่เที่ยง นักศึกษาทุกคนในวิทยาลัย ไม่ว่าจะมีฐานะสูงส่งหรือต้อยต่ำเพียงใด ล้วนต้องเข้าไปรับประทานอาหารที่โรงอาหารประจำวิทยาลัยทุกคน แต่เพราะนักศึกษาเหล่านี้ต่างก็มีชาติกำเนิดสูงส่ง พ่อครัวที่ถูกเชิญมาทำอาหารในวิทยาลัยย่อมต้องมีฝีมือดีเป็ธรรมดา
เฟิ่งสือจิ่นยักยิ้มมุมปาก หลิวอวิ๋นชูบอกว่าไม่ชอบขี้หน้านางทุกวัน แต่เมื่อถึงเวลาอาหาร เขาก็ชอบมานั่งกับนาง และแย่งอาหารในถ้วยของนางตลอด
่บ่าย หลังอาหารเที่ยง เฟิ่งสือจิ่นเห็นว่ายังมีเวลาอีกมาก กว่าคาบเรียน่บ่ายจะเริ่ม จึงเดินไปหาที่เงียบๆ และปีนขึ้นไปงีบบนต้นไม้ต้นหนึ่ง
แสงตะวันร้อนแรงจนแสบตา โชคยังดีที่วิทยาลัยหลวงมีพื้นที่กว้างขวาง มีสวน ป่า และอาคารอยู่หลายแห่ง แสงตะวันส่องผ่านร่มไม้ ทิ้งรอยกระดำกระด่างเอาไว้บนถนนสายเล็ก เมื่อลมพัดผ่าน จุดแสงก็เป็เหมือนถั่วเหลืองเม็ดกลมที่ร่วงหล่นอยู่เต็มพื้น เสียงลมเคล้าคลอไปกับเสียงจักจั่นที่เกาะอยู่ตามต้นไม้ ทั้งหมดนั้น ทำให้สถานที่แห่งนี้แลดูสงบเหลือเกิน
นักศึกษาเดินผ่านต้นไม้ไปเป็ระยะ พลางพูดซุบซิบเื่ข่าวลือต่างๆ ที่ได้ยินมา ขณะที่กำลังนอนสะลึมสะลือ เฟิ่งสือจิ่นก็ได้ยินคนเหล่านี้พูดถึงชื่อของตนขึ้นมา
“เดิมที วิทยาลัยหลวงมีนักเลงอย่างหลิวอวิ๋นชูแค่คนเดียวก็น่าปวดหัวมากพอแล้ว คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะมีเฟิ่งสือจิ่นเพิ่มเข้ามาอีกคน สองคนนั้นก่อกวนจนห้องเรียนวุ่นวายไปหมด แต่ท่านอาจารย์กลับยังลำเอียงให้สองคนนั้นตลอด คนแบบพวกเขาสองคน มีชาติกำเนิดดีกว่าเรา แถมยังมีตำแหน่งใหญ่โตกว่าพวกเราอีก ในเมื่อเป็เช่นนี้ ทำไมต้องมาเรียนที่นี่ด้วย สู้เสพสุขอยู่ที่บ้านไม่ดีกว่าหรือ!”
ใครอีกคนพูดขึ้น “ถ้าเป็หลิวอวิ๋นชูก็ว่าไปอย่าง แต่ไม่ใช่กับเฟิ่งสือจิ่นหรอกนะ นางก็เป็แค่ศิษย์ของราชครู หากไม่ใช่เพราะฝ่าาทรงเมตตา มีหรือที่นางจะมาศึกษาในวิทยาลัยหลวงได้!”
เสียงหนึ่งลดระดับลงเล็กน้อย “แม้เฟิ่งสือจิ่นจะถูกท่านโหวหรงกั๋วเฉดหัวออกมาจากบ้าน แต่อย่างไรเสียนางก็ยังใช้สกุลเฟิ่งอยู่ดี แถมยังเป็น้องสาวแท้ๆ ของพระชายาแห่งองค์ชายสี่ ...พวกเ้าคงยังไม่รู้ แต่เมื่อสามปีก่อน ตอนที่องค์ชายสี่แต่งงาน...”
เฟิ่งสือจิ่นที่กำลังนอนอยู่บนต้นไม้ขมวดคิ้วมุ่น แสงระลอกหนึ่งส่องกระทบลงบนหน้าผากสีขาว ทำให้ใบหน้าของนางแลดูซีดเซียวยิ่งกว่าเดิม
เมื่อตื่นนอน เฟิ่งสือจิ่นก็รู้สึกสับสนและพร่าเบลอไปหมด คำพูดของคนเ่าั้ยังดังก้องอยู่ที่ข้างหู นางรู้สึกเหมือนตนฝันไป เป็ความฝันที่ห่างไกลกับความจริง
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ใครคนหนึ่งก็ะโถามขึ้น “ไม่ทราบว่าคนที่นอนอยู่บนต้นไม้ ใช่เฟิ่งสือจิ่นหรือไม่?”
เฟิ่งสือจิ่นไม่ได้ตอบอะไร คนที่ยืนอยู่ด้านล่างจึงถามซ้ำอีกหลายครั้ง ในที่สุดเฟิ่งสือจิ่นก็ก้มลงไปมอง พบว่าใต้ต้นไม้มีคนยืนอยู่สองคน พวกนางเป็หญิงวัยรุ่นหน้าตางดงาม คาดว่าน่าจะมีอายุประมาณสิบแปดปีเท่านั้น
นอกจากหลิวอวิ๋นชูแล้ว เฟิ่งสือจิ่นก็แทบไม่พูดคุยกับคนอื่นๆ ในวิทยาลัยเลย แต่ถึงกระนั้น นางก็ยังจำสองคนนี้ได้ คนหนึ่งเป็หลานสาวของฮองเฮาคนปัจจุบัน มีนามว่ากงเยี่ยนชิว อีกคนเป็คุณหนูจากจวนอัครมหาเสนาบดี มีนามว่าเจี่ยนซืออิน ซึ่งต่างก็เป็คุณหนูที่มีฐานะสูงส่งทั้งสิ้น
เฟิ่งสือจิ่นถาม “มีธุระอะไรหรือ?”
เจี่ยนซืออินเป็คนค่อนข้างร่าเริง เวลายิ้ม ดวงตาของนางจะหรี่โค้งคล้ายกับพระจันทร์เสี้ยว แลดูน่ารักสดใส ใบหน้าเป็ทรงกลมราวกับซาลาเปา แก้มอมชมพูระเรื่อ เมื่อเทียบกันแล้ว กงเยี่ยนชิวดูค่อนข้างเ็าและหยิ่งทะนงกว่ามาก คนที่พูดคือเจี่ยนซืออิน นางกล่าว “ลงมาก่อนเถอะ พี่อวิ๋นชูตามหาเ้าไปทั่วเลย คิดไม่ถึงว่าเ้าจะมาอยู่ตรงนี้ ต้นไม้ต้นนี้สูงเช่นนี้ เ้าปีนขึ้นไปได้อย่างไรกัน?” เมื่อเห็นเฟิ่งสือจิ่นจับชายกระโปรงแล้วเตรียมจะะโลงมา นางก็มีท่าทีใราวกับเด็กๆ “สูงขนาดนั้น เ้าต้องระวังให้มากนะ!”
หลิวอวิ๋นชูมีชาติกำเนิดสูงส่ง คนในสังคมชั้นสูงมักจะเข้ากันได้ดีมากกว่าคนทั่วไปเสมอ เหตุนี้ จึงไม่ใช่เื่แปลกที่หลิวอวิ๋นชูจะสนิทสนมกับคุณหนูสองคนนี้ เวลาว่างจากการเรียน หลิวอวิ๋นชูก็มักจะพูดเล่นกับนักเรียนทั้งชายและหญิงในห้องเรียนอยู่เป็ประจำ เหตุนี้ เฟิ่งสือจิ่นจึงไม่คิดระแวงเจี่ยนซืออินเลยสักนิด นางะโลงมาจากต้นไม้พลางคิดในใจไปด้วย... เ้าหลิวอวิ๋นชูโชคดีไม่น้อยที่รู้จักกับคนเช่นนี้
กงเยี่ยนชิวค่อนข้างเ็า แต่เจี่ยนซืออินทั้งน่ารักและเป็กันเอง นางเข้ามาประคองเฟิ่งสือจิ่น “ระวังหกล้มล่ะ ในนี้มีห้องพักผ่อนอยู่ด้วย ต่อไป หากอยากงีบหลับก็ไปที่นั่นดีกว่า”
เฟิ่งสือจิ่นไม่ค่อยคุ้นชินกับท่าทีสนิทสนมเช่นนี้สักเท่าใด จึงดึงมือกลับมาแล้วถามขึ้น “มาหาข้า มีเื่อะไรหรือ?”
เจี่ยนซืออินยิ้มหวาน “พี่อวิ๋นชูตามหาเ้าไปทั่วเลย ตามมาสิ พวกเราจะพาเ้าไปหาเขาเอง”
“เขาตามหาข้า มีเื่อะไรหรือ?”
เจี่ยนซืออินตอบ “เื่นั้น พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูเหมือนเขาจะรีบร้อนไม่น้อย”
เฟิ่งสือจิ่นถูกรบกวนเวลานอน ตอนนี้ก็ไม่มีอารมณ์จะนอนแล้ว จึงเดินตามทั้งสองไปโดยไม่คิดอะไรมาก เมื่อเดินออกมาจากร่มไม้ แสงแดดที่ร้อนระอุก็ทำให้นางรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย
กงเยี่ยนชิวพูดขึ้น “คุณหนูเฟิ่งช่างเก่งกาจเสียจริง หลายวันก่อน ทุกคนยังคิดว่าเ้ากับท่านชายหลิวไม่ถูกกันอยู่เลย แค่ไม่กี่วัน พวกเ้าก็กลายเป็เพื่อนสนิทกันเสียแล้ว”
เจี่ยนซืออินพูดต่อ “แน่นอนอยู่แล้ว พี่อวิ๋นชูเป็คนตรงไปตรงมา ไม่คิดเล็กคิดน้อย เลยเข้ากับคนง่าย และสนิทกับคนได้ง่ายๆ เหมือนกัน” เฟิ่งสือจิ่นหางตากระตุกขึ้นเบาๆ เจี่ยนซืออินมองนางอย่างตั้งใจพลางพูดขึ้น “ข้าได้ยินมาว่า พี่น้องฝาแฝดมักจะมีนิสัยต่างกัน ข้าเพิ่งเคยเห็นคนที่มีหน้าตาเหมือนกันทุกส่วนแบบเ้ากับพระชายาแห่งองค์ชายสี่เป็ครั้งแรกเลย หากเ้าสวมชุดหรูหราแล้วเกล้าผมเหมือนกับพระชายาละก็ ข้าว่าเ้าต้องงดงามมากแน่ๆ”
กงเยี่ยนชิวพูด “นิสัยต่างกันจริงๆ นั่นแหละ พระชายามีนิสัยเรียบร้อย สำรวม มีมารยาท และใจกว้าง” นางคล้อยสายตาลงต่ำ น้ำเสียงที่พูดก็เย็นะเืลงเล็กน้อย “แต่คุณหนูเฟิ่งมีนิสัยตรงไปตรงมา ทำตามใจตัวเอง เพียงแต่ ในเมืองหลวง นิสัยเช่นนี้อาจไม่ใช่เื่ดีก็ได้ ที่คุณหนูเฟิ่งได้เข้ามาศึกษาในวิทยาลัยหลวง ก็เพราะเ้ามีราชครูเป็อาจารย์ล้วนๆ”
เจี่ยนซืออินปิดปาก แล้วส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมา “พี่เยี่ยนชิว เฟิ่งสือจิ่นเติบโตบนป่าบนเขา อย่าเข้มงวดกับนางนักเลย”
เฟิ่งสือจิ่นพูดด้วยท่าทางเกียจคร้าน ไม่มีวี่แววว่าจะโกรธเลยสักนิด “ข้าไม่ใช่แค่ตรงไปตรงมาเสียหน่อย แต่ข้าทั้งใจกล้าและไม่รู้กาลเทศะเลยต่างหาก เป็จริงอย่างที่เ้าว่า ที่ข้าเข้ามาศึกษาในวิทยาลัยหลวงได้ก็เป็เพราะบารมีจากท่านอาจารย์ ไม่สิ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เป็เพราะท่านชายหลิวต่างหาก แต่คุณหนูทั้งสองคนตั้งใจศึกษา แถมยังขยันหมั่นเพียรเช่นนี้ ต่อให้พวกเ้าจะมีความรู้ท่วมท้น มีวิชาท่วมหัวแล้วอย่างไร มันมีประโยชน์อย่างไรกัน? พวกเ้าสามารถเข้าสอบเพื่อรับราชการได้หรือไม่ มันช่วยให้พวกเ้าตามหาชายในฝันเจองั้นหรือ?”
กงเยี่ยนชิวเอ่ย “การสอบเพื่อรับราชการเป็เื่ของผู้ชาย ส่วนเื่ชายในฝันก็เป็เื่ของวาสนา แม้การศึกษาจะช่วยเื่ที่เ้าว่ามาไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยพัฒนาจิตใจ ช่วยสอนกิริยามารยาท ช่วยให้รู้กาลเทศะ และช่วยเื่การวางตัวได้” นางพูดแดกดันเฟิ่งสือจิ่นอย่างเปิดเผย
เฟิ่งสือจิ่นหันไปมองกงเยี่ยนชิวด้วยรอยยิ้ม “แล้วเ้าคิดว่า จากคำพูดที่เ้าเพิ่งพูดไป เ้าเรียนรู้และเข้าใจเื่ที่ว่ามานั่นแล้วหรือ?” กงเยี่ยนชิวชะงักนิ่งลง เฟิ่งสือจิ่นพูดขึ้นอีก “หากยังไม่เข้าใจเื่พวกนั้น ที่เ้าเคยเรียนมาก็เปล่าประโยชน์น่ะสิ”
กงเยี่ยนชิวพูดไม่ออก เจี่ยนซืออินที่ฟังอยู่ข้างๆ กลั้นขำ “เฟิ่งสือจิ่น เ้าช่างฝีปากกล้าเสียจริงนะ!”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “จากการสรุปของข้า คนแบบพระชายาแห่งองค์ชายสี่ งดงาม สูงส่ง และโอบอ้อมมาั้แ่เกิดแล้ว แต่กับคนอย่างพวกเรา เพราะไม่มีสิ่งเ่าั้มาั้แ่เกิด จึงต้องค่อยๆ ศึกษาและเรียนรู้ในภายหลัง สรุปง่ายๆ ก็คือ...” นางหันไปมองกงเยี่ยนชิว “ผู้ที่มีรูปโฉมอัปลักษณ์ ต้องศึกษาหาความรู้ให้มากเข้าไว้”
กงเยี่ยนชิวโกรธจนหน้าดำหน้าแดง “เ้าหมายความว่า ทุกคนที่เข้ามาศึกษาในวิทยาลัยหลวงล้วนมีรูปโฉมอัปลักษณ์งั้นหรือ?”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “อย่ามาใส่ร้ายข้านะ ข้าหมายถึงหลิวอวิ๋นชูต่างหาก”
กงเยี่ยนชิวและเจี่ยนซืออิน “...”
ในขณะเดียวกัน หลิวอวิ๋นชูกำลังงีบหลับในสถานที่แห่งหนึ่ง จู่ๆ เขาก็จามจนสะดุ้งตื่น “ใครนินทาข้าอยู่เนี่ย” เขาลูบจมูกพลางพึมพำขึ้น