เฟิ่งสือจิ่นไม่คุ้นเคยกับวิทยาลัยหลวงสักเท่าใด หลังโค้งไปเลี้ยวมาหลายครั้ง นางก็ไม่รู้แล้วว่าตนอยู่ที่ใด รู้แค่ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีใครสักคน รอบด้านเงียบสงัดจนน่าประหลาดใจ “หลิวอวิ๋นชูนัดเจอข้าในสถานที่เช่นนี้เนี่ยนะ?” นางถามอย่างอดไม่ได้
เฟิ่งสือจิ่นเริ่มตระหนักขึ้นมาได้ว่าตนไม่จำเป็ต้องมายังสถานที่แห่งนี้เลยสักนิด หากหลิวอวิ๋นชูอยากเจอนางจริงๆ เขาต้องเป็ฝ่ายมาหานางเองจึงจะถูก
ในขณะที่เตรียมจะหยุดเดิน กงเยี่ยนชิวก็พูดขึ้น “อีกไม่ไกลแล้ว ท่านชายหลิวมีนิสัยประหลาด ชอบทำเื่ที่คนอื่นคิดไม่ถึงเป็ประจำอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เื่แปลกที่เขาจะนัดเ้ามาเจอในที่แบบนี้”
ทั้งสองพาเฟิ่งสือจิ่นเลี้ยวไปอีกทาง และมุ่งหน้าไปยังสวนแห่งหนึ่ง ท่ามกลางต้นไม้หนาทึบ อาคารแห่งหนึ่งปรากฏให้เห็นอยู่รางๆ รอบด้านมีต้นไม้ล้อมรอบเต็มไปหมด พวกนางสามคนกำลังมุ่งหน้าไปยังอาคารที่ว่านั่นเอง
ในขณะเดียวกัน หลิวอวิ๋นชูตื่นจากการนอนกลางวัน กำลังเดินเล่นไปทั่วอย่างไร้จุดหมาย คิดไม่ถึงว่าจะมองเห็นแผ่นหลังในชุดสีเขียวขุ่นที่แสนระคายตาของเฟิ่งสือจิ่นผ่านหน้าไปโดยบังเอิญ เขากัดฟันกรอด เตรียมจะะโเรียกนาง แต่สายตาก็ไปปะทะกับร่างของหญิงอีกสองคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้า เขาจำได้ทันทีว่าผู้หญิงสองคนนั้นคือใคร จึงพึมพำขึ้นอย่างอดไม่ได้ “นางไปสนิทกับผู้หญิงร้ายกาจแบบสองคนนั้นั้แ่เมื่อไร...”
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ เฟิ่งสือจิ่นก็พบว่าอาคารซึ่งเป็ห้องสมุดเก่าตรงหน้ามีหญ้าขึ้นรกรุงรังไปหมด ผนังรอบด้านมีรอยสีดำประทับอยู่ หลังคาก็เสียหายจนแทบไม่เหลือแล้ว คาดว่าน่าจะเคยเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่นี่ อาคารทั้งหลังจึงเหลือแค่ผนังเปล่า และมีเถาวัลย์เลื้อยพันอยู่เต็มไปหมด
เฟิ่งสือจิ่นรู้สึกสงสัยยิ่งขึ้น หลิวอวิ๋นชูชอบความเฮฮาครึกครื้น มีหรือจะนัดเจอนางในสถานที่ที่เงียบสงบแถมยังดูพิลึกขนาดนี้ ยังไม่ทันได้ถาม กงเยี่ยนชิวก็เดินผ่านหน้าไป และดันหลังของเฟิ่งสือจิ่นอย่างแรงจนนางเซเข้าไปในอาคาร
เฟิ่งสือจิ่นหันกลับไปมอง เจี่ยนซืออินยังคงยิ้มอย่างสดใส “ได้ยินว่าห้องสมุดร้างนี่มีผีอาละวาด เ้าคงไม่ได้กลัวหรอกใช่ไหม?” รอยยิ้มของนางแฝงไปด้วยความร้ายกาจ
พวกนางไม่ได้พาเฟิ่งสือจิ่นมาหาหลิวอวิ๋นชู แต่จงใจหลอกให้นางมาที่นี่ต่างหาก
เฟิ่งสือจิ่นมองไปรอบๆ อาคาร จากนั้นก็มองใบไม้แห้งที่ตกอยู่เต็มพื้น มองประตูผุพัง มองคานอาคารที่ผุกร่อนจนแทบจะร่วงลงมาด้านล่าง ป้ายชื่อของห้องสมุดที่ถูกเผาจนเกรียมตกอยู่บนพื้น และถูกใบไม้กลบทับจนแทบมองไม่เห็น
เฟิ่งสือจิ่นถาม “พวกเ้าพาข้ามาที่นี่ทำไม?”
เจี่ยนซืออินเดินวนไปรอบๆ เฟิ่งสือจิ่นพลางหัวเราะคิกคัก “เ้าคิดว่าพวกเราพาเ้ามาหาหลิวอวิ๋นชูจริงๆ หรือ? คิดไม่ถึงเลยว่าเ้าจะหลอกง่ายแบบนี้” นางเดินทอดน่องมาหยุดอยู่เบื้องหน้า พลางมองสำรวจเฟิ่งสือจิ่นั้แ่หัวจรดเท้า “ชิ ยิ่งมองเ้าใกล้ๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเ้าเหมือนกับนกกระจอกเปื้อนฝุ่นมากขึ้น”
เฟิ่งสือจิ่นไม่อยากสนใจ นางเตรียมจะหมุนตัวแล้วเดินจากไป
คิดไม่ถึงว่าเสียงที่ใสกังวานดั่งเสียงขับขานของนกแก้วจะดังมาจากด้านหลัง เ้าของเสียงพูดอย่างเกียจคร้าน “ข้าอุตส่าห์เชิญเ้ามาถึงที่นี่ แต่เ้ากลับคิดจะเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะทักทายกันเลยหรือ แบบนั้นมันจะไม่เสียมารยาทเกินไปหรือ?”
เฟิ่งสือจิ่นชะงักฝีเท้าลงแล้วหันกลับไปมอง
ท่ามกลางใบไม้แห้งกรัง หญิงสาวในชุดหรูหรา ซึ่งประโคมหน้าด้วยเครื่องสำอางชั้นดีเดินออกมาจากประตูผุพัง ชายกระโปรงสีชมพูปลิวผ่านใบไม้แห้ง ก่อให้เกิดเสียงดังขึ้นตลอดทาง นางประสานมือไว้ที่หน้าท้อง แลดูสูงส่ง งามสง่า และมีมารยาท เล็บที่ถูกตัดแต่งจนกลมสวยมีสีแดงอ่อนทาทับอยู่ สาวงามตรงหน้า ทำให้ต้นไม้ที่ถูกเผาจนไหม้เกรียมดูชุ่มฉ่ำขึ้นมาทันตา คล้ายมันกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้งเช่นนั้น
กงเยี่ยนชิวกับเจี่ยนซืออินโค้งตัวให้หญิงผู้มาใหม่ “องค์หญิงเจ็ด พวกเราจะออกไปรออยู่ข้างนอก หากมีอะไร แค่เรียกพวกเราก็จะเข้ามาทันที” พวกนางพูดขึ้นพร้อมกัน
ที่แท้ คนที่อยากเจอนางไม่ใช่หลิวอวิ๋นชู แต่เป็องค์หญิงเจ็ดที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างหาก คนที่สูงศักดิ์และมีชาติกำเนิดสูงส่งที่สุดในวิทยาลัยหลวงก็คือองค์หญิงเจ็ด-ซูเหลียนหรูคนนี้นั่นเอง ไม่ว่านางจะเยื้องย่างไปที่ใด ก็มักจะมีสาวใช้ร่างกายกำยำสองคนติดตามไปด้วยเสมอ
ซูเหลียนหรูก้าวเข้ามาหาเฟิ่งสือจิ่นทีละก้าวๆ ด้วยท่าทางสง่า ดวงตาคู่งามที่มีหางตาเชิดขึ้นคู่นั้น มีเงาของเฟิ่งสือจิ่นสะท้อนอยู่ ซูเหลียนหรูพูดด้วยรอยยิ้มเย็นเฉียบ “เฟิ่งสือจิ่น ไม่เจอกันนานเลยนะ”
เฟิ่งสือจิ่นไม่อยากมีชีวิตอยู่ในเงาของอดีต แต่เมื่อมองซูเหลียนหรูก้าวเข้ามาทีละก้าวๆ เมื่อได้เห็นใบหน้าอมยิ้มของอีกฝ่าย จู่ๆ ความทรงจำที่แสนเลวร้ายก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง พวกมันพรั่งพรูออกมาจากสมองของนางอย่างบ้าคลั่ง เฟิ่งสือจิ่นเม้มปากแน่น มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อถูกกำจนกลายเป็หมัด ร่างกายเกร็งจนเส้นเืบวมปูดขึ้นมา
ซูเหลียนหรูพูดระคนหัวเราะ “เมื่ออยู่ในวิทยาลัยหลวง เ้าอาจแสร้งทำเป็ไม่รู้จักข้าได้ แต่ข้าไม่สามารถแกล้งทำเป็ว่าไม่รู้จักเ้าได้หรอกนะ ต่อให้เ้าจะแหลกสลายกลายเป็ธุลี ข้าก็ยังจำเ้าได้อยู่ดี” พูดจบก็ดึงคอเสื้อของเฟิ่งสือจิ่นเอาไว้ “ไม่เจอกันตั้งหกปี เ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมสักเท่าไรเลยนี่ แม้เ้ากับเฟิ่งสือหนิงจะหน้าตาเหมือนกัน แต่คนหนึ่งอยู่บนฟ้า ส่วนอีกคนนอนคลุกอยู่บนดิน คนอื่นอาจแยกพวกเ้าไม่ออก แต่นั่นไม่ใช่กับข้า ในสายตาของข้า เ้าก็คือเ้า เฟิ่งสือจิ่น เ้ามันก็เป็แค่ผู้หญิงต่ำต้อยที่ถูกขี่เป็ม้าคนเดิม”
ซูเหลียนหรูนึกย้อนไปถึงเื่ราวในอดีต ก่อนจะหัวเราะขึ้นอย่างอารมณ์ดี คล้ายนึกถึงเื่น่าสนุกบางอย่าง
ผิดกับเฟิ่งสือจิ่น แขนขาของนางเย็นเฉียบอย่างไร้สาเหตุ เมื่อซูเหลียนหรูยื่นมือมากระชากคอเสื้อ เฟิ่งสือจิ่นก็รีบปัดแขนของอีกฝ่ายออกไปอย่างแรง เพียะ! ซูเหลียนหรูถอยหลังไปหลายก้าว หญิงรับใช้สองคนที่ติดตามมาด้วยเห็นดังนั้นจึงรีบปรี่เข้ามาหา พวกนางถกแขนเสื้อขึ้น แล้วล็อกตัวเฟิ่งสือจิ่นเอาไว้
เฟิ่งสือจิ่นหรือจะยอม นางพยายามดิ้นขัดขืน แต่สาวใช้ร่างกายกำยำสองคนนี้มีหน้าที่ปกป้องซูเหลียนหรู ย่อมมีฝีมือด้านการต่อสู้เป็ธรรมดา แถมยังมีพละกำลังมากกว่าเฟิ่งสือจิ่นหลายเท่า ในสถานการณ์ที่ถูกสองรุมหนึ่งเช่นนี้ เฟิ่งสือจิ่นจะสู้ได้อย่างไร เพียงไม่นานนางก็ถูกล็อกแขนเอาไว้จนไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีก เฟิ่งสือจิ่นดวงตาแดงก่ำ นางพยายามดิ้นขัดขืนอย่างสุดชีวิต จากนั้นก็กัดไปที่แขนของสาวใช้คนหนึ่ง สาวใช้คนดังกล่าวรับรู้ได้ถึงความเ็ป จึงเหวี่ยงนางออกไปโดยสัญชาตญาณ สาวใช้อีกคนเห็นดังนั้นก็ดันให้เฟิ่งสือจิ่นล้มลง
ใบหน้าซีกหนึ่งไถลไปกับใบไม้แห้งบนพื้น เพียงไม่นาน ใบหน้าส่วนนั้นก็ชาจนไร้ความรู้สึก
ความรู้สึกจากการที่ใบหน้าครูดไปกับดิน แม้จะผ่านมานานหลายปี แต่เฟิ่งสือจิ่นก็ยังจำมันได้ดี
หยดฝนเย็นเฉียบร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ในตอนที่เฟิ่งสือจิ่นถูกกดอยู่บนพื้น และถูกขี่เป็ม้าแทนเฟิ่งสือหนิง นางไม่เคยยอมแพ้กับการกระทำของอีกฝ่าย ต่อให้ใบหน้าจะไถลไปกับพื้นดิน ต่อให้จะถูกทุบตีอย่างไรนางก็ไม่เคยยอมแพ้ ในตอนนั้น เฟิ่งสือเหิงยังไม่ตาย เขาเป็ท่านชายคนเล็กของจวนท่านโหวหรงกั๋ว เป็คนที่บิดาของนางเห็นเป็แก้วตาดวงใจมาั้แ่เกิด
ระหว่างกำลังเล่นอยู่ในวังหลวง เฟิ่งสือเหิงขี่เฟิ่งสือจิ่น และสั่งให้นางเดินไปในทิศทางที่มีแต่โคลนกับแอ่งน้ำขรุขระ ฝ่ามือทั้งสองข้างเสียดสีจนเป็แผลถลอก ร่างกายเต็มไปด้วยโคลนสกปรก ไม่ต่างไปจากลูกหมาที่ถูกทอดทิ้ง
เฟิ่งสือเหิงขี่นางไปพลาง ร้องะโอย่างสนุกสนานไปพลาง แต่เฟิ่งสือหนิงกลับยืนมองอยู่ข้างๆ อย่างสงบ มองนางกัดฟันอดทนอย่างทรมาน มองนางดวงตาแดงก่ำอย่างอัปยศ มองนางร้องไห้อยู่อย่างนั้น เฟิ่งสือหนิงเป็พี่สาว แต่กลับอ่อนแอจนต้องให้นางที่เป็น้องสาวคอยปกป้อง ดังนั้น เฟิ่งสือจิ่นจึงถูกขี่เป็ม้า ถูกกดให้ต่ำจนจมดิน ตราบใดที่มีนางอยู่ เฟิ่งสือหนิงไม่เคยต้องคุกเข่าต่อหน้าเฟิ่งสือเหิงแม้แต่ครั้งเดียว
ใต้หลังคาสีแดงหรูหรา เด็กหญิงที่มีอายุเท่าๆ กับเฟิ่งสือจิ่นสวมชุดกระโปรงบานแสนงดงาม ซึ่งมีปิ่นและอัญมณีประดับเต็มร่างกาย กำลังเอียงคอมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยรอยยิ้ม