หรงซิวพูดได้ดี จนทำให้อวิ๋นอี้โกรธมิลงเลย
ทั้งสองกลับไปที่ห้องด้วยความคิดที่ต่างกัน เซียงเหอนำยาทามาให้หลอดหนึ่ง บอกว่าเผยยวนอี้ให้มา
เขารับมาแล้วโยนมันลงบนโต๊ะ จากนั้นก็อาบน้ำให้นางราวกับว่ามิมีสิ่งใดเกิดขึ้น ทว่าเขามิได้ใช้ยาที่เผยยวนอี้ให้มา
“นี่เป็ยาลบรอยแผลเป็จากในวัง ได้ผลดีมาก” เขาอธิบายกับนางด้วยดวงตาที่สดใส
อวิ๋นอี้เม้มปาก ไม่พูดกระไรทำลายความตั้งใจของเขา
แผลที่มือเล็กมาก แม้จะมิได้ใช้ยา อีกไม่กี่วันแผลหายดีได้
ส่วนจะทิ้งรอยแผลเป็หรือไม่นั้น มิได้อยู่ที่ใบหน้าสักหน่อย ถึงจะเกิดเป็แผลเป็นางก็ไม่สนใจหรอก
เซียงเหออาบน้ำให้นางเสร็จ นางสวมชุดด้านในบางๆ พลันเห็นหรงซิวนั่งเหม่อลอยอยู่ที่โต๊ะ จึงเดินไปเอามือลูบไหล่เขาเบาๆ “เหม่อกระไรเพคะ?”
“เมียจ๋า” เขาชอบชื่อเรียกนี้มากและดูเหมือนจะติดปาก "เ้ามาพอดีเลย ช่วยข้าดูภาพนี้หน่อยสิ"
มีภาพวาดอยู่บนโต๊ะ เป็เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อายุไม่เกินสี่ห้าขวบ นางมีดวงตาสีดำและสุกใส ถูกคลุมด้วยผ้าคลุมด้านล่างเพื่อมิให้ผู้ใดเห็นใบหน้าที่แท้จริงของนาง
ั์ตาของสาวน้อยช่างงดงามยิ่งนักและเห็นได้ว่าโตมาจะต้องงามมากเป็แน่
“นี่คือ..." อวิ๋นอี้ถามอย่างลังเลว่า "องค์หญิงตัวน้อยที่หายไปของราชวงศ์เป่ยิใช่หรือไม่เพคะ?"
"ใช่แล้ว!" หรงซิวยืนยันการคาดเดาของนางและบีบมือนาง “เพียงแต่ว่ายิ่งข้ามอง ข้ายิ่งรู้สึกว่าเด็กคนนี้คุ้นหน้านะ?”
“คุ้นหรือ?” อวิ๋นอี้ขมวดคิ้ว จ้องไปที่กระดาษด้วยสายตาจริงจัง
วาดเพียงตาคู่เดียว ที่จริงมันมองไม่เห็นกระไรเลย ทว่าแปลกที่เหมือนกับที่หรงซิวบอกจริงๆ ยิ่งดูยิ่งรู้สึกคุ้น เหมือนว่าเคยเห็นที่ใดสักแห่ง
นางเกาหู ขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “ข้าคุ้นเพคะ ทว่านึกมิออกว่าเป็ผู้ใด องค์ชายใหญ่ให้ภาพนี้มาแค่ภาพเดียวหรือเพคะ? มิมีอย่างอื่นหรือเพคะ?”
“มิมีแล้ว” หรงซิวส่ายหน้า “ให้มาเพียงครึ่งหน้าจะให้ข้าหาคนให้เขาได้ที่ใดกัน! นี่มันยากเกินไปแล้ว!"
"พวกเขามิเคยเห็นองค์หญิงน้อยหรือเพคะ?" อวิ๋นอี้ยากที่จะเชื่อ “ล้วนอยู่ในวังเดียวกัน น่าจะเคยเห็นสิ มิฉะนั้นลอง...”
“มิเคยเห็น” หรงซิวหงุดหงิดเล็กน้อย ถอนหายใจด้วยอารมณ์หดหู่ “องค์หญิงน้อยเกิดมาก็สวมผ้าคลุมหน้าั้แ่เด็ก แม้แต่องค์ฮ่องเต้เองยังเห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางน้อยครั้ง"
“เป็เช่นนั้นไปได้อย่างไรเพคะ?” อวิ๋นอี้ใ "ใส่ผ้าคลุมหน้า...เพราะหน้าตา..."
"เื่หน้าตายังบอกมิได้ ว่ากันว่าที่องค์หญิงคลุมหน้าเพราะถือเคล็ด เคยมีคนทำนายดวงชะตาว่าอย่าเปิดเผยหน้าตาขององค์หญิงก่อนสิบขวบ มิฉะนั้นจะถึงแก่ความตาย" หรงซิวปวดหัวและกุมขมับ “ผู้คนมากมายเหลือเกิน จะให้ข้าไปหาจากที่ใด? เมื่อตอนกลางวันได้เจอคนสวมผ้าคลุมอยู่สองสามคน ทว่ามิใช่สักคน”
เื่นี้อวิ๋นอี้มิได้รับผิดชอบ แต่นางคิดๆ ดูก็รู้ว่าเื่นี้ยาก
แม้จะยากลำบากเพียงใด องค์ชายแห่งเป่ยิมาขอความช่วยเหลือทั้งที และฮ่องเตี้อวี่ซวนก็รับสั่งให้หรงซิวรับผิดชอบ จะอย่างไรเขาก็ต้องทำ
หรงซิวถอนหายใจยาว คว้ามือของนางไปเล่น
อวิ๋นอี้โดนเขาเกาฝ่ามือจนจั๊กจี้ พลันดันเขาออกเบาๆ “พอแล้วเพคะ อย่าคิดมากเลย หากหามิได้จริงๆ ก็บอกเขาไปว่าเราหาไม่เจอ พยายามช่วยอย่างเต็มที่แล้ว ผลลัพธ์เป็ไปดั่งใจมิได้ เช่นนั้นเราก็ไร้ปัญญาแล้ว”
"เมียจ๋าพูดถูก" หรงซิวมองดูปากที่ขยับของนาง พลันมีความคิดอื่น เขารีบม้วนกระดาษเก็บ ลุกและอุ้มนางขึ้นมา "ค่ำคืนนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน เรานอนกันได้แล้ว"
เขาดุดันเป็พิเศษในคืนนี้
ในตอนท้าย ดึงดันจะให้นางเรียกชื่อของเขา อวิ๋นอี้เรียกเขาอย่างอ่อนโยน ทำให้เขาบ้ายิ่งกว่าเดิมจนนางแทบจะตายเสียให้ได้
ผลที่ตามมาของการปล่อยตัวคืออวิ๋นอี้เ็ปไปทั้งตัวในวันรุ่งขึ้น โชคดีที่นางมิมีกระไรทำตอนกลางวัน จึงนอนได้จนถึงบ่ายก่อนจะลุกขึ้นออกมาเดิน
และมาถึงที่เรือนของเสี่ยวมู่อวี่อย่างมิรู้ตัว
เมื่อนางได้ยินเสียงการอ่านออกเสียงจากข้างใน นางพลันอดมิได้ที่จะโค้งมุมปาก เซียงเหอที่อยู่ข้างๆ เห็นก็รีบพูดว่า “พระชายาเพคะ สองสามวันมานี้นายน้อยตั้งใจเรียนจริงเชียวล่ะเพคะ!”
“โอ้?” อวิ๋นอี้เลิกคิ้ว ฮัมเสียงด้วยหน้านิ่ง "หายากนะเนี่ย"
"ใช่เพคะ แม้แต่ท่านอาจารย์ยังแปลกใจเลย!" เซียงเหอกล่าวอย่างมีความสุข "ไม่ว่าจะเป็การอ่านหรือการเขียน นายน้อยก็จริงจังมากเลยเพคะ มิซนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว พระชายาคิดว่าเหตุใดนายน้อยถึงเป็เด็กดีขึ้นมากะทันหันเช่นนี้เพคะ ข้าชักจะไม่ชิน!”
มันมิใช่แค่ไม่ชินนะ ทั้งยังใมากเลยต่างหาก!
อวิ๋นอี้มิรู้ว่าเสี่ยวมู่อวี่คิดกระไรอยู่ จึงได้เพียงยิ้มตอบ “บางทีอาจจะเป็ตกปลาสองวันตากแหสามวันก็ได้” [1]
พวกนางกำลังพูดกันอยู่ เสียงการอ่านก็พลันจบลง
ไม่นานท่านอาจารย์ก็เดินโซเซออกมา เมื่อเห็นอวิ๋นอี้ เขาก็ทำความเคารพอย่างช้าๆ
“ท่านอาจารย์เกรงใจเกินไปแล้วเ้าค่ะ!" อวิ๋นอี้รีบให้เซียงเหอไปช่วยพยุงเขา “ขอบคุณที่ช่วยสอนเขานะเ้าคะ”
“ข้าน้อยควรทำพ่ะย่ะค่ะ” อาจารย์สง่างาม พูดจาไม่ช้าไม่เร็วและมีท่วงที “ข้าน้อยยังมีธุระ ขอตัวนะพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากส่งอาจารย์ไปแล้ว อวิ๋นอี้ก็พาเซียงเหอมาหาเสี่ยวมู่อวี่
หนุ่มน้อยนั่งตัวตรง กำลังขมวดคิ้ว ฝึกเขียนหนังสือทีละเส้น
ดูเหมือนเขาจะจริงจังมาก มิได้สังเกตด้วยซ้ำว่าพวกนางเข้ามาเมื่อใด
เซียงเหออยากจะพูดขัดจังหวะเขา แต่ถูกอวิ๋นอี้ห้ามไว้ ผู้ใดจะรู้ว่าปฏิสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจะส่งผลต่อเสี่ยวมู่อวี่ เขาเงยหน้าขึ้นเห็นอวิ๋นอี้ จึงรีบวางพู่กัน พลันวิ่งมากอดขานาง
“ท่านแม่ราคาถูก! ท่านมาหาข้าแล้ว!”
อวิ๋นอี้ลูบหัวเขา “อื้ม ข้าได้ยินมาว่าสองวันนี้เ้าเก่งมาก ข้ามาชมเ้า”
เสี่ยวมู่อวี่ยิ้มจนตาเหลือขีดเดียว "เช่นนั้นท่านแม่เอาของอร่อยมาให้ข้าหรือไม่?"
นางแตะปลายจมูกเขา "เ้าเด็กเห็นแก่กิน!"
แม้ว่าจะพูดเช่นนั้นแต่อวิ๋นอี้ยังสั่งให้เซียงเหอเอาอาหารที่เตรียมไว้ส่งให้เขาบนโต๊ะ
เมื่อเสี่ยวมู่อวี่เห็นอาหารก็วิ่งเร็วมาก รีบทิ้งนางทันที วิ่งไปข้างหน้าเขย่งดูเห็นว่ามีปีกไก่และคอเป็ดเต็มไปหมด พลันอยากทานจนน้ำลายไหล
“ขอบคุณพ่ะย่ะค่ะท่านแม่!”
พูดเสร็จเขาก็ก้มหน้าทานทันที
อวิ๋นอี้นั่งลง เช็ดมุมปากเขาด้วยผ้าเช็ดหน้า "ทานช้าๆ มิมีใครแย่งเ้าทานหรอก"
“อื้อ อื้ม” เสี่ยวมู่อวี่พูดไม่ชัด “ท่านแม่ดีที่สุดจริงๆ”
“ทานเถิด” อวิ๋นอี้ตบไหล่เขา "ทานเสร็จแล้ว ก็ทำการบ้านดีๆ"
ครึ่งบ่ายเป็่ที่เงียบที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแสงแดดส่องผ่านใบไม้สีทองอันอบอุ่นทำให้คนี้เีมากขึ้น
อวิ๋นอี้ชันหัวขึ้นมองเขา เห็นคิ้วที่ละเอียดอ่อนของเขาและจมูกเล็กๆ ที่เชิดขึ้น ทันใดนั้น ภาพนั้นก็แวบเข้ามาในหัว นางจึงใช้สายตามองดูเขาอีกครั้ง
ยิ่งดูก็ยิ่งใ...
นางนั่งตัวตรง เปรียบเทียบเสี่ยวมู่อวี่กับคนในภาพอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางพลันลดขนตาลงเล็กน้อย "เสี่ยวมู่อวี่ เ้ามีความลับกระไรที่มิได้บอกแม่อยู่หรือไม่? ”
“ไม่นี่พ่ะย่ะค่ะ!” มือของเขาเต็มไปด้วยน้ำมัน เขาเงยหน้าขึ้น “ท่านแม่มีกระไรหรือ?”
“มิมีกระไร” อวิ๋นอี้ยืนขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เ้าค่อยๆ ทาน แม่ยังมีธุระ เดี๋ยวแม่ค่อยมาหาเ้าใหม่”
ออกจากเรือนเสี่ยวมู่อวี่ นางก็รีบเดินตรงไปยังห้องหนังสือ หยิบภาพวาดออกมาแล้วจ้องไปที่มันหลายต่อหลายครา แล้วนางก็มีการคาดเดาอย่างกล้าหาญในใจ
เชิงอรรถ
[1] ตกปลาสามวันตากแหสองวัน 三天打鱼两天晒 หมายถึง การทำอะไรไม่เป็ชิ้นเป็อัน ทำไม่จริงจัง ทำไม่กี่วันก็ล้มเลิก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้