ราตรีเงียบสงัด แสงจันทร์ส่องสว่างสู่ในบ้านผ่านรูกว้างบนหลังคาลงกระทบเตียงที่ลาดเอียง บนเตียงยังมีคนผู้หนึ่งนอนขวางอยู่
ทันใดประตูโกโรโกโสพลันส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ก่อนจะเห็นเงาร่างของคนสองคนลอบเร้นเข้าสู่บ้านด้วยท่วงท่าประดุจแมว
เมื่อเห็นชายหนุ่มที่นอนบนเตียงหลับใหลราวท่อนไม้ ทั้งสองคนจึงผ่อนคลายความตื่นตัวลง
“ใช่มันหรือไม่” หนึ่งในสองเอ่ยถามเสียงแ่เบา
หลังจากอาศัยแสงจันทร์เพ่งพิจารณาผู้ที่นอนบนเตียง คนที่ถูกถามจึงพยักหน้ากล่าวว่า “ถูกต้อง เป็มันเอง ลงมือเถอะ”
พวกมันเดินไปข้างเตียง ก่อนที่หนึ่งในสองจะปลดกระสอบป่านลงจากไหล่วางกับพื้น มองไปคล้ายพวกมันสองคนคิดจะนำตัวคนใส่ลงในกระสอบป่าน
“เด็กโสโครก เ้าไม่อาจโทษว่าเราพี่น้อง เ้าต้องโทษตนเองที่เคราะห์ร้ายที่ไปล่วงเกินนายน้อย อย่างไรเสียเ้าใช้ชีวิตต่ำต้อยเยี่ยงนี้ก็ไม่มีค่าอันใด มิสู้ตายเสียแต่เนิ่นๆแล้วไปเกิดใหม่ ชาติหน้าเ้าพยายามเกิดในตระกูลร่ำรวยเถอะ.....”
“อย่าพูดจาไร้สาระ รีบนำเ้าเด็กโสโครกนี้ใส่กระสอบเถอะ”
“เอ๊ะ ไฉนมันถือก้อนอิฐไว้ในมือ? เพ้ย! กลับกำแน่นถึงเพียงนี้.....”
“ไม่ต้องสนใจ ปล่อยให้มันถือไว้ ข้ามีความคิดอันประเสริฐ เมื่อพวกเราไปถึงที่นั่นไม่ต้องมอบอาวุธอันใดแก่มัน เพียงให้ก้อนอิฐนี้แก่มัน อย่างไรเสียมันก็ต้องตาย แต่เมื่อนายน้อยพบเห็นท่านต้องเบิกบานใจขึ้นเป็แน่ อาจบางทีจะตบรางวัลพวกเราอีกก็ได้”
“ฮ่า ฮ่า! ความคิดของเ้าช่างต่ำช้านัก แต่ข้าชอบ.....”
มันทั้งคู่ลงมืออย่างเรียบร้อยหมดจด ดูท่าพวกมันคงเคยทำเช่นนี้มาก่อนแล้ว ทั้งสองยัดชายหนุ่มลงกระสอบป่าน ก่อนจะมัดพันอย่างระมัดระวัง หลังจากยกขึ้นบนบ่าจึงออกจากบ้านแล้วหายลับไปกับความมืดยามราตรีอย่างรวดเร็ว..... ไป๋หยุนเฟยรู้สึกว่าตนเองหลับอย่างสุขสบายยิ่ง ร่างของตนราวกับถูกความอบอุ่นอาบไล้ั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้า ขณะที่ความคิดคล้ายเลอะเลือนไม่แจ่มชัด มันไม่ทราบว่าตนเองอยู่ที่ใด ทราบเพียงว่าตนเอง้านอนหลับต่อไปไม่คิดจะตื่นขึ้นมา
“สหายน้อย ตื่นเถอะ ตื่น...”
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังก้องข้างหูของไป๋หยุนเฟย กระตุ้นสมองมันแจ่มใสขึ้น จากนั้นจึงรู้สึกว่ามีคนผู้หนึ่งโยกผลักที่ไหล่ของตน จนในที่สุดมันจึงลืมตาและลุกขึ้นนั่ง
ขณะตบหน้าผากอย่างมึนงงปากก็พึมพำว่า “ข้าเป็ไรไป? ที่นี่คือที่ใด?”
ไป๋หยุนเฟยพลันพบว่าตนเองไม่ได้อยู่ที่บ้านอย่างที่คิด ใต้ร่างปรากฏหญ้าฟางปูรองอยู่ ด้านข้างยังมีชายชราผมหงอกขาวกำลังมองมาด้วยท่าทีกังวลใจ
“ท่านปู่ที่นี่คือที่ใด? แล้วข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” อาจบางทีเพราะแววตาห่วงใยของชายชรา ไป๋หยุนเฟยจึงผ่อนคลายลงได้บ้าง แต่มันยังคงมองไปที่ชายชราด้วยท่าทีสับสน สุดท้ายจึงเอ่ยปากสอบถาม
“ว่าอะไร! เ้ากลับไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเหตุใดจึงถูกจับตัวมายังที่นี่? โอ...สหายน้อย เ้าล่วงเกินผู้ที่ไม่ควรล่วงเกิน หรือมิใช่เดรัจฉานของตระกูลจางที่คร่ากุมตัวเ้ามาที่นี่?”
“ตระกูลจาง...จางหยาง?” ไป๋หยุนเฟยพลันบังเกิดท่าทีตื่นตระหนก
“โอ เ้ารู้จักมัน? ไฉนเ้าไปล่วงเกินมันได้?! โธ่.....” ชายชรามองไป๋หยุนเฟยพลางส่ายศีรษะถอนหายใจ
ไป๋หยุนเฟยหันมองรอบข้างพร้อมกับเอ่ยปากถาม “เหตุใดพวกเราถูกกักขังอยู่ที่นี่? เมื่อใดพวกเราจึงออกไปได้?”
ที่นี่เป็ห้องอันกว้างใหญ่ นอกจากปูด้วยหญ้าฟางแล้ว บนพื้นกลับปราศจากสิ่งใดอีก มิหนำซ้ำรอบด้านยังไม่มีหน้าต่าง ทางออกด้านซ้ายของไป๋หยุนเฟยถูกปิดด้วยประตูที่จัดสร้างจากท่อนไม้หยาบหนา --- ที่คุมขังหรือ? ไป๋หยุนเฟยมองลอดประตูที่คุมขังออกไป จึงเห็นลานกว้างหลายร้อยวาด้านนอกที่ถูกล้อมด้วยกำแพงสูงร่วมสองวา ถัดออกไปด้านนอกจึงเป็อัฒจันทร์พร้อมที่นั่งอันหรูหรา
ไป๋หยุนเฟยและชายชราอยู่ที่มุมห้อง ไม่ไกลจากพวกมันยังมีผู้คนราวสิบคน ผู้คนเหล่านี้ล้วนรูปลักษณ์ดุร้าย เพียงเห็นครั้งแรกก็ทราบได้ว่าไม่ใช่คนดี พวกมันพูดคุยเสียงแ่เบาอยู่ตรงนั้น เพียงสนใจเื่ของพวกตนเท่านั้น
“ออกไป?” ชายชราเมื่อได้ยินคำพูดของมันก็แสดงสีหน้าประหลาดพิกล “สหายน้อย เ้า..... เฮ้อ! ทั้งเมืองลั่วซีล้วนทราบว่าน้อยคนนักที่ล่วงเกินจางหยาง นายน้อยตระกูลจางแล้วจะรอดชีวิต...”
“ว่าอะไร? ข้า.....ข้าจะต้องตายหรือ?” ไป๋หยุนเฟยตื่นตระหนกยิ่ง มันส่งเสียงดังขึ้นกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว จนดึงดูดสายตาไม่เป็มิตรจากกลุ่มคนด้านหน้า มันจึงรีบลดเสียงลงถามด้วยน้ำเสียงกังวลใจว่า “ท่านปู่ ท่านพูดจริงหรือ?”
“เฮ้อ สหายน้อยอย่าได้กลัวไปเลย สิ่งใดจะเกิดก็ย่อมต้องเกิด เ้าหวาดกลัวไปก็ไร้ประโยชน์...” ชายชราตบไหล่มันพลางปลอบโยน “อีกอย่าง ข้าได้ยินพวกมันบอกว่าหลังจากนี้จะส่งพวกเราไปต่อสู้กับผู้อื่น ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่พวกมันจะปล่อยเราเป็อิสระ.....” กล่าวถึงตรงนี้ชายชราจึงฝืนยิ้มอย่างอับจนปัญญา เห็นได้ชัดว่าไม่คิดว่าตนเองกับไป๋หยุนเฟย ชายชรากับเด็กหนุ่มคู่หนึ่งจะมีโอกาสรอดชีวิต
“ต่อสู้.....” ไป๋หยุนเฟยใจสะท้านสั่นระรัวด้วยความหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม แต่เมื่อได้เห็นแววตาปลอบโยนเปี่ยมเมตตาของชายชรา มันจึงค่อยสงบใจลงได้บ้าง บางทีอาจเพราะความเมตตาของชายชรากระตุ้นให้มันรำลึกถึงท่านปู่ของมัน..... “ท่านปู่ ท่าน...”
“ข้าแซ่อู๋ เรียกข้าผู้เฒ่าอู๋เถอะ”
“อืม ผู้เฒ่าอู๋เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่ด้วย?”
แต่มิคาด คำถามนี้กลับแปรเปลี่ยนชายชราเปี่ยมเมตตากลายเป็คนโศกสลดในทันใด จากนั้นดวงตาของอีกฝ่ายพลันทอประกายอำมหิต พร้อมกับที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันราวสัตว์ร้ายที่จ้องกัดกินเหยื่อ
ความเปลี่ยนแปลงกะทันหันของชายชราทำไป๋หยุนเฟยต้องตระหนกแตกตื่น มันถึงกับขยับถอยกายออกไปด้วยท่าทีหวาดหวั่น
ผ่านไปเนิ่นนาน ความเคียดแค้นในดวงตาชายชราจึงค่อยจางหายไป หลังจากถอนหายใจยาวเหยียด สุดท้ายจึงกล่าวว่า “ขออภัย ข้าทำให้เ้าหวาดกลัวหรือไม่.....?”
เมื่อเห็นชายชรากลับเป็ปกติ ไปหยุนเฟยจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะโบกมือปฏิเสธพร้อมกับกล่าวว่า “ไม่ ท่านไม่ได้ทำให้ข้าหวาดกลัว ผู้เฒ่าอู๋หากท่านไม่้าเอ่ยถึงเื่นี้ก็ไม่จำเป็ต้องกล่าวถึง...”
“อันที่จริงก็ไม่ใช่เื่อันที่กล่าวถึงไม่ได้ เป็เพราะข้าคิดจะใช้มีดผ่าฟืนฆ่าจางหยางนายน้อยตระกูลจาง บริวารมันจึงจับตัวข้ามาคุมขังไว้ที่นี่”
“ว่าอะไร?” ไป๋หยุนเฟยแทบคิดไม่ถึงว่านี่จะเป็สาเหตุให้ผู้เฒ่าอู๋ถูกคุมขังอยู่ที่แห่งนี้
“เ้าเดรัจฉานจางหยาง..... มัน..... มันทำให้หลานสาวข้าต้องตาย!” ผู้เฒ่าอู๋พลุ่งพล่านจนร่างสั่นระริก “เสี่ยวอวี้เอ๋อร์ที่น่าเวทนาของข้าอายุเพียงสิบหกปี”
“สามวันก่อน หลานสาวที่น่ารักของข้าบอกว่าจะไปซื้อผ้าพับหนึ่งมาตัดเย็บชุดแก่ข้า นางบอกว่าฤดูหนาวกำลังมาเยือน นางไม่อาจปล่อยข้าหนาวจนตัวแข็ง.....” กล่าวถึงตรงนี้ดวงตาท่านลูงอู๋กลับเปี่ยมด้วยความรักเมตตา ทั้งเผยรอยยิ้มบนใบหน้า ไป๋หยุนเฟยััได้ถึงความรักสุดพรรณนาที่ชายชรามีต่อหลานสาว เพราะก่อนนี้ท่านปู่ของมันก็แสดงท่าทางเช่นนี้ยามมองดูตนเอง
“ทว่า..... ทว่าหลังจากนางออกไปครั้งนี้ พวกเรากลับต้องจากกันตลอดกาล!” น้ำตาพลันทะลักหลั่งไหลจากดวงตา พร้อมกับที่สีหน้าท่าทีของผู้เฒ่าอู๋ต้องเปลี่ยนเป็เศร้าโศกยิ่ง
“เพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ถัดไปวิ่งเข้ามาบอกข้าว่าเสี่ยวอวี้เอ๋อร์ถูกบริวารของจางหยางจับตัวไป ข้ารีบร้อนไปยังตระกูลจางเพื่อทวงถามคน แต่เมื่อไปถึง..... นางก็กลายเป็ร่างไร้ิญญาไปแล้ว”
“เสี่ยวอวี้เอ๋อร์ หลานสาวที่น่ารักของข้า นางขัดขืนการย่ำยีของจางหยางจึงถูกเ้าเดรัจฉานนั้นทุบตีจนตาย!”
ท่าทางดุร้ายราวสัตว์ป่าพร้อมจะกัดกินผู้คนปรากฏบนใบหน้าผู้เฒ่าอู๋อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไป๋หยุนเฟยกลับปราศจากความกลัว เพียงรู้สึกโศกเศร้าและเดือดดาล
“หลังจากข้าฝังศพหลานสาว เพื่อนบ้านล้วนตักเตือนให้ข้ากล้ำกลืนโทสะ พวกมันบอกว่าข้าไม่อาจต่อต้านตระกูลหยาง ข้าก็ทราบดีชาวบ้านอย่างเราต่อให้ถูกตระกูลจางสังหารไป ท่านเ้าเมืองกับเ้าหน้าที่เพียงแสร้งไม่รู้เห็น ชีวิตของผู้คนระดับล่างอย่างพวกเราเป็ได้แค่มดปลวกในสายตาพวกมัน”
“แต่ข้าไม่อาจทนกล้ำกลืน! หากไม่ทำสิ่งใด ข้ายังจะสู้หน้าหลานสาวอันประเสริฐของข้าได้อีกหรือ ข้าคงสิ้นลมพร้อมความสำนึกเสียใจตลอดชีวิต! สุดท้ายข้าจึงคว้ามีดผ่าฟืนออกจากบ้าน ฉวยโอกาสขณะที่มันเมามายออกจากหอนางโลมหมายลงมือ ข้าอยากสับมันเป็พันๆชิ้น! มันต้องชดใช้หลานสาวข้าด้วยชีวิต”
“แต่สุดท้าย... ยังไม่ทันได้แตะชายเสื้อมัน ข้าก็ถูกผู้ติดตามของมันคร่ากุมตัวไว้..... จากนั้นข้าก็ถูกคุมขังที่นี่ ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว..... แค่ก... แค่ก...”
หลังจากผู้เฒ่าอู๋กล่าวจบ บางทีอาจเพราะพลุ่งพล่านเกินไปจึงส่งเสียงไออย่างหนักหน่วง
ไป๋หยุนเฟยนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนานยังไม่อาจนึกหาคำพูดปลอบใจ สุดท้ายจึงได้แต่กุมมือสั่นเทาของชายชราก่อนจะตบหลังพลางกล่าวด้วยความห่วงใย “อย่าได้พลุ่งพล่านเลยผู้เฒ่าอู๋ ระวังจะกระทบสุขภาพ คนเหล่านี้ต่ำช้ากว่าเดรัจฉาน สักวันพวกมันต้องถูกลงทัณฑ์อย่างสาสม”
ผู้เฒ่าอู๋มองไป๋หยุนเฟยอย่างประหลาดใจ ผ่านไปเนิ่นนานจึงกล่าว “โธ่... เสี่ยวอวี้เอ๋อร์ของข้าก็มักจะกุมมือและทุบหลังพลางเตือนข้าเยี่ยงนี้...สหายน้อยข้ายังไม่ทราบชื่อเ้าเลย”
“ข้านามว่าไป๋หยุนเฟย เรียกข้าหยุนเฟยเถอะ”
“อืม หยุนเฟยเ้าเป็คนดีงาม... ทุกวันนี้มีคนเช่นเ้าน้อยลงทุกที ผู้คนไม่ว่าเื่ส่วนรวมหรือส่วนตัวล้วนคำนึงถึงแต่ตนเอง พวกมันทำสิ่งใดล้วนไม่ใส่ใจชีวิตหรือความตายของผู้อื่น พวกมันโยนสามัญสำนึกของมนุษย์ทิ้งไป เกิดเป็คนสมควรใช้ชีวิตอย่างมีมโนธรรม...” ยามผู้เฒ่าอู๋กล่าวจบกลับเห็นไป๋หยุนเฟยจับจ้องที่ตนด้วยท่าสับสน “เป็อะไร? เ้าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ข้าพูด?”
“ไม่ ข้าเพียงระลึกถึงท่านปู่ผู้ล่วงลับ ท่าน...ก็เคยกล่าวเช่นเดียวกันมาก่อน”
ยามนั้น นอกประตูที่คุมขังพลันมีคนปรากฏตัวขึ้น พวกมันวางถังซาลาเปาและถังน้ำไว้นอกประตูก่อนจะร้องบอกคนด้านในว่า “พวกเ้าทุกคนมารับประทานเสีย! พวกเ้าต้องรับประทานให้อิ่มหนำ จะได้มีเรี่ยวแรงไปเสี่ยงชีวิต!”
เนื่องเพราะซาลาเปาในถังมีอยู่ไม่น้อย หลังจากสิบกว่าคนด้านหน้ารับประทานจนอิ่ม ผู้เฒ่าอู๋จึงลุกขึ้นไปหยิบซาลาเปาและตักน้ำใส่ชาม จากนั้นจึงกลับมาหาไป๋หยุนเฟยพร้อมกับยื่นอาหารให้ “หิวหรือไม่? รับประทานเสียก่อนเถอะ มีแต่รับประทานจนอิ่มหนำจึงมีเรี่ยวแรงมีชีวิต”
ไป๋หยุนเฟยรับประทานซาลาเปาพลางสนทนากับผู้เฒ่าอู๋ด้วยเสียงแ่เบา ยามมองเห็นแววตาปรานีของผู้เฒ่าอู๋ มันก็เริ่มรู้สึกสะท้อนใจ ั้แ่ท่านปู่ของมันจากไป มันก็ไม่เคยได้ััความรู้สึกเช่นนี้อีก --- ความรู้สึก’อบอุ่น’
หลังจากรับประทานซาลาเปาไปหลายลูกและพูดคุยอีกเล็กน้อย ผู้เฒ่าอู๋คล้ายว่าจะเหน็ดเหนื่อยจึงเอนกายพิงกำแพงเพื่อพักผ่อน ไป๋หยุนเฟยจึงขดตัวเข้ามุมกำแพงอีกครั้ง ยามนี้มันจึงค่อยมีเวลาครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน
“ไฉนอาการาเ็บนร่างข้าหายไป?” ไป๋หยุนเฟยฉุกคิดได้ว่าอาการาเ็จากการถูกทุบตีเมื่อวานล้วนหายไปอย่างน่าเหลือเชื่อ! รวมทั้งร่างกายมันยังปราศจากความรู้สึกผิดปกติใด
“ยามสนธยาวานนี้..... ดูท่าว่าข้าจะหมดสติไป? เพราะเหตุใด? ใช่แล้ว! การอัพเกรด..... ก้อนอิฐ!”
หยุนเฟยกวาดมือไปบนพื้นเบื้องหน้าตามสัญชาตญาณ คิดไม่ถึงว่าจะััถูกวัตถุขอบเรียบมีเหลี่ยมมุมจริงๆ --- จะเป็สิ่งใด้หากไม่ใช่ก้อนอิฐนั้นที่มันกำไว้ขณะสิ้นสติ
“ขณะเ้าถูกพามาที่นี่เมื่อยามสนธยาวันก่อน เ้ากำก้อนอิฐนี้ไว้ในมือแแ่..... หรืออิฐก้อนนี้จะมีความสำคัญอันใด?” ผู้เฒ่าอู๋ถามอย่างงุนงงเมื่อมองเห็นมันหยิบก้อนอิฐขึ้นมา
“เอ่อ ไม่มีอันใด อิฐก้อนนี้ข้าใช้รองขาเตียง.....” หยุนเฟยไม่ทราบจะอธิบายอย่างไร โชคดีที่เมื่อเห็นมันพูดจาตะกุกตะกักด้วยท่าทางสับสนผู้เฒ่าอู่ก็ไม่ถือสา เพียงหัวเราะเบาๆโดยไม่ถามอันใดอีก
ยามนี้ไป๋หยุนเฟยจึงก้มศีรษะมองก้อนอิฐในมือ
“ระดับไอเทม: ธรรมดา”
“ระดับการอัพเกรด: +10”
“พลังโจมตี: 9”
“พลังโจมตีเพิ่มเติม: 16”
“ผลกระทบเพิ่มเติมระดับ +10: เมื่อใช้จู่โจมมีโอกาส 1% ที่จะทำให้เป้าหมายมึนงงระยะเวลาสูงสุด 3 วินาที(เมื่อโจมตีศีรษะโอกาสทำให้มึนงงเพิ่มเป็ 5%)”
“สิ่งจำเป็ในการอัพเกรด: แต้มิญญา 12 แต้ม”
“ที่แท้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นวานนี้ก็เป็เื่จริง...”
“ผลกระทบเพิ่มเติมระดับ +10? มึนงง? หมายความว่าอะไร? หากข้าทุบตีผู้อื่นด้วยก้อนอิฐนี้แน่นอนว่าต้องทำให้มันมึนงง ไฉนจึงยังต้องมีโอกาสเกิดขึ้น”
“อัพเกรดมันอีกครั้งดีหรือไม่?”
แต่มันรีบโยนความคิดนี้ทิ้งไป ยามสนธยาวานนี้ดูเหมือนมันจะสิ้นสติไปเพียงเพราะตนเองอัพเกรดก้อนอิฐนี้ แล้วอย่างนี้มันจะกล้าวางใจอัพเกรดก้อนอิฐที่นี่วันนี้อีกหรือ?
ไป๋หยุนเฟยถือก้อนอิฐไว้ในมือเคลิ้มก่อนจะหลับไป จนผ่านไปนานเท่าใดก็ไม่ทราบ จู่ๆมันก็พลันสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยเสียงอึกทึกที่ดังอย่างต่อเนื่อง
มันหันไปมองรอบด้าน สุดท้ายจึงมองเห็นที่นั่งหรูหราบนอัฒจันทร์ด้านนอกกลับนั่งเต็มไปด้วยผู้คนในเครื่องแต่งกายหรูหรา เพียงเห็นแวบแรกก็บอกได้ว่าคนพวกนั้นคือเหล่าผู้มั่งมีมากอำนาจและเหล่าขุนนางทั้งหลาย ทั้งหมดล้วนมีท่าทีตื่นเต้นและคาดหวัง แต่ละคนกำลังกระซิบกระซาบสนทนา บางคนชี้มือชี้ไม้มาทางผู้ถูกคุมขังด้านนี้พลางเอ่ยปากสนทนากับคนด้านข้าง
“ทุกท่าน! ยินดีต้อนรับสู่สมรภูมิเดรัจฉาน!”
จู่ๆก็มีเสียงกังวานดังมาจากลานกว้าง เสียงจอแจจากเหล่าผู้สูงศักดิ์จึงเงียบลงชั่วขณะ ทว่าสีหน้าของทุกคนกลับยิ่งฉายความตื่นเต้นมากขึ้น มากจนดูคล้ายว่าจะ..... คลุ้มคลั่ง
“คนต้อยต่ำเ่าั้จะต้องดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอดและต้องฆ่าฟันกันราวสัตว์เดรัจฉาน! นี่คือสมรภูมิเดรัจฉานที่แสนเร้าใจและนองเื! มารื่นรมย์กับภาพการเฉลิมฉลองในวันนี้กันเถิด”