“แต่ถ้าตีความอีกแบบหนึ่งดูเหมือนว่าเ้ากับนางจะต้องเผชิญกับความยากลำบากและอุปสรรคมากมาย หากเ้าสามารถเอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้ ความรักของพวกเ้าก็จะมั่นคงยืนยาว” เทพธิดาอวี้เหอกล่าว
เย่เช่อยิ้ม “เช่นนั้นอาจารย์ยังมีอะไรให้ต้องกังวลอีก?”
จู่ๆ น้ำเสียงของนางก็เปลี่ยนเป็ขมขื่น นางกระซิบว่า “ข้าไม่ได้เป็ห่วงเ้า แต่ข้าไม่อยากให้เ้าตาย เมื่อหลายปีก่อนคนผู้นั้นที่ข้าบอกว่าเหมือนเ้าก็ตายไปอย่างกระทันหัน”
เย่เช่อหัวเราะออกมาดังๆ “ขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะ แต่ข้าไม่สามารถฝืนใจตนเองได้ ข้าไม่รู้ว่าคนที่ท่านบอกว่าเหมือนข้าเป็คนอย่างไร ถึงแม้คนผู้นั้นจะคิดเหมือนข้า แต่ข้ากับเขาก็เป็คนละคนกัน ข้าอยากเดินตามทางของตนเอง ข้ารักนางและข้าจะไม่มีวันผลักไสนางไปจากข้า อาจารย์โปรดยกโทษให้ศิษย์ผู้โง่เขลาด้วย”
เทพธิดาอวี้เหอรู้ว่าไม่ว่านางจะพูดอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ นางยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และกล่าวว่า “เย่เช่อ บางทีวันหนึ่งเ้าอาจเสียใจกับสิ่งที่เ้าพูดในวันนี้ เ้าเลือกที่จะไม่เชื่อฟังข้าจริงๆ หรือ?”
นางถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
เย่เช่อกล่าวว่า “อาจารย์โปรดระงับโทสะ ข้าคิดว่าอาจารย์คงเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้ตั้งใจจะไม่เชื่อฟังอาจารย์ ข้าแค่้าใช้ชีวิตอย่างที่ข้า้าและข้าอยากอยู่กับคนที่ข้ารัก เหตุผลของข้ามีเพียงเท่านี้ ข้าขอถือโอกาสถามอาจารย์ว่าท่านเคยรักใครหมดหัวใจหรือไม่?”
ความโศกเศร้าปกคลุมใบหน้าอันงดงามไร้ที่ติของนาง แต่นั่นกลับทำให้ใบหน้าของนางดูดุร้ายขึ้นเล็กน้อย
“คนที่ข้ารักตายเพื่อคนอื่น” น้ำเสียงของนางช่างเบาหวิวราวกับว่านางไม่้ารบกวนดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้
เย่เช่อก้มหัวลงและกล่าวว่า “อาจารย์ ศิษย์ขออภัย”
คำขออภัยดังกล่าวมีไว้สำหรับตัวเขาเองและสำหรับอดีตอันยากลำบากของอาจารย์
เทพธิดาอวี้เหอถอนหายใจ “ลืมมันเสียเถอะ ถึงอย่างไรเ้าก็ไม่เชื่อฟังข้าอยู่ดี เป็ข้าเองที่วู่วามเกินไป อย่าลืมว่าเ้ามีศิษย์ร่วมอาจารย์อีกคน นามของเขาคือเซียวเหยียน หากพูดถึงความาุโ เขาถือเป็ศิษย์พี่ส่วนเ้าเป็ศิษย์น้อง คราวหน้าถ้าพบกันหวังว่าพวกเ้าจะไม่ต่อสู้กันเอง”
เย่เช่อพยักหน้าและกล่าวว่า “เมื่อครู่นี้ประมุขตระกูลมู่บอกว่าอาจารย์มีลูกศิษย์สามคน ข้าอยากรู้ว่าอีกคนคือใคร?”
ดวงตาของเทพธิดาอวี้เหอเต็มไปด้วยความโศกเศร้าอีกครั้ง นางกระซิบ “เขาตายไปแล้ว”
เย่เช่อพูดซ้ำอีกครั้ง “ศิษย์ขออภัยขอรับ”
เทพธิดาอวี้เหอกล่าวทีเล่นทีจริงว่า “เ้าไม่ต้องขออภัยข้า หากเ้ารู้สึกเสียใจจากใจจริง จงจำความเมตตาที่ข้ามอบให้เ้าไว้ ในอนาคตหากมีโอกาสข้าหวังว่าเ้าจะตอบแทนข้า”
เย่เช่อกล่าวอย่างเคร่งขรึม “อาจารย์โปรดวางใจ ศิษย์จะไม่เนรคุณอย่างแน่นอน”
เทพธิดาอวี้เหอชำเลืองมองเขา จากนั้นจึงส่งเสียงเรียกพาหนะของนาง ซึ่งเป็นกกระเรียนสีขาวบริสุทธิ์ที่มีดวงตาสีแดงชาด
นกกระเรียนเปล่งเสียงร้องเพลง
เสียงของมันฟังดูชัดเจนและไพเราะ
วันนี้อาจารย์ดูแปลกไปจริงๆ
เย่เช่อเฝ้าดูนกกระเรียนโบยบินไปก่อนจะเดินกลับไปยังศาลา
ในศาลามีเพียงซูเจินเท่านั้น เขากำลังนั่งดื่มอยู่
เมื่อเห็นเย่เช่อ ซูเจินก็ถามว่า “เ้าจะไปแล้วหรือ?”
เย่เช่อพยักหน้าและไม่พูดอะไร แต่หยิบไหสุราขึ้นมาดื่ม
“เ้าดูไม่มีความสุข?” ซูเจินถาม
เย่เช่อตอบว่า “ไม่มีอะไร แค่วันนี้อาจารย์ดูแปลกไป”
“อย่างไรหรือ?”
เย่เช่อกล่าวว่า “อาจารย์บอกว่าข้าจะตาย”
ดวงตาดอกท้อของซูเจินเปล่งประกาย เขากล่าวว่า “ข้าคิดว่านางคงจะกล่าวว่า ‘เ้าเหมือนคนผู้หนึ่ง เพียงแต่เขาตายไปแล้ว’ ใช่หรือไม่?”
เย่เช่อยกไหสุราขึ้นดื่มอีกครั้งและกล่าวว่า “อย่าหัวเราะเยาะข้า น้ำเสียงของอาจารย์ฟังดูราวกับว่าข้าเป็คนรักที่ตายจากไปของนาง ข้าไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกของข้าในเวลานั้นให้เ้าฟังอย่างไรดี เ้าลองบอกหน่อยสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้ากันแน่?”
ซูเจินหัวเราะอย่างมีความสุข “อันที่จริงข้าไม่ค่อยเจอเื่เช่นนี้ แต่ข้าบอกได้คำเดียวว่าเ้าโชคดี เอาล่ะพี่ใหญ่ อาจารย์ของเ้าพูดอะไรอีกหรือไม่?”
เย่เช่อไม่รู้ว่าตัวเองดื่มไปมากแค่ไหน เขาพึมพำ “หากฟังจากสิ่งที่อาจารย์พูด คนรักที่ทำร้ายหัวใจของอาจารย์ได้สละชีวิตของตนเองเพราะผู้หญิงคนอื่น”
ซูเจินยิ้มและถามว่า “แล้วอย่างไร?”
เย่เช่อกล่าวว่า “อาจารย์กล่าวราวกับว่าข้าควรเลิกรักปี้เหยียน!”
ซูเจินถามต่อว่า “แล้วเ้าตอบอย่างไร?”
“แน่นอนว่าข้าย่อมปฏิเสธ!” เย่เช่อตอบ
ซูเจินกล่าวอย่างจริงจัง “นี่หมายความว่าเ้าทำร้ายจิตใจอาจารย์ของเ้า”
เย่เช่อพึมพำ “ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนเสียใจอยู่แล้ว และข้าอยากให้เป็คนอื่นมากกว่าปี้เหยียน”
ซูเจินกล่าวว่า “ความรักช่างเป็สิ่งที่ยอดเยี่ยมเสียจริง”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็ได้ยินเสียงกรน
เย่เช่อหลับไปแล้ว
ซูเจินมีท่าทีสิ้นหวัง เขาสั่งให้บ่าวรับใช้พาเย่เช่อกลับห้องพัก
หลังจากนั้นเขาก็นั่งดื่มอยู่ในศาลาตามลำพัง
เขากำลังเฝ้ารอ
รอให้ประมุขตระกูลมู่และอวิ๋นจื่อกลับมา
‘ในค่ำคืนนี้กลับกลายเป็ว่าข้าคือคนที่เหงาที่สุด!’
บรรยากาศรอบตัวมีเพียงแสงจันทร์และกลิ่นสุรา
ใน่เวลาเช่นนี้ความรู้สึกที่ไม่เหมาะสมมักก่อตัวขึ้น
ในความคิดของซูเจินดูเหมือนจะมีชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เขามีใบหน้างดงามราวหยกสลัก ผมดำเงางามราวหมึกเคลือบ ริมฝีปากสีแดง ใบหน้าเกลี้ยงเกลา และคิ้วคมหนาโดยไม่ต้องวาด
ซูเจินสงสัยว่าชายหนุ่มที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้กำลังทำอะไรอยู่?
ด้านชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ห่างออกไปในเมืองอวิ๋นเมิ่งกำลังอ่านรายงานคดีอยู่ จู่ๆ เขาก็จามออกมาหลายครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะคิดว่ามีคนกำลังพูดให้ร้ายตนเองอยู่
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้สติและหันกลับไปจดจ่ออยู่กับรายงานคดีตรงหน้า
ชิงซีและอวิ๋นจื่อพูดคุยกันจนลืมเวลา ในระหว่างเดินกลับศาลา อวิ๋นจื่อก็ถามขึ้นว่า “ท่านประมุขตอนนี้น้องชายของข้าเป็อย่างไรบ้าง?”
ชิงซีตอบว่า “เขาสบายดี เ้าไม่ต้องกังวล”
อวิ๋นจื่อถามต่อว่า “ที่เมืองฉินโจวเรียบร้อยดีหรือไม่?”
ชิงซียิ้ม “ข้ายังไม่ได้รับรายงานใดๆ แต่ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบทันที ไม่ต้องกังวล คนของเราเฝ้าดูอยู่ที่นั่นตลอดเวลา เพราะฉะนั้นย่อมไม่มีปัญหาแน่”
อวิ๋นจื่อพยักหน้าอย่างกังวล
ชิงซีกำชับว่า “หากเข้าไปอยู่ในสำนักชิงซาน เ้าต้องละทิ้งตัวตน ปล่อยให้เื่ราวในอดีตจางหายไปจากใจเ้า”
อวิ๋นจื่อพยักหน้า “ข้าจะจำไว้”
ชิงซีกล่าวต่อว่า “เ้าต้องจำไว้ว่าถึงแม้ข้าและเ้าจะไม่ใช่อาจารย์และลูกศิษย์ แต่เ้าควรตระหนักว่าสายสัมพันธ์ระหว่างเราลึกซึ้งกว่านั้น”
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ข้ารู้แล้วท่านประมุข ไม่สิ...ชิงซี”
ชิงซีพึงพอใจมาก นางกล่าวว่า “กลับไปหาซูเจินกันเถอะ”
ภายใต้แสงจันทร์กระจ่าง นายน้อยผู้สูงศักดิ์นั่งดื่มอยู่คนเดียวในศาลา สุราในวันนี้มีรสชาติแตกต่างไปจากเดิมมาก
อวิ๋นจื่อรู้สึกงุนงง คนผู้นี้ได้รับการขนานนามว่าเป็บุตรชายของขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองหยงโจว ผู้ที่นั่งรถม้าหรูหราสวมอาภรณ์ราคาแพง และผู้ที่ถูกรายล้อมไปด้วยสาวงามเสมอ แต่ในเวลานี้นางกลับมองเห็นความเหงาของเขาได้อย่างชัดเจน
อวิ๋นจื่อไม่รู้ว่าเขามีอดีตแบบใด แต่นางรู้สึกประทับใจกับท่าทีอันอ่อนแอและน่าทะนุถนอมของหญิงสาวที่ต้องต่อสู้ในโลกของบุรุษในฐานะชายหนุ่มผู้หนึ่ง นางนับถืออีกฝ่ายจริงๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้