เฟิ่งสือเหิงหันไปเห็นนาง จึงกวักมือเรียกด้วยท่าทางดีใจ “พี่เหลียนหรู รีบมาขี่ม้าเร็ว!”
เด็กหญิงเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฟิ่งสือจิ่น โดยมีสาวใช้ห้อมล้อมอยู่รอบกาย นางย่อตัวลง แล้วจีบนิ้ว เกลี่ยเส้นผมที่ยุ่งเหยิงและเปียกปอนบนใบหน้าของเฟิ่งสือจิ่นอย่างรังเกียจ เมื่อได้เห็นดวงตาคู่สวยที่มีหยดน้ำตาหลั่งออกมาราวหยาดฝน เด็กหญิงก็แสร้งทำเป็ตกอกใ “นางเป็ม้าเสียที่ไหน นี่เป็คนต่างหาก” เด็กหญิงลุกขึ้นยืน จากนั้นก็หันไปมองเฟิ่งสือหนิงที่กำลังยืนร้องไห้อยู่ข้างๆ นางกลอกตาคล้ายกำลังครุ่นคิด ก่อนจะพูดขึ้นด้วยท่าทางคล้ายเพิ่งเข้าใจ “สองคนนี้ เป็พี่น้องฝาแฝดในจวนของเ้าสินะ ว่าแต่ ใครเป็พี่ใครเป็น้องล่ะ?”
เฟิ่งสือเหิงจิกผมของเฟิ่งสือจิ่นอย่างหยิ่งผยอง “คนที่ข้าขี่อยู่เป็น้อง ชื่อเฟิ่งสือจิ่น ส่วนคนที่ยืนอยู่เป็พี่ ชื่อเฟิ่งสือหนิง แม่ของพวกนางเป็เชลยศึกที่ถูกจับไปเป็โสเภณีในกองทัพของศัตรู นางถูกบิดาของข้าช่วยออกมาระหว่างทำา ท่านแม่บอกว่าพวกนางสามแม่ลูกเป็คนชั้นต่ำมาั้แ่เกิด เกิดมาเพื่อให้คนขี่เท่านั้น!”
เด็กหญิงพยักหน้าเบาๆ “สือจาวเคยเล่าให้ข้าฟังบ้างแล้วล่ะ” นางใช้เท้ายกคางของเฟิ่งสือจิ่นขึ้น แล้วมองดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบสกปรกของเฟิ่งสือจิ่น “จิ๊ๆๆ ช่างเป็ใบหน้าที่น่าแกล้งเสียจริง”
เฟิ่งสือจิ่นโกรธแค้นอย่างมาก นางเบี่ยงหน้าไปอีกทาง แล้วใช้แขนยันพื้น เตรียมจะลุกขึ้นยืน การกระทำของนางเกือบจะทำให้เฟิ่งสือเหิงหงายตกลงมา เมื่อเด็กหญิงเห็นดังนั้นก็ใช้เท้าถีบจนเฟิ่งสือจิ่นล้มลงอีกครั้ง ก่อนสาวใช้ทั้งหลายจะกรูเข้ามาล็อกร่างของนางเอาไว้อย่างแ่า
เด็กหญิงสั่งให้คนรับใช้ไปนำเชือกมาให้ จากนั้นก็ใช้เชือกแข็งมัดคอของเฟิ่งสือจิ่นเอาไว้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังให้เฟิ่งสือเหิงนั่งขี่หลังของนาง ส่วนตนก็ดึงเชือกเส้นนั้น ทำราวกับเฟิ่งสือจิ่นเป็สุนัขตัวหนึ่ง
เฟิ่งสือเหิงถามอย่างใสซื่อ “พี่เหลียนหรู ท่านไม่อยากลองขี่นางบ้างหรือ?”
เด็กหญิงออกแรงดึงเชือกในมือ เฟิ่งสือจิ่นจึงเอียงไปข้างหน้าตามแรงดึงของเชือก ลำคอขาวถูกขูดจนกลายเป็รอยสีแดงแถมยังมีเืซึมออกมา นางพูดด้วยท่าทีเย่อหยิ่งคล้ายผู้ที่อยู่เบื้องสูง “แต่ข้าต้องจูงม้าให้เ้านี่นา”
“พี่เหลียนหรู ท่านไม่ได้มาขี่ม้าหรือ แล้วท่านมาที่นี่ทำไมล่ะ?” เฟิ่งสือเหิงถามอย่างไร้เดียงสา
เด็กหญิงตอบ “พี่สาวของเ้าวานให้ข้าดูแลเ้า ระหว่างที่เ้าเล่นอยู่ในวัง กลัวว่าหากนางกับฮูหยินใหญ่แห่งจวนท่านโหวไม่อยู่ ใครบางคนจะฉวยโอกาสรังแกเ้าได้”
ต่อมา สายฝนตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ สาวใช้นำร่มมากางให้เด็กหญิงกับเฟิ่งสือเหิง เม็ดฝนที่หยดลงมาจากปลายร่มดูคล้ายกับสร้อยไข่มุกเส้นยาว มันทำให้สายตาของเฟิ่งสือจิ่นพร่ามัวลงเรื่อยๆ... ห้วงเวลาเลื่อนกลับมายังปัจจุบัน เฟิ่งสือจิ่นยังไม่ทันได้ลุกขึ้นยืน สาวใช้สองคนก็เข้ามาล็อกนางเอาไว้อีกครั้ง ใบหน้าข้างหนึ่งถูกเสียดสีจนบวมแดง นางมองเขม็งไปยังเบื้องบน ดวงตาคมเฉียบอัดแน่นไปด้วยความเยียบเย็น เฟิ่งสือจิ่นจ้องซูเหลียนหรูตาไม่กะพริบ ไม่มีความหวาดกลัวหรือขี้ขลาดแฝงอยู่แม้แต่น้อย ท่าทีองอาจและกล้าหาญ นางสบถเสียงหัวเราะออกมา พลางพูดด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว “ในขณะที่คนอื่นๆ แยกข้ากับเฟิ่งสือหนิงไม่ออก ต้องขอบคุณเ้าเป็อย่างมากที่จำข้าได้ขึ้นใจเช่นนี้ ตกลงแล้ว วันนี้เ้าคิดจะเอาอย่างไรกันแน่?”
“จะเอาอย่างไรงั้นหรือ?” ซูเหลียนหรูเดินเข้ามาใกล้ นางบีบคางของเฟิ่งสือจิ่นเอาไว้ สายตาที่คล้อยต่ำเต็มไปด้วยความอำมหิตและรังเกียจ ริมฝีปากสีแดงเผยอขึ้นเบาๆ นางอ้าปากพูด “เ้าอยากให้ข้าทำอย่างไรกับเ้าล่ะ? ทำไม เ้ากลัวหรือ? สือจาวได้ยินว่าเ้ามาที่วิทยาลัยหลวง เลยวานให้ข้าดูแลเ้าเป็พิเศษ แล้วข้าจะปฏิเสธคำขอของสือจาวได้อย่างไร?”
นางส่งสายตาแทนคำสั่ง สาวใช้ทั้งสองจึงล็อกตัวเฟิ่งสือจิ่นไปที่ห้องผุพังด้านใน ในนั้นถูกเผาจนดำเกรียมไปหมด ผนังกับหลังคามีใยแมงมุมห้อยระโยงระยางไปทั่ว พื้นห้องเต็มไปด้วยเศษไม้และขี้เถ้าจากเพลิงไฟ ที่กลางห้องมีเก้าอี้ที่ยังมีสภาพสมบูรณ์อยู่หลายตัว บานประตูเอียงหลุดออกมาบดบังทัศนวิสัย แสงที่ส่องผ่านเข้ามาเพียงรำไร ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูวังเวงมากยิ่งขึ้น เฟิ่งสือจิ่นถูกมัดติดกับเก้าอี้ที่ถูกเผาจนขาหักไปบางส่วน เมื่อนางดิ้นขัดขืน เก้าอี้เบื้องล่างก็ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดคล้ายกำลังจะพังลง มือทั้งสองข้างถูกมัดด้วยเชือกแข็ง นางจึงไม่สามารถสลัดแขนออกมาได้
ซูเหลียนหรูเดินเตะซากขยะในห้อง โดยไม่กังวลว่ากระโปรงสีชมพูจะสกปรกเพราะฝุ่นละอองบนพื้นเลยสักนิด ในที่สุดก็เจอท่อนไม้ท่อนหนึ่งที่ถูกเผาจนไหม้เกรียม นางไม่รอช้า รีบก้มลงไปเก็บมันขึ้นมา แล้วเหวี่ยงไม้ท่อนนั้นมาที่หัวของเฟิ่งสือจิ่นเต็มแรง
เฟิ่งสือจิ่นส่งเสียงครางด้วยความเ็ป รู้สึกเหมือนมีเสียงก้องอยู่ในหัว รู้สึกเ็ปปานจะขาดใจ
ซูเหลียนหรูพูดอย่างโกรธแค้น “สือจาวฝากข้ามาถามเ้า สือเหิงเพิ่งจะเจ็ดขวบ ตอนที่เ้าฆ่าเขา เคยคิดบ้างไหมว่าเขาจะเ็ปแค่ไหน? คิดไม่ถึงว่าเ้าจะมีหน้ากลับมาที่เมืองหลวงอีก ในเมื่อกล้ากลับมา เ้าคงพร้อมจะรับกรรมที่ก่อเอาไว้แล้วสินะ”
นางไม่ได้ฆ่าเฟิ่งสือเหิง น่าเสียดายที่ไม่มีใครเชื่อคำพูดของนาง
นางพยายามอธิบายเื่นี้ั้แ่เมื่อหกปีก่อนแล้ว แต่ทุกคนกลับปิดหูปิดตา ไม่ยอมรับฟัง
เฟิ่งสือจิ่นรู้สึกโมโหขึ้นมา นางไม่จำเป็ต้องสนใจอะไรอีกแล้ว ตอนนี้ นางไม่ใช่เฟิ่งสือจิ่นเมื่อหกปีก่อน แต่นางเหลือเพียงตัวคนเดียว ไม่มีห่วงอะไรทั้งนั้น ไม่จำเป็ต้องทนต่อการถูกข่มเหง ไม่ต้องถูกใครควบคุมอีก!
คิดได้ดังนั้น นางก็เอียงตัวกลับไปด้านหลังอย่างสุดชีวิต เก้าอี้ที่นั่งอยู่ทนรับน้ำหนักไม่ไหว จึงล้มหงายไปด้านหลังในที่สุด เฟิ่งสือจิ่นล้มกลิ้งอยู่บนพื้น ฝุ่นละอองเปื้อนติดไปทั่วร่างกาย นางรีบลุกขึ้นยืน แล้วเหวี่ยงเก้าอี้ไปที่ซูเหลียนหรูอย่างสุดกำลัง สาวใช้เข้าไปกำบังไม่ทัน ซูเหลียนหรูเองก็ถอยหลบไปด้านหลังด้วยความใ
เฟิ่งสือจิ่นจ้องซูเหลียนหรูเขม็ง พลางหัวเราะขึ้น “ใครจะเป็คนที่ต้องรับกรรมกันแน่ ยังไม่รู้เลย! ชีวิตของข้าต่ำต้อยด้อยราคา ต่อให้ตายก็ไม่น่าเสียดายอะไร หากแน่จริงก็เข้ามาเลยสิ! แม้แต่เฟิ่งสือเหิงก็ยังถูกข้าฆ่าไปแล้ว คิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเ้าหรือไง?”
นางหมุนตัวอย่างต่อเนื่อง เก้าอี้ที่ติดอยู่เื้ักลับกลายเป็อาวุธของนาง หากสาวใช้สองคนนั้นกล้าเข้ามาใกล้ นางก็จะเหวี่ยงเก้าอี้ไปที่พวกนางอย่างไม่ลังเล ในเวลานั้น สาวใช้สองคนไม่กล้าเข้าใกล้นางอีก ซูเหลียนหรูก็ไม่กล้าขยับเขยื้อนเช่นกัน
ท่าทีบ้าคลั่งของเฟิ่งสือจิ่นแสดงให้เห็นว่านางจริงจังแค่ไหน นางเป็เหมือนเสือที่ถูกยั่วให้โกรธจัด หากใครกล้าเข้ามาใกล้ นางก็จะพุ่งเข้าไปกัดทึ้งคนผู้นั้นอย่างไม่ลังเล
ในตอนนั้นเอง เสียงร้อนรนของเจี่ยนซืออินดังขึ้นที่ด้านนอก นางหันไปมองเฟิ่งสือจิ่นที่มีสภาพสะบักสะบอม ก่อนจะพูดด้วยท่าทางตื่นตระหนก “แย่แล้ว องค์หญิง หลิวอวิ๋นชูมาเพคะ”
ที่หน้าประตูของอาคาร หลิวอวิ๋นชูโบกพัดในมือเบาๆ เขาถูกกงเยี่ยนชิวขวางเอาไว้ด้วยท่าทางเ็า แต่ยิ่งกงเยี่ยนชิวพยายามขวางทางมากเท่าไร เขาก็ยิ่งอยากเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นมากเท่านั้น
หลิวอวิ๋นชูพูด “คุณหนูกง อาคารนี้เป็ห้องสมุดเก่าของวิทยาลัย ไม่ใช่อาคารของบ้านเ้าเสียหน่อย ทำไมพวกเ้าเข้าไปได้ แต่ไม่ยอมให้ข้าเข้าไปล่ะ? หรือในนี้มีความลับอะไรซ่อนอยู่?” เขาขยับเข้าไปใกล้ ใบหน้าขาวเนียนประกายรอยยิ้มออกมา “มีความลับอะไรที่ให้ข้ารู้ไม่ได้หรือ? บอกข้ามาเถอะ ข้าสัญญาว่าจะไม่บอกใคร ดีไหม?”
กงเยี่ยนชิวเห็นว่าขวางต่อไปไม่ได้จึงพูดขึ้น “ท่านชายหลิว ต้องขออภัย แต่องค์หญิงเจ็ดกำลังพักผ่อนอยู่ด้านใน นางไม่อยากให้ใครเข้าไปรบกวน”
“ไม่อยากให้ใครเข้าไปรบกวนงั้นหรือ?” หลิวอวิ๋นชูยิ่งสงสัย “แล้วเมื่อครู่ เจี่ยนซืออินวิ่งหน้าตาตื่นเข้าไปในนั้นทำไม อีกอย่าง องค์หญิงมาที่แบบนี้ทำไม? อย่ามาโกหกข้าเลย เฟิ่งสือจิ่นล่ะ นางอยู่ไหน?”
กงเยี่ยนชิวชะงักอึ้ง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อไปดี
หลิวอวิ๋นชูปรายตามองคนตรงหน้าอย่างใจเย็น “ถ้าคิดไม่ออกว่าจะตอบอย่างไร ก็เลิกคิดเสียเถอะ ข้าเห็นกับตาว่าเฟิ่งสือจิ่นมาที่นี่พร้อมกับพวกเ้า ดูท่า นางคงจะอยู่ข้างในสินะ”