไม่สลายหายไปก็เข้าใจได้ทันที
สัญญาณที่พันเทาเป็ผู้ส่งออกไป กลายเป็ควันดำที่ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าเป็เส้นตรง ควันดำเ่าั้พวกอันอิ่งและเจิ้งรุ่ยสามารถมองเห็น คนอื่นๆ ก็ย่อมมองเห็นเหมือนกัน
ขอแค่อยู่ในรัศมีสิบลี้ ขอแค่เงยหน้ามองท้องฟ้าก็จะมองเห็นควันเข้มข้นที่ยังคงลอยอยู่
หลังจากพวกอันอิ่งมารวมตัวกันแล้วก็เอาแต่พูดถึงความน่ากลัวของสำนักภูตผี ไม่ได้รีบหนีไปตรงนี้เสียก่อนเป็อันดับแรก นี่ถือเป็ความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง!
“หอหลิงเป่า! เป็พวกเ้า!”
เด็กหนุ่มที่สวมอาภรณ์สีเทา เห็นได้ชัดว่ามาจากหุบเขาเทา เนื้อตัวเต็มไปด้วยเื ถือกระบี่เล่มเล็กที่หักครึ่งท่อนวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาด้วยความรีบร้อน
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและคับแค้น พอมองเห็นพวกอันอิ่งก็ราวกับเห็นดาวช่วยชีวิต รีบกรีดร้องเสียงแหลมด้วยความดีใจทันที
“ช่วยข้าด้วย! พวกเราถูกสำนักภูตผีโจมตี สหายร่วมกลุ่มของข้าสองคนตายไปแล้ว มีเพียงข้าที่หนีรอดมาได้!” เขาห้อตะบึงมาอย่างบ้าคลั่ง ยังคงหันไปมองด้านหลังอยู่เป็ระยะ ราวกับว่าคนของสำนักภูตผีอยู่ด้านหลัง
“มีคนของสำนักภูตผีกี่คนที่ไล่ฆ่าเ้า?” อันอิ่งตวาดถาม
“สามคน! อยู่ด้านหลังข้านี่เอง พวกเ้าต้องระวังให้มากหน่อย เดี๋ยวพวกมันก็ตามมาทันแล้ว!”
เด็กหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีเทาฝีเท้าโซซัดโซเซ หลังจากผ่านพวกอันอิ่ง พันเทาและเจิ้งรุ่ยมาได้ก็มุดตัวเข้ามาอยู่ในกลุ่มพวกเนี่ยเทียน
บัดนี้ทุกคนที่กำลังตื่นตระหนกไปกับคำพูดของเขาล้วนหันไปมองยังทิศทางที่เขาวิ่งมาด้วยความกระวนกระวาย
ราวกับว่านาทีต่อจากนี้ไปจะมีลูกศิษย์ของสำนักภูตผีสามคนพุ่งเข้ามาฆ่าฟันอย่างบ้าคลั่ง
“ไม่ถูกสิ!”
เนี่ยเทียนตวาดเสียงดัง ไม่มีเวลาให้คิดมากอีก รีบลงมือกับเด็กหนุ่มหุบเขาเทาคนนั้นทันที
“ตูม!”
หมัดที่รวบรวมพลังิญญาเข้มข้นของเขาพลันต่อยโครมลงไปที่เด็กหนุ่มคนนั้น เด็กหนุ่มที่ลนลานและหวาดกลัวในดวงตาเริ่มถูกแทนที่ด้วยความเ้าเล่ห์อย่างชัดเจน ถูกสถานการณ์เร่งด่วนบีบให้รีบถอยหลังออกห่าง
“เนี่ยเทียน! เ้าคิดจะทำอะไร!”
กัวฉีที่อยู่ใกล้เด็กหนุ่มคนนั้นมากที่สุดหน้าซีดขาวทันควัน ถลึงตาใส่เขาอย่างดุดัน “ข้ารู้ว่าเ้ามีความแค้นกับพวกหยวนเฟิง แต่ในเมื่อสำนักภูตผีปรากฏตัวแล้ว เ้าก็จำเป็ต้องวางความแค้นลงชั่วคราว! เขาาเ็ถึงขนาดนี้ เ้ายังฉวยโอกาสลงมืออย่างเหี้ยมโหด เ้ามียางอายบ้างหรือไม่?”
“เ้าจะไปเข้าใจอะไร!” เนี่ยเทียนแผดเสียงอย่างโมโห ไม่ได้สนใจเขาแม้แต่นิด พุ่งเข้าใส่เด็กหนุ่มของหุบเขาเทาคนนั้นอีกครั้ง “กัวฉี! เ้าน่ะเกือบตายไปแล้ว!”
“เ้าน่ะสิที่ตาย!” กัวฉีกล่าวเดือดดาล
และเวลานี้เอง เด็กหนุ่มหุบเขาเทาที่หลบการโจมตีของเนี่ยเทียนไปได้ พอมาหยุดอยู่ข้างกายคนอีกคนหนึ่ง กระบี่หักในมือของเขาก็แทงพรวดออกไป
คนผู้นั้นไม่รู้สึกตัวแม้แต่นิด เหม่อมองเด็กหนุ่มหุบเขาเทาด้วยความอึ้งงัน ยังคงตั้งตัวไม่ทัน
ตอนที่เขาตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากล กระบี่หักในมือของเด็กหนุ่มหุบเขาเทาผู้นั้นก็เสียบทะลุหน้าอก ผ่านหัวใจด้านหลังของเขามาเรียบร้อยแล้ว
“หึ หึ!”
เด็กหนุ่มหุบเขาเทาผู้นั้นแสยะยิ้มชั่วร้าย พอฆ่าคนได้เขาก็มองเนี่ยเทียนหนึ่งครั้ง แล้วจึงวิ่งออกไปไกลอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ไม่คิดหยุดอยู่ต่อ
“หวงเย่ตายแล้ว!”
“เขาฆ่าหวงเย่!”
จนถึงกระทั่งบัดนี้ ทุกคนถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ร้องโหยไห้ด้วยความตกตะลึงและลนลาน
พวกอันอิ่งสามคนที่เดิมทีจดจ่ออยู่กับทิศทางที่เด็กหนุ่มหุบเขาเทาวิ่งมา รอคอยให้ลูกศิษย์สำนักภูตผีปรากฏตัวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงกัวฉีและเนี่ยเทียนทะเลาะกัน พอหมุนตัวกลับไปมอง ทุกอย่างก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว
หวงเย่ถูกสังหารแล้ว!
“เขาคือลูกศิษย์สำนักภูตผี!” ในที่สุดพันเทาก็ตระหนักรู้
“ฮ่าๆ! เ้าพวกโง่เขลาเบาปัญญานัก! คนอย่างพวกเ้าอย่าได้หวังว่าจะมีชีวิตรอดออกไปจากโลกมายามรกต!” เด็กหนุ่มคนนั้นถอยร่นอย่างรวดเร็ว ทั้งยังกล่าวเสียดสีอย่างโอหังไปด้วยว่า “คอยดูเถอะ พวกเราจะสังหารพวกเ้าทุกคนจนสิ้นซาก! คราวหน้าเมื่อข้าปรากฏตัวอีกครั้ง จะไม่มีเพียงข้าคนเดียวอีก!”
“ฟิ้ว!”
ควันอ่อนๆ สีเขียวเส้นหนึ่งล่องลอยอยู่ท่ามกลางต้นไม้น้ำแข็งโปร่งแสงที่เขาเข้าไปซ่อนตัว จากนั้นก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว
“ข้า ข้า...”
กัวฉีใจนเหงื่อเย็นๆ ไหลพรากไปทั้งร่าง มองเนี่ยเทียนที่ใบหน้าเ็าราวเกล็ดน้ำแข็ง เขาไม่รู้แล้วว่าควรจะเอ่ยปากอย่างไร
ทว่าในใจของเขารู้ดี เมื่อครู่เด็กหนุ่มคนนั้นอยู่ใกล้เขามากที่สุด หากไม่เป็เพราะเนี่ยเทียนะเิอารมณ์ขึ้นมา เด็กหนุ่มคนนั้นไม่มีทางหลีกออกไป และต้องลงมือกับเขาแน่นอน
และก็เป็อย่างที่เนี่ยเทียนพูด เมื่อครู่... เขาเกือบจะตายไปแล้ว
“ก็เพราะว่าข้ามีความแค้นกับพวกหยวนเฟิง ดังนั้นตอนที่พวกเขา้าให้พวกเ้าส่งตัวข้า ข้าถึงได้จดจำใบหน้าของพวกเขาทุกคน!” เนี่ยเทียนสายตาเ็าพูดต่อว่า “ข้าจดจำท่าทางของพวกเขาทุกคนได้อย่างแม่นยำ เพราะว่าจะคิดบัญชีกับพวกเขาทีละคนในภายหลัง! และคนผู้นั้นก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนของหุบเขาเทา!”
“ข้าขอโทษ ข้า... ข้าผิดไปแล้ว” กัวฉีก้มหน้าลง
------