บทที่ 83 สมุดบันทึกเล่มน้อยจดเพิ่มอีกหนึ่งเื่
หลังจากออกมาจากที่ทำการไปรษณีย์ สวี่จือจือยังรู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวบนใบหน้า เธออดไม่ได้ที่จะต่อว่าลู่จิ่งซานในใจ หมอนี่ต้องตั้งใจแกล้งเธอแน่ๆ! ไม่งั้นเื่สำคัญขนาดนี้ทำไมไม่บอกกันก่อน!
อ๊า...อายจัง!
เธอปั่นจักรยานไปยังร้านสหกรณ์ คุณนายลู่ชอบกินขนมขบเคี้ยว โดยเฉพาะขนมเค้กไข่ของร้านสหกรณ์ เนื้อนุ่ม ไม่แข็ง กินง่าย
เลือกซื้อขนมเค้กไข่เสร็จแล้ว เธอก็ซื้อลูกอมผลไม้ให้เจินเจิน สวี่จือจือกำลังจะจ่ายเงินก็ได้ยินเสียงพูดคุยของผู้หญิงสองคนที่อยู่ข้างๆ “ปีนี้ไม่รู้ว่าเขาจะเอาขนมไหว้พระจันทร์แบบไหนมาให้พวกเราที่นี่นะ? ถ้าเป็แบบที่มีเปลือกส้มเชื่อมแบบปีที่แล้ว ไม่อร่อยเลยสักนิด”
“ไม่อร่อย?” ผู้หญิงร่างอวบอีกคนหัวเราะเยาะ “แค่นี้ก็ยังแย่งกันแทบตายแล้ว เธอยังบ่นว่าไม่อร่อยอีก”
ตอนนี้ขนมไหว้พระจันทร์ก็มีจำนวนจำกัด แถมยังต้องมีคูปองถึงจะซื้อได้
สวี่จือจือถึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าอีกยี่สิบกว่าวันก็จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น เธอก็ได้ยินผู้หญิงร่างผอมที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “ฉันได้ยินมาว่าทางเมืองหลวงมีขนมไหว้พระจันทร์ไส้ไข่เค็มด้วย แล้วก็ไม่แข็งเหมือนขนมไหว้พระจันทร์ของเราด้วย”
“ฟังดูน่ากินมากเลยนะ” ผู้หญิงร่างอวบทำหน้าอิจฉา แล้วก็ถอนหายใจ “แต่ที่แบบเราคงไม่มีหรอก”
เมืองหลวง? สถานที่เล็กๆ อย่างพวกเขาจะไปเทียบกับเมืองหลวงได้ยังไง?
สวี่จือจือคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ไปที่ร้านขายธัญพืชและน้ำมันอีกครั้ง เธอซื้อถั่วแดงและกระดาษไขมา
ขนมไหว้พระจันทร์...ขนมไหว้พระจันทร์ ชาติก่อนเธอชอบกินไส้ถั่วแดงและไข่เค็มมากที่สุด แถมยังเคยทำขนมไหว้พระจันทร์กินกับแม่เลี้ยงด้วย ถึงแม้จะไม่ได้ห่อสวยงามเหมือนขนมไหว้พระจันทร์ที่ขายตามท้องตลาด แต่รสชาติก็ดีเป็พิเศษ โดยเฉพาะหลังจากวันชาติ เมื่อเธอนำไปที่หอพักรูมเมทหลายคนกินแล้วต่างก็ชมไม่ขาดปาก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สวี่จือจือก็รู้สึกว่าจักรยานที่เธอปั่นอยู่แทบจะมีลมติดปีก
ใครจะรู้ว่าพอเข้าหมู่บ้านได้ไม่นาน เธอก็ได้ยินเสียงด่าทอ มีผู้หญิงหลายคนเห็นเธอขี่รถกลับมา แล้วรีบเข้ามาพูดคุยกับเธอ “จือจือ เธอมาแล้วเหรอ รีบกลับไปดูที่บ้านเร็วเข้า ที่บ้านเธอกำลังวุ่นวายกันอยู่นะ”
สวี่จือจือถามว่าทำไมถึงวุ่นวาย?
“ไม่ใช่เพราะยุวปัญญาชนหญิงคนนั้นหรอกเหรอ” สะใภ้คนหนึ่งเบ้ปากพูด “รังเกียจที่จะให้พวกเขาย้ายไปอยู่ที่เพิงข้างบ้าน ก็เลยไม่พอใจน่ะสิ”
“เพิงข้างบ้านทำไม?” ผู้หญิงคนหนึ่งพูด “คิดว่าตัวเองเป็นางฟ้าบน์หรือไง? เพิงข้างบ้านอยู่ไม่ได้เหรอ? พวกเขาอยู่ในเมือง แม้แต่เพิงข้างบ้านแบบนี้ก็ยังอยู่ไม่ได้เลยนะ”
ผู้หญิงที่พูดอยู่นี้อาศัยอยู่ในเพิงข้างบ้าน ซึ่งเป็ครอบครัวห้าคนที่อยู่ด้วยกัน
“ฉันได้ยินมาว่าพวกเขาอาศัยอยู่ในตึกแถว หลายชั่วอายุคนเบียดกันอยู่ในรังเล็กๆ ไม่มีที่ให้แม้แต่จะหันตัว”
สวี่จือจือไม่ได้หยุดพัก เดินทางด้วยจักรยานกลับบ้านอย่างรวดเร็ว แต่ก็ได้ยินเสียงของเหอเสวี่ยฉินอยู่ไกลๆ “หยวนหยวน ถือว่าน้าเหอขอร้องนะ ได้ไหม? น้องชายเธอจะแต่งงานทั้งทีก็ไม่ง่ายเลย”
“เขาแต่งงานยากแล้วใครง่ายบ้างคะ?” สวี่จือจือจอดจักรยาน มองเหอเสวี่ยฉินที่กำลังเศร้าโศกเสียใจ แล้วส่งของในมือให้ลู่ซืออวี่ “เอาเข้าไปวางก่อน”
เธอหันกลับมามองอันฉิน แล้วมองไปที่โจวเป่าเฉิง “เขาเป็คนไม่เอาไหน วันๆ เอาแต่กินๆ นอนๆ จะแต่งงานทั้งทีต้องให้พวกเราทั้งบ้านคอยรับใช้อย่างนั้นเหรอ?”
“มาพูดเื่พี่น้องอะไร?” เธอหัวเราะเยาะ “ในฐานะที่เป็พี่สาว เลี้ยงลูกสาวคนเดียวก็ยากมากพอแล้ว ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยยังไม่พอ ยังใช้ศีลธรรมมาบังคับขู่เข็ญหล่อนอีก?”
“ทำไมเหรอคะ?” สวี่จือจือพูดอย่างเ็า “ถ้าไม่ให้บ้านหลังนี้ พวกเขาจะไปเร่ร่อนที่ไหน หรือว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว? พวกเขาสองคนอยู่เพิงข้างบ้านไม่ได้?” สวี่จือจือชี้ไปที่ลู่ซือหยวนและเจินเจิน “แล้วทำไมมีแค่สองแม่ลูกคู่นี้ที่ต้องอยู่?”
“แล้วอีกอย่าง บ้านหลังนี้พี่ซือหยวนเช่ามาจากหมู่บ้านด้วยความสามารถของตัวเอง” เธอพูดอย่างเฉยเมย “พวกคุณเก่งก็ไปสร้างบ้านเองสิ ไม่มีใครห้าม”
“พี่หยวนหยวน พวกเราเข้าไปข้างในกัน” เธอดึงลู่ซือหยวนแล้วมองอันฉินอย่างเฉยเมย “ฉันได้ยินมาว่าบ้านเธออยู่ที่เมืองหลวงเหรอ?”
“แล้วมันทำไม?” อันฉินหน้าถมึงทึง
“ก็ไม่ทำไม” สวี่จือจือหัวเราะเยาะ “แค่จะถามยุวปัญญาชนอันหน่อยว่า บ้านสามสิบตารางเมตรที่เมืองหลวงสามารถอยู่ได้ทั้งครอบครัวสามรุ่นเจ็ดชีวิต แล้วทำไมพอมาอยู่ที่หมู่บ้านผานสือของฉัน เพิงข้างบ้านที่ใหญ่กว่าถึงอยู่ไม่ได้? หรือว่าบ้านสามสิบตารางเมตรที่เมืองหลวงมันใหญ่มาก? ฉันเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวเลขไปหรือเปล่า?”
ใบหน้าของอันฉินแดงก่ำขึ้นมาทันที จ้องมองสวี่จือจืออย่างตกตะลึง เื่นี้แม้แต่คนที่อยู่ในกลุ่มยุวปัญญาชนก็ยังไม่รู้เลย สวี่จือจือรู้ได้ยังไง?
สวี่จือจือไม่รู้อะไรหรอก เพียงแต่ตอนที่อ่านนิยายเหมือนจะเคยได้ยินนักเขียนพูดถึงอะไรทำนองนี้ว่า รังหนูเล็กๆ สามสิบตารางเมตร แล้วได้ยินผู้หญิงในหมู่บ้านพูดกันก็เลยอยากจะลองปั่นหัวอันฉินดู ปรากฏว่าได้ผลจริงๆ แล้วทำไมต้องดูถูกคนชนบทด้วย? นับย้อนหลังไปสามรุ่นก็แทบจะไม่ต่างอะไรกัน
“จือจือเอ๊ย” คนที่อยากรู้อยากเห็นถามขึ้น “สามสิบตารางเมตรมันคืออะไร? มันใหญ่แค่ไหนกัน?”
พวกเขาพูดถึงพื้นที่ของบ้านเป็ห้องๆ เช่น ฐานสามห้องเป็ต้น สามสิบตารางเมตรมันใหญ่แค่ไหนกันแน่?
“อ้อ” สวี่จือจือยิ้มแล้วพูดกับคนนั้น “ลุงเดินไปข้างหน้าหกก้าวแล้วหยุด เดินไปทางซ้ายอีกห้าก้าว แล้วเดินไปทางซ้ายอีกหกก้าว จากนั้นเดินกลับไปที่เดิม กรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้านี้ก็ประมาณสามสิบตารางเมตรค่ะ”
คนคนนั้นรีบก้าวเท้าไปวัด
“ความจริงแล้วมันเล็กกว่าเพิงข้างบ้านนิดหน่อย” สวี่จือจือพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่ถ้าจะอยู่กันทั้งครอบครัวสามรุ่นเจ็ดชีวิตก็ต้องกั้นห้อง แล้วก็มีเตียงสองชั้นด้วย ไม่มีลานบ้านอะไรด้วย ทำอาหารฉันได้ยินมาว่าทำกันในทางเดิน แทบจะหันตัวไม่ได้”
“ถ้าอย่างที่เธอว่า ชนบทของเราดีกว่าจริงๆ นั่นแหละ” มีคนพูดด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอนสิคะ” สวี่จือจือพยักหน้าอย่างจริงจัง “ถึงแม้รัฐจะไม่แจกจ่ายอาหารให้ แต่พวกเราอยู่ดีกินดี กินผักที่ปลูกในสวนเอง สดใหม่มาก”
ในยุคนี้สวี่จือจือคิดว่าอยู่ในชนบทดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลเื่อาหารการกิน ไม่เหมือนในเมือง อยากกินผักสีเขียวสักหน่อยก็ต้องเข้าคิวรอนาน พอถึงคิวตัวเองผักก็เหี่ยวหมดแล้ว
ในชั่วพริบตา ทุกคนก็เริ่มพูดคุยกัน เริ่มเล่าเื่ไร้สาระกัน
อันฉินโกรธจนแทบคลั่ง เธออยากจะอธิบาย แต่ตอนนี้ใครจะฟังเธอ?
เหอเสวี่ยฉินโกรธจนแทบตาย เดิมทีวันนี้อันฉินมาหาเธอก็ไม่ค่อยพอใจอยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้แต่งสะใภ้เข้ามา เธอจะทำอะไรได้? ก็ต้องอดทนไว้ก่อน พอดีกับที่สวี่จือจือไม่อยู่บ้าน เธอรีบดึงอันฉินและโจวเป่าเฉิงมาขอร้องลู่ซือหยวน
เดิมทีคิดว่าลู่ซือหยวนคงจะทนไม่ไหวตกลงไปแล้ว ใครจะรู้ว่าสวี่จือจือกลับมาพอดี พูดไม่กี่คำก็ทำให้เธอพูดอะไรไม่ออก
จะโทษใครได้? หรือต้องโทษลูกชายของเธอที่ไม่มีน้ำยา?
แต่เหอเสวี่ยฉินไม่คิดอย่างนั้น เธอจะจดเื่นี้ใส่สมุดบันทึกเล่มน้อยของเธอให้สวี่จือจืออีกหนึ่งเื่
นังแพศยานี่ เมื่อก่อนเธอควรจะโยนมันทิ้งไว้ในกองหิมะให้แข็งตาย หรือโยนลงท่อระบายน้ำให้จมน้ำตายไปซะ!
อันฉินอึดอัดจนแทบตายแล้ว โดยเฉพาะเมื่อสบสายตากับเมิ่งไห่หยางในกลุ่มคน เธอก็อยากจะแทรกแผ่นดินหนีไป!
.............................