จ้าวซีเหอหันหลังให้หนิงมู่ฉือ ยิ้มอย่างขมขื่นขณะเอ่ยกับนางซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง “ท่านพ่อคิดถึงเ้ามาก”
หนิงมู่ฉือรับคำอืมคำเดียว ก่อนจะเดินตามหลังจ้าวซีเหอไปอย่างน้อยใจ
ครั้นมาถึงตำหนักอ๋อง ท่านอ๋องเห็นสีหน้าเศร้าๆ ของจ้าวซีเหอ ทั้งบนแก้มยังมีร่องรอยของน้ำตา และด้านหลังคือหนิงมู่ฉือที่เอาแต่กำแขนเสื้อตัวเอง เม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาเป็สีแดงเรื่อ เขาถึงกับถอนหายใจออกมา
เขาเดินเข้าไปหาจ้าวซีเหอ มุมปากยกเป็รอยยิ้มบางๆ “ซีเหอ เ้าไปโรงพนันมิใช่หรือ ไปเจอนางหนูหนิงได้อย่างไร”
จ้าวซีเหอนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา ชี้ไปที่หนิงมู่ฉือซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง แค่นเสียงฮึแล้วสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
ท่านอ๋องเห็นท่าทางเช่นนี้ของบุตรชายก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง สาวเท้าไปหาหนิงมู่ฉือแล้วเอ่ยถามอย่างห่วงใย “นางหนูหนิง เป็อย่างไร เกิดอันใดขึ้น เหตุใดพวกเ้าทั้งสองคนถึงมีท่าทางเช่นนี้”
หนิงมู่ฉือรู้สึกน้อยใจเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำถามที่แสดงถึงความเป็ห่วงของท่านอ๋อง น้ำตาแห่งความน้อยใจที่กลั้นเอาไว้จึงไหลออกมา “ขอบคุณท่านอ๋องมากเ้าค่ะที่เป็ห่วงฉือเอ๋อร์ ฉือเอ๋อร์ไม่ได้ตั้งใจจะไม่กลับมา”
ท่านอ๋องได้ฟังก็รู้ทันทีว่าเกิดปัญหาขึ้น หนิงมู่ฉือจะต้องถูกลักพาตัวไปเป็แน่ พอเห็นว่าตามตัวนางไม่มีาแใดๆ จึงพยักหน้าและยิ้มอย่างวางใจ “ข้าเข้าใจความหมายของเ้าดี เพียงแต่ชีวิตคนเรา จะทำสิ่งใดก็ต้องระมัดระวังให้ดี”
เห็นหนิงมู่ฉือพยักหน้ารับคำ เขาจึงเอ่ยต่อ “ในเมื่อกลับมาแล้ว เช่นนั้นก็ไปพักผ่อนเถิด”
หนิงมู่ฉือคำนับท่านอ๋อง จากนั้นเดินกลับไปที่ห้อง เมื่อถึงห้อง ในสมองนางปรากฏภาพสิ่งที่จ้าวซีเหอทำกับนางก่อนหน้านี้ ในใจรู้สึกปวดร้าวยิ่ง
ในใจจ้าวซีเหอเองก็รู้สึกเป็ทุกข์เช่นกัน คิดไม่ถึงเลยว่าซื่อจื่อผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวงอย่างเขาจะมาพ่ายแพ้สตรีนางหนึ่ง ไม่กี่วันมานี้ เพียงไม่เห็นหน้านาง ใจเขาก็ร้อนรน ความทรมานที่เกิดขึ้นในใจ มีแต่เขาที่รู้ดีกว่าใครทั้งหมด
แต่พอวินาทีที่ได้เจอหน้าหนิงมู่ฉือ ก้อนหินหนักๆ ที่เคยถ่วงอยู่ในใจเขาพลันหายไป ที่เขาโมโหเป็เพราะจนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่ยอมพูดความจริงกับเขา ดูท่าคงเป็เขาที่คิดไปเองฝ่ายเดียว
ท่านอ๋องเห็นบุตรชายกับหนิงมู่ฉือทะเลาะกัน ในใจพอจะคาดเดาได้ลางๆ ว่าเกิดอันใดขึ้น เสียงถอนหายใจทำให้พ่อบ้านซึ่งอยู่ด้านข้างอดไม่ไหว เอ่ยถามออกมา “ท่านอ๋อง แม่นางหนิงคือคนที่มีความผิดติดตัว ซื่อจื่อหลงใหลแม่นางหนิงถึงเพียงนี้ ท่านยอมหรือขอรับ”
ท่านอ๋องยิ้มพลางโบกไม้โบกมืออย่างไม่คิดมาก “ลูกหลานย่อมมีวาสนาของตัวเอง ข้ารู้มานานแล้วว่าซีเหอมีความรู้สึกที่พิเศษต่อนางหนูหนิง ข้ายอมทำลายเจดีย์เจ็ดชั้นดีกว่าทำลายวาสนาของทั้งคู่”
ภายในห้อง หนิงมู่ฉือนอนร้องไห้ด้วยความเสียใจ จนในที่สุดก็ผล็อยหลับไป เมื่อนางตื่นในเช้าวันถัดมา พบว่าดวงตาทั้งสองข้างบวมแดง นางถอนหายใจเฮือกกับตัวเอง
ทันใดนั้นเองมีเสียงเรียกเอะอะดังมาจากด้านนอก “แม่นางหนิง! แม่นางหนิงขอรับ!”
นางมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างสงสัย ความที่ไม่อยากให้คนอื่นเห็นตาบวมแดง นางจึงเอามือปิดตาขณะส่งเสียงถามเด็กรับใช้ที่เปิดประตูเข้ามา “เกิดอันใดขึ้นหรือ”
เด็กรับใช้ยิ้ม กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “แม่นางหนิง ท่านคงไม่รู้ว่าด้านนอกตอนนี้มีคนมากมายเพียงใด มีผู้คนจำนวนไม่น้อยนำของกำนัลมามอบให้ท่านขอรับ”
นางทำหน้างง ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เหตุใดต้องมามอบของกำนัลให้ข้าด้วย เกิดเื่ใดขึ้นหรือ”
เด็กรับใช้ยิ้มประจบขณะตอบ “แม่นางหนิงคงไม่รู้ว่า ตอนนี้ท่านมีผู้ที่ชื่นชอบท่านหลายคนจนนับแทบไม่ไหว คนเหล่านี้อยากมาเจอท่านและอยากมาลองชิมอาหารฝีมือท่านขอรับ
นางได้ยินก็เริ่มปวดหัวตุบๆ ขึ้นมาทันใด เอามือลงด้วยความใ “อยากจะมาชิมอาหารฝีมือข้าด้วยหรือ!”
เด็กรับใช้เห็นตาของหนิงมู่ฉือก็สะดุ้งตัวโยน เอ่ยถามอย่างสงสัยออกมา “แม่นางหนิง เกิดอันใดขึ้นกับตาของท่านขอรับ เหตุใดถึงได้ทั้งบวมทั้งแดงเช่นนั้น”
หนิงมู่ฉือรีบเอามือปิดตาอีกครั้ง ก่อนจะตอบเด็กรับใช้ไปว่า “ข้าเป็โรคตาแดง โรคนี้ติดต่อกันได้ เ้ารีบไปบอกให้ผู้ที่ชื่นชอบข้าเ่าั้ให้รีบกลับไปเถิด ข้ากลัวจะนำโรคนี้ไปติดพวกเขา”
เด็กรับใช้ได้ฟังให้รู้สึกหวาดกลัวยิ่ง รีบหมุนตัวไม่กล้ามองหนิงมู่ฉืออีก จากนั้นเอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “ขอรับ” ก่อนจะวิ่งออกไป
วิธีนี้ใช้ได้ผลจริงๆ ครั้นเด็กรับใช้นำเื่นี้ไปแจ้งแก่ทุกคน คนที่มายังตำหนักอ๋องพากันรีบกลับไปในทันใด
หนิงมู่ฉือใช้น้ำแข็งประคบดวงตาอยู่ครู่ใหญ่ หายบวมได้พอประมาณถึงกล้าเดินออกจากห้อง นางเข้าไปในห้องครัวเพื่อจะเตรียมวัตถุดิบปรุงอาหาร คาดไม่ถึงว่าในห้องครัวตอนนี้จะมีหลินมู่อยู่แค่คนเดียว
หลินมู่เห็นหนิงมู่ฉือเดินเข้ามาในห้องครัว ส่งยิ้มกว้างพลางรีบเดินไปปิดประตู แล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “คุณหนู ออกไปครานี้ได้สิ่งใดกลับมาบ้างหรือไม่ขอรับ”
หนิงมู่ฉือส่ายศีรษะ “ยังไม่เจอเบาะแสใดเลย ได้เพียงรู้จักบรรดาคุณชายเสเพลที่ไม่มีประโยชน์เท่านั้น”
หลินมู่กล่าวอย่างนอบน้อม “คุณหนู ข้าน้อยเจอเบาะแสที่พอจะมีประโยชน์จากในจวนเก่าของท่านแม่ทัพขอรับ”
หนิงมู่ฉือใจเต้นแรง ถามอย่างประหลาดใจ “จวนเก่าของแม่ทัพ ไม่ใช่ว่ากลายเป็เถ้าธุลีไปแล้วหรือ เ้าหาเจอได้อย่างไร”
หลินมู่ค่อยๆ หยิบจดหมายหนึ่งปึกออกมาจากอกเสื้อ ก่อนจะยื่นให้หนิงมู่ฉือทั้งหมด “คุณหนู ข้าน้อยไม่รู้ว่าจดหมายเหล่านี้จะมีประโยชน์หรือไม่ จดหมายเหล่านี้คือจดหมายที่ท่านแม่ทัพเขียนให้ฮูหยิน ข้าน้อยคิดว่า ต่อให้จดหมายเหล่านี้ไม่มีเบาะแสใด อย่างน้อยก็ให้คุณหนูเก็บไว้เป็ของที่ระลึกได้”
หนิงมู่ฉือรับจดหมายมาพลิกดูทีละฉบับ ทันใดนั้นนางได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมาจากด้านนอก นางรีบยัดจดหมายเข้าไปในแขนเสื้อ ก่อนจะแกล้งทำเป็ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วรีบใช้มือเช็ดน้ำตาที่คลออยู่
ผู้ที่มาคือจ้าวซีเหอ พอเห็นหยิงมู่ฉือกำลังยุ่งกับการทำอาหารก็ไม่กล่าววาจาใด ลอบมองครู่หนึ่ง จากนั้นหยิบจานขนมแล้วเดินออกไป
หนิงมู่ฉือเอ่ยเรียกขณะที่จ้าวซีเหอกำลังจะก้าวเท้าออกจากประตู “ซื่อจื่อเ้าคะ”
จ้าวซีเหอหยุดฝีเท้า หันหน้าไปทางเสียงเรียก เมื่อเห็นดวงตาแดงเรื่อของหนิงมู่ฉือก็ลอบถอนหายใจออกมา ก่อนจะแกล้งทำเป็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “มีเื่ใด”
“ไม่ทราบว่าท่านอยากจะทานอาหารใดเ้าคะ ฉือเอ๋อร์จะได้ทำได้ถูกใจท่าน” หนิงมู่ฉือลอบกลืนน้ำลาย เอ่ยวาจาออกมาอย่างยากเย็น
จ้าวซีเหอได้ฟัง ในใจรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย ทว่าปากกลับตอบไปว่า “แล้วแต่เ้า”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้