เจินจูกะพริบตา เหตุใดถึงได้พบใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ที่เมืองหลวงได้?
นางมองอย่างละเอียดด้วยความไม่แน่ใจ ถึงคิดขึ้นมาได้ ที่แท้เป็นางนี่เอง
สาวรับใช้ของโหยวเสวี่ยชิงบุตรสาวอันเป็ที่รักของนายอำเภอในอดีตนั่น ชื่อว่าเซียงหลันอะไรสักอย่าง
สาวรับใช้ที่ดวงตาเชิดขึ้นไปบนยอดศีรษะผู้นั้น
โหยวเสวี่ยชิงเป็ลูกผู้พี่ของโหยวอวี่เวย สาวรับใช้ของนางมาปรากฏกายอยู่เมืองหลวงก็ไม่น่าแปลกใจ แต่สาวรับใช้ผู้นั้นเหตุใดท่าทางลับๆ ล่อๆ กันนะ
เห็นเพียงนางยืนอยู่ใต้หอโรงน้ำชาร้านหนึ่ง สีหน้าท่าทางตื่นเต้นเป็กังวล เหลือบซ้ายแลขวาอยู่เป็ระยะๆ
หลังประตูโรงน้ำชา ดูไปราวกับเห็นชายรูปร่างสูงใหญ่สองคนยืนอยู่ เจินจูเห็นร่างกายเกร็งแน่นกับแววตาระแวดระวังของพวกเขาได้อย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเป็การเตรียมป้องกันอยู่ทุกเมื่อ
ในใจเจินจูเกิดความคิดขึ้น จึงเงยหน้าขึ้นมองไปทางชั้นสองของโรงน้ำชา
ในหน้าต่างหนึ่งบานเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มีหญิงสาวสวมชุดสีชมพูผู้หนึ่งถูกชายร่างสูงผอมแห้งโอบอยู่ในอ้อมกอด
หญิงสาวใบหน้าอ่อนโยนกึ่งบ่ายเบี่ยงกึ่งเข้าไปใกล้ [1] ท่าทางอ่อนแอและดูขี้อาย ไม่ใช่โหยวเสวี่ยชิงหรอกหรือนั่น
ชายผู้นั้นเครื่องหน้ามีมิติ คิ้วหนาดกดำ ั์ตาลุ่มลึกจมูกสูงโด่ง บรรยากาศรอบกายทำให้คนเกรงกลัวนัก แม้คนงามจะอยู่ในอ้อมอก แต่ดวงตากลับหม่นหมองเคร่งเครียดและกลัดกลุ้ม
ดวงตาเฉียบคมของเขาเคร่งขรึมเด็ดขาด ชั่วพริบตาเดียวที่เงยหน้าขึ้นก็สบสายตาเข้ากับเจินจู หัวใจของนางเต้นขึ้นมารัวเร็วทันที ราวกับรู้สึกว่าถูกงูพิษหนึ่งตัวจ้องเขม็งเข้า ทำให้คนหนาววูบวาบที่แผ่นหลังยิ่งนัก
โชคดีที่ความเร็วของรถม้าเคลื่อนไปข้างหน้าไม่ช้า สายตาที่สบกันจึงวาบผ่านไป
เจินจูสายตาดียิ่งนัก ใต้ดวงตาแคบยาวดุเข้มของบุรุษผู้นั้น นางเห็นไฝสีดำหนึ่งเม็ดเล็กได้อย่างชัดเจน
ชายผู้นั้นอายุสามสิบปีโดยประมาณ บนมวยผมประดับจื่อจินกวาน [2] สวมอาภรณ์ตัวยาวแขนกว้างสีหมึกเข้มขอบทอง บนมือที่กอดโหยวเสวี่ยชิงสวมปานจือ [3] มรกตสีเขียวสดโปร่งใส ดูแล้วเป็ชายที่มีฐานะไม่ธรรมดา
เจินจูตบหน้าอกเล็กเบาๆ สูดลมหายใจเข้าลึก เฮ้อ สายตามืดทึบน่ากลัวของชายผู้นั้นน่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ ความโเี้ในดวงตาราวกับพร้อมพุ่งออกมาได้ทุกเมื่อ ไม่รู้เลยว่ามีฐานะอย่างไร โหยวเสวี่ยชิงแปรงมวยผมเป็ทรงของคนที่แต่งงานแล้ว น่าจะเป็คู่แต่งงานกันกระมัง แต่สองคนไปยังโรงน้ำชาที่ห่างไกลซึ่งเป็สถานที่นัดพบของหนุ่มสาวอย่างลับๆ ล่อๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เื่ที่สามีภรรยาจะทำกัน
เช่นนั้นสองคนกำลังแอบคบชู้? จุ๊ๆ เพิ่งมาถึงเมืองหลวงก็ทำให้นางพบกับเื่เช่นนี้เข้าเสียแล้ว ไม่รู้ว่าโชคดีอะไรขนาดนี้นี่
ไม่รู้ว่าโหยวเสวี่ยชิงแต่งให้กับผู้ใด ดูจากอายุของนางน่าจะแต่งได้ไม่นาน มารดาเถอะ นี่สวมหมวกเขียวให้เซียงกงของนางเร็วเพียงนี้เลยหรือนี่
ตอนที่เจอโหยวอวี่เวย ควรนำเื่นี้บอกนางดีหรือไม่นะ? เจินจูไตร่ตรอง
...วัดต้าเอินตั้งอยู่ชานเมืองฝั่งตะวันตกของเมืองหลวง ทั้งวัดสร้างอยู่ติดูเา สิ่งก่อสร้างสูงใหญ่เด่นเป็สง่า อารามแผ่กลิ่นอายยิ่งใหญ่ เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป อารามซ้อนกันเป็ชั้นๆ กำแพงสีเหลืองสูงตระหง่านเทียมฟ้า ควันลอยขึ้นเป็เกลียว กว้างใหญ่โอ่อ่าสง่างามอย่างมาก
แม้เป็วันที่ท้องฟ้ามีหิมะปลิวว่อน แต่ยังคงมีผู้เลื่อมใสศรัทธาเข้าวัดมาจุดธูปบูชาไม่น้อย
บริเวณลานโล่งหน้าวัด ก่อตัวขึ้นเป็ตลาดขนาดย่อม มีร้านจำหน่ายเครื่องธูปเทียนกระดาษเงินกระดาษทอง ร้านขายซาลาเปา ร้านขายของเล่นเด็ก ร้านขายเชือกผูกผมดอกไม้ผ้าไหมประดิษฐ์ และสิ่งที่ควรมีล้วนมีขายทั้งหมด คึกคักมีชีวิตชีวาอย่างมาก
เจินจูและผิงอันเดินเล่นอยู่ข้างนอกด้วยความสนใจหนึ่งรอบ แล้วจึงเดินอย่างเชื่องช้าเข้าไปในวิหารหลักของวัดต้าเอิน ทำการจุดธูปสักการะ เผากระดาษเงินกระดาษทอง บริจาคเงินค่าธูปและตะเกียงน้ำมัน ล้วนทำทุกอย่างที่ควรทำในการเข้าวัดแบบดั้งเดิมหนึ่งรอบ
หลังจากนั้น พวกเขาก็เดินตามผู้ที่มาสักการะคนอื่นๆ ไปตำหนักอื่นทางหลังวิหารหลัก
ด้านหลังวิหารหลักมีถนนอิฐกว้างประมาณสองจั้งกว่า สองฝั่งปลูกต้นสนสูงใหญ่ ฤดูกาลที่เกล็ดหิมะลอยละล่อง ต้นสนยังคงสูงตระหง่านเขียวขจีเช่นดังเดิม
“ท่านพี่ วัดต้าเอินแห่งนี้ใหญ่ยิ่งกว่าวัดชิงเหยียนของเมืองเจิ้นอันยิ่งนัก” ผิงอันสอดส่ายสายตามองไปมา แล้ววิจารณ์ขึ้นหนึ่งประโยค
“ย่อมเป็เช่นนั้นอยู่แล้ว อย่างไรเสียก็เป็วัดที่ใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองหลวง ขนาดและลักษณะย่อมไม่มีวัดแห่งอื่นจะสามารถเทียบได้” พื้นที่ภายใต้อำนาจโอรสแห่ง์ ปกครองไว้ด้วยฟ้าลิขิตและมีชัยภูมิอันได้เปรียบ อีกทั้งแรงขับเคลื่อนสมัครสมานของประชาชน พัฒนาจนกลายมาเป็ความยิ่งใหญ่เพียงนี้ได้ย่อมปกติอย่างมาก
“อื้มๆ ท่านพี่ ท่านดูสิ วัดที่อยู่บนแนวสันเขาแห่งนั้นสร้างขึ้นมาได้เรืองรองยิ่งนัก หากอากาศแจ่มใสแสงแดดส่อง คงส่องแสงทรงกลดออกมาได้เลยล่ะ” ผิงอันชี้ไปที่กลางแนวสันเขาด้วยรอยยิ้ม
เจินจูเงยหน้ามองไป สร้างได้เหลืองอร่ามแวววาววิจิตรตระการตาจริงๆ ดูไปแล้ววัดต้าเอินเปี่ยมไปด้วยตะเกียงสว่างและควันธูปบูชายิ่งนัก กระเบื้องเคลือบที่เหลืองอร่ามตาเช่นนั้นราคาคงไม่เบาเลย
สองคนเดินไปพลางมองชมไปพลาง ขณะที่กำลังจะเดินผ่านประตูโค้งแห่งหนึ่ง ผิงอันที่เดินอยู่ข้างหน้าอีกนิดก็เกือบจะถูกเงาคนผู้หนึ่งชนเข้า
“ว้าย เ้าคนผู้นี้ เดินไม่มองทางหรืออย่างไร? หากเดินชนคุณหนูของข้าเข้า เ้าจะชดใช้ไหวหรือ?”
สาวผู้หนึ่งแต่งกายอย่างคนรับใช้พุ่งเข้ามาทันที คิดจะผลักผิงอันออก
ผิงอันถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว สาวใช้ผู้นั้นจึงผลักได้เพียงอากาศ
“เ้าคนบ้านนอกนี่ กล้าดีอย่างไรมาหลบข้า”
สาวใช้ผู้นั้นหน้าตาบิดเบี้ยวถลึงตาโตด้วยความโกรธ
“…”
เจินจูหันไปมองผิงอันทีหนึ่ง เห็นว่าเขาไม่เป็อะไร จึงจ้องสาวรับใช้ผู้นั้นด้วยความโมโห
“ข้าเดินอยู่ดีๆ เป็พวกท่านพุ่งเข้ามาเอง แล้วยังมาเป็คนชั่วกล่าวร้องตัดหน้า [4] อีก”
“เ้าเด็กต่ำช้านี่ ไม่นึกเลยว่าเ้ายังจะเล่นสำนวนเถียงข้างๆ คูๆ คุณหนูของข้าเป็กิ่งทองใบหยก [5] คนชั้นต่ำเช่นเ้าจะมาเฉียดชิดใกล้ได้อย่างไรกัน เ้ายังกล้ามาโต้เถียงกับผู้าุโอีก จับเ้ามาขังไว้ก็คงประพฤติตัวดีได้แล้วกระมัง” สาวรับใช้มองผิงอันด้วยความดูแคลนปราดหนึ่ง
วันนี้ผิงอันสวมเสื้อหนาวสองชั้นสีเรียบ วัสดุเป็ผ้าต่วนสีน้ำเงินธรรมดา ผ้าชนิดนี้อยู่ที่หมู่บ้านวั้งหลินนับว่าเป็ผ้าไหมที่ไม่เลวแล้ว แต่อยู่ในเมืองหลวงกลับไม่อยู่ในสายตาของครอบครัวชนชั้นสูงเลย
ผิงอันโกรธจนสีหน้ามืดครึ้ม คิดจะพุ่งเข้าไปโต้เถียงด้านหน้าสักรอบ
“แม่นางท่านนี้ ไม่ทราบว่าน้องชายของข้าทำสิ่งใดผิดหรือ เหตุใดพวกท่านจึงจะจับเขา?”
เจินจูเดินมาข้างหน้าสองก้าวด้วยใบหน้าเ็า ดึงแขนเสื้อผิงอันเอาไว้
สาวรับใช้ได้ยินดังนั้น จึงเงยหน้ามามองทางนาง ทว่าสีหน้ากลับใเล็กน้อย ในดวงตาปรากฏท่าทีตื่นตะลึงในความงามวาบผ่าน
สาวรับใช้ยังไม่ทันได้กล่าวอะไร คุณหนูที่อยู่ด้านหลังนางอย่างเงียบเชียบมาโดยตลอด ได้ก้าวอย่างอ่อนช้อยขึ้นมาด้านหน้า
“ชิวเยว่ อย่าไร้เหตุผล เื่เล็กน้อยเท่านั้น เหตุใดเสียมารยาทร้องโหวกเหวกโวยวายเสียได้”
เสียงนุ่มนวลสุภาพไพเราะชัดถ้อยชัดคำ มีสำเนียงอันเป็ลักษณะเฉพาะของคนเมืองหลวง ใบหน้าทรงกลมรีแบบรูปไข่ คิ้วใบหลิว ลูกตาดำจมูกรั้นริมฝีปากเป็รูปผลอิงเถา หน้าตาอ่อนช้อยงดงามน่าทะนุถนอม
อายุประมาณสิบสี่หรือสิบหน้าปี บนศีรษะปักปิ่นทองดอกไม้พลิ้วไหวประดับอัญมณี บนกายพาดเสื้อคลุมผ้าไหมผืนหนาสีซานหู [6] ขอบหนังพังพอนเผือก ขณะก้าวเคลื่อนไหว ผิวรองเท้าผ้าที่ปักอย่างประณีตโผล่ออกมาเล็กน้อย
“คุณหนู อีกนิดเขาก็จะชนท่านแล้วนะเ้าคะ ไม่ใช่เื่เล็กเลย ผิวถนนมีหิมะ หากเขาทำเสื้อผ้าของคุณหนูสกปรก คงไม่มีปัญญาชดใช้หรอกเ้าค่ะ” สาวรับใช้รีบก้าวไปด้านหน้าพยุงนางพร้อมยิ้มประจบ
คุณหนูนุ่มนวลผู้นั้นมองสาวใช้อย่างไม่พอใจปราดหนึ่ง แล้วหันหน้ามองมาทางเจินจู สายตาจับจ้องบนใบหน้านางอยู่ชั่วครู่ รอยยิ้มมุมปากแสดงออกอย่างแข็งทื่อเล็กน้อย ทันทีหลังจากนั้นถึงได้ผงกศีรษะเบาๆ “ขออภัยยิ่งนัก ชิวเยว่ตื่นตระหนกใเกินไป นางแค่เป็กังวลว่าน้องชายจะชนข้าเข้า กลับไปแล้วจะอธิบายได้ยาก นางไม่ได้มีเจตนาร้าย หวังว่าแม่นางอย่าได้ตำหนิ”
“เหอะ!” ผิงอันแค่นเสียงออกมาเบาๆ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็พวกนางที่เดินไม่มองทาง กลับมาโทษเขาเสียนี่ หน้าไม่อายจริงๆ
เจินจูมองนางด้วยความเ็าทีหนึ่ง หญิงสาวผู้นี้แม้มุมปากประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม แต่ส่วนลึกในดวงตากลับแฝงไว้ด้วยความเย่อหยิ่งและเหยียดหยาม ไม่แปลกใจสักเท่าไร ที่สาวรับใช้ความรู้แค่หางอึ่งและบุ่มบ่ามเช่นนี้ นิสัยของเ้านายจะดีไปกว่าสักเท่าไรได้
“น้องชายข้าเดินมาช้าอย่างมาก คุณหนูท่านนี้วิ่งออกมาจากประตูโค้งอย่างกะทันหัน หากจะบอกว่าผู้ใดชน คงจะเป็พวกท่านที่ชนน้องชายข้าถึงจะถูก สาวรับใช้ไม่แยกแยะถูกผิดก็พ่นคำพูดจาหยาบคายไร้มารยาทออกมา เป็คุณหนูที่เข้าใจเหตุผลและรู้ความถูกผิด ในเมื่อคุณหนูแสดงความรู้สึกเสียใจด้วยความจริงใจเช่นนี้ พวกข้าย่อมไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนาง” เจินจูชำเลืองมองพวกนางด้วยมาดเ็าปราดหนึ่ง กอปรกับใบหน้าสุภาพและงดงามจึงทำให้ท่าทางเคร่งขรึมน่าเกรงขามอยู่ในที
สาวรับใช้ผู้นั้นราวกับตะลึงงันในข้ออ้างของนาง พร้อมกับมองตรงมาที่นางอย่างมึนงง
ส่วนคุณหนูคนงามกลับมองสังเกตนางขึ้นลงด้วยความประหลาดใจระคนสงสัยไม่หยุด หน้าตาคนตรงหน้าช่างทำให้คนที่เห็นตกตะลึงในความงามยิ่งนัก แต่เสื้อผ้าและเครื่องประดับกลับเรียบง่ายไม่ฉูดฉาด ท่าทางสงบนิ่ง สายตาโอหัง ไม่มีคนรับใช้หรือคนติดตามมาด้วย แต่น้ำเสียงนั่นเยือกเย็นมีความมั่นใจ ราวกับยืนยันข้อเท็จจริงที่นางกล่าวออกมา ช่างทำให้คนดูแคลนไม่ได้เลยจริงๆ
อีกทั้งน้องชายของนาง แม้เสื้อผ้าเครื่องประดับเรียบง่ายยิ่งกว่า แต่หน้าตาสง่างาม ดวงตาแจ่มใส สายตาและน้ำเสียงไม่มีความต่ำต้อยเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนเด็กของครอบครัวธรรมดา
อาจเป็ครอบครัวขุนนางตระกูลสูงศักดิ์ที่ไหนที่แต่งกายสบายๆ ออกมาเดินเล่นข้างนอกกระมัง นางกัดริมฝีปากล่างเบาๆ บนใบหน้ามีท่าทีนุ่มนวลขึ้น “แม่นางท่านนี้ ข้านามว่าถังชิงอวี่ เป็บุตรีของไท่พูซื่อชิง [7] วันนี้มากราบไหว้แก้บนที่วัดต้าเอิน ได้พบกับแม่นางช่างมีวาสนาเสียจริง ไม่ทราบว่าแม่นางมีชื่อเสียงเรียงนามอันสูงส่งว่าอะไร เป็คุณหนูของครอบครัวไหน พอจะแจ้งให้ทราบสักหน่อยได้หรือไม่?”
“โปรดอภัยด้วย พบกันโดยบังเอิญ ไม่สะดวกแจ้งให้ทราบ พวกข้ายังมีธุระอยู่ ต้องขอตัวลาไปก่อนแล้ว” เจินจูเลียนแบบท่าทางของนาง หันไปผงกศีรษะทางนางเบาๆ แล้วหันไปส่งสายตาให้กับผิงอัน
สองคนก้าวไปอย่างสงบนิ่ง แต่ความเร็วกลับว่องไวอย่างมาก พริบตาเดียวก็หายลับไปด้านหลังประตูโค้ง
“โธ่! เหตุใดพวกนางจากไปดื้อๆ แล้วล่ะ? คุณหนู ทำไมท่านถึงปล่อยพวกนางไปล่ะเ้าคะ?” สาวรับใช้ชิวเยว่ได้สติขึ้น ร้องเอะอะด้วยความตื่นตะลึง
ถังชิงอวี่มองหลังประตูโค้งที่ว่างเปล่าไร้เงาแม้แต่คนเดียว ตะลึงงันเช่นกัน
ถูกชิวเยว่เอะอะใส่กะทันหัน นางอดหันกลับไปถลึงตาใส่หนึ่งทีอย่างเสียไม่ได้ หลังจากนั้นตวาดใส่นางเสียงต่ำเบาๆ “เอะอะอะไรของเ้า ยังขายหน้าไม่พอใช่หรือไม่? ที่นี่เป็วัดต้าเอิน อาจมีฮูหยินหรือคุณหนูแต่ละจวนของเมืองหลวงเข้าออกได้ทุกเมื่อ เ้ามีสมองให้มากหน่อยจะได้ไหม?”
ชิวเยว่รีบปิดปากฉับทันที เดินเข้าไปประจบข้างหน้าฉับพลัน ประคองแขนของนางไว้ “คุณหนู หนูปี้ไม่ใช่ว่าระบายอารมณ์แทนท่านหรอกหรือเ้าคะ? หากท่านชนเข้ากับเ้าหนุ่มไส้แห้งคร่ำครึผู้นั้นเข้า เสื้อคลุมหนังพังพอนเผือกตัวนี้อาจสกปรกเข้าก็ได้ เสื้อคลุมตัวนี้เป็หนึ่งในตัวที่ดีที่สุดของท่านเลยนะเ้าคะ”
ถังชิงอวี่ก้มหน้ามองซ้ายขวาเล็กน้อย สำรวจบนเสื้อคลุมอย่างละเอียดว่าเปื้อนสิ่งสกปรกหรือไม่ แม้ถังลี่ผู้เป็บิดาจะเป็ขุนนางขั้นสาม แต่ไท่พูซื่อชิงเป็หน่วยงานข้าราชการเงินเดือนน้อยนิดเท่านั้น เงินเดือนและค่าน้ำร้อนน้ำชาตลอดมาไม่ได้อุดมสมบูรณ์ รวมกับพี่น้องหญิงชายมีมากมาย ดังนั้นเสื้อผ้าและเครื่องประดับของพวกนางจึงเรียงใช้ต่อกันได้จำกัด
เสื้อคลุมหนังพังพอนเผือกตัวนี้ได้มาเมื่อปีที่แล้ว นางไม่เคยตัดใจเอามาสวมได้เลย
ยังดีที่ไม่ได้เปื้อนหรือสกปรกแต่อย่างใด
ถังชิงอวี่ผ่อนลมหายใจ “ยังดีที่ไม่เปื้อนอะไร กว่าจะเอาออกมาใส่สักครั้งได้ไม่ง่ายเลย หากทำสกปรกกลับไปคงถูกพวกนางหัวเราะเยาะแน่แล้ว”
“ใช่ไหมล่ะเ้าคะ จะว่าไปแล้วก็เป็เื่การแต่งงานของท่านไม่ราบรื่น เพราะอย่างนั้นพวกนางถึงได้กล้าดูถูกท่านเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะเื่นั้น สถานการณ์ของท่านไหนเลยจะลำบากเช่นนี้ได้ น่าชังยิ่งนัก!” ชิวเยว่เคียดแค้นด้วยความรู้สึกไม่เป็ธรรม หากคุณหนูไม่ได้อยู่ในสถานะที่ดี สาวรับใช้อย่างพวกนางก็ประสบกับความซวยไปด้วยเช่นกัน
“เฮ้อ!” ถังชิงอวี่ถอนหายใจเบาๆ กุมหน้าอกด้วยความสงสารตัวเอง “ไม่ต้องพูดแล้ว โชคดีที่เื่เกิดขึ้นั้แ่เนิ่นๆ หากรอให้ข้าแต่งไป แล้วค่อยเกิดเื่เช่นนั้นขึ้น ตอนนี้คุณหนูของเ้าอย่างข้าคงไม่ต้องไร้ลมหายใจไปแล้วหรือ?”
ขณะที่นางกล่าวก็รู้สึกหนาวเย็นวูบวาบตัวสั่นขึ้นมาเสียเอง
“คุณหนูกล่าวได้ถูกต้อง ยังดีที่เื่เกิดขึ้นั้แ่เนิ่นๆ ไอ๊หยา ไม่อย่างนั้น ท่านคงต้องถูกดึงเข้าไปเกี่ยวด้วยแล้วเ้าค่ะ” ชิวเยว่พยักหน้าเห็นด้วยติดๆ กัน
“พอแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ สายแล้ว ไม่รู้ว่าพวกนางจะนินทากันไปอย่างไรอีก” ถังชิงอวี่เกาะแขนของนางเดินออกไปทางข้างนอก
รอจนกระทั่งสองคนเดินออกไปไกล ตรงหัวมุมหลังประตูโค้งจึงมีศีรษะหนึ่งยื่นออกมา
“ท่านพี่ พวกนางไปแล้ว”
เจินจูเดินออกมาจากตรงหัวมุม มองไปยังทิศทางที่พวกนางจากไปพร้อมกับคิดอะไรบางอย่างอยู่
เชิงอรรถ
[1] กึ่งบ่ายเบี่ยงกึ่งเข้าไปใกล้ หมายถึง การแกล้งทำท่าทางปฏิเสธ
[2] จื่อจินกวาน หรือเรียกอีกอย่างว่า ไท่จื่อคุย คือ หมวกทรงรัชทายาท หมวกสำหรับฮ่องเต้ที่ยังหนุ่มหรือรัชทายาท ด้านหลังติดหางไก่ฟ้าแสดงถึงผู้มีความสามารถในการต่อสู้ หรืออีกนัยคือผู้อยู่ในวัยหนุ่ม
[3] ปานจือ หรือ ปานจือเอ่อร์ คือ แหวนหยกใช้สวมหัวแม่มือ แต่เดิมใช้สวมยิงธนู ต่อมาใช้เป็ของประดับ
[4] คนชั่วกล่าวร้องตัดหน้า หมายถึง คนไม่ดีหรือคนชั่วที่กล่าวบิดเบือนความจริง
[5] กิ่งทองใบหยก ในที่นี้หมายถึง เชื้อพระวงศ์หรือคนที่มีชาติกําเนิดสูง
[6] สีซานหู คือ สีปะการัง ประกอบด้วยโทนสีต่างๆ ของปะการัง ได้แก่ สีส้ม สีแดง และสีชมพู ซึ่งเป็ตัวแทนของสีปะการังอันล้ำค่า
[7] ไท่พูซื่อชิง คือ ตำแหน่งเ้ากรมพระราชยานหลวง ตำแหน่งขุนนางระดับขั้นที่สาม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้