วันแรกหลังจากวันหยุดสิ้นสุดลง
บรรยากาศหน้าประตูใหญ่ของสำนักเชินก็กลับมาเป็เช่นเดียวกันกับวันที่เปิดเรียนวันแรก ดูแล้วช่างครึกครื้น
โดยความครึกครื้นส่วนใหญ่ล้วนแต่มาจากการอุทิศตนของบัณฑิตในชั้นเรียนเตรียมความพร้อม
เหล่าคนกลุ่มใหญ่พากันยกโขยงมาอย่างวุ่นวาย
ทั้งคนที่ตื่นสาย คนที่ยังไม่ได้นอนหรือคนที่ไม่อยากมาเรียน ก็ล้วนแล้วแต่มีทุกรูปแบบ
หน้าสำนักเชินจึงแน่นขนัดไปด้วยฝูงชน ทั้งยังโหวกเหวกเหลือเกิน
ทั้งยังไม่เพียงแต่หน้าประตูสำนักเชินเท่านั้นที่เป็เช่นนี้ บนูเาหลงยวนก็มีสภาพไม่ต่างกัน
เฉินโย่วหลังจากกลับมาถึงก็หลับสนิทไปพร้อมกับความวิงเวียน
วันต่อมาจึงได้นอนขี้เซา
เป็ตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ยอมตื่นขึ้นมา
ส่วนเ้าเด็กอ้วนไม่อยากออกกำลังยามเช้าจึงได้กอดเสาเตียงเอาไว้ ไม่ยอมลงจากเตียง
ส่วนท่านลุงฉือบ่าวรับใช้ชราแม้จะเริ่มมีโทสะ แต่ก็ไม่กล้าใช้ไม้แข็งปลุกขึ้นมา ด้วยกลัวนายน้อยของตนจะได้รับาเ็ เช่นนั้นจึงได้แต่กล่าวเกลี้ยกล่อม
ทว่าเด็กชายยิ่งได้ฟังเสียงของท่านลุงฉือที่กำลังโน้มน้าวตนก็ผล็อยหลับไปอีกครา ทั้งยังหลับสนิทเสียยิ่งกว่าเดิม จนมีเสียงกรนดังขึ้นมาเบาๆ
ส่วนอาสวินเพราะเมื่อวานเป็กังวลเื่ของเฉินโย่ว จึงไม่มีแก่ใจจะอ่านตำรา รอจนเฉินโย่วปลอดภัยกลับมา เขาก็อุ้มตำราเข้าไปอ่านในห้องคนเดียว เมื่อไม่มีใครคอยควบคุม เขาก็อ่านตำราอยู่เช่นนั้นจนดึกดื่น
เพราะอ่านตำราอยู่เป็ค่อนคืนเช่นนี้ จึงทำให้ใต้ตาเริ่มมีรอยคล้ำจางๆ ขึ้นมา
หลังจากมาถึงสำนักเชิน เขาจึงเพิ่งพบว่า ความรู้ที่เขามีมันช่างน้อยนิด ยังมีตำราอีกมากมายเหลือเกินที่เขายังไม่ได้อ่าน ยังมีอีกหลายเื่เหลือเกินที่เขายังไม่มีความรู้ เช่นนั้นจึงมักรู้สึกว่าเวลาที่มีช่างน้อยนิด
ยามนี้จึงตื่นไม่ไหวเช่นนี้
ส่วนคนที่สภาพดีที่สุดคงจะเป็เสี่ยวอู่ ด้วยเพราะเขาเองก็ตื่นขึ้นมารำมวยทุกเช้าอยู่แล้ว
เพลงมวยที่เขารำก็ไม่ใช่เพลงมวยชื่อดังอะไร เป็เพียงเพลงมวยที่ชายชราคนหนึ่งในถ้ำเชลยเคยสอนไว้เท่านั้น แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังฝึกซ้อมมันทุกวัน
เช่นนี้จึงมีอาลู่เพียงคนเดียวที่ต้องรับบทมารดาชรา ไล่ตามปลุกน้องๆ
แม่นางหลัวเข้ามาในห้องของเฉินโย่ว ทว่านางเพียงเพิ่งจะเข้าใกล้เ้าเด็กน่าตายนี่ ก็ถูกอีกฝ่ายคว้าหมับเข้าที่หน้าอก ทำเอานางนั้นโกรธจนแทบจะเป็ลม
เ้าเด็กนี่หยาบโลนแท้ๆ
ทั้งร่างยังเหม็นกลิ่นสุราหึ่ง
เมื่อมองใบหน้างดงามของแม่นางหลัวก็รู้ได้ว่าบัดนี้นางกำลังจะะเิอารมณ์
สาวใช้ที่อยู่ข้างกายจึงได้รีบกล่าวขึ้น “นายหญิงเ้าคะ ให้บ่าวเป็คนปลุกนายน้อยเองจะดีกว่านะเ้าคะ”
แม่นางหลัวได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า
เฉินโย่วที่ยังสะลึมสะลืออยู่ ทันใดก็เห็นว่าตรงหน้ามีบางอย่างที่เป็ประกายระยิบระยับกำลังแกว่งไปมา
นางพลันเบิกตาโพลงแล้วลุกขึ้นนั่งตามแสงระยิบระยับนั้น
มือน้อยยื่นออกไปคว้าของสิ่งนั้น ทว่าพบว่าเป็ช่อลูกปัดของน้าเสี่ยวถาวที่สะท้อนกับแสง เกิดเป็ประกายระยิบระยับ
เฉินโย่วเมื่อเห็นว่าเป็ลูกปัดก็ทำหน้างอ
น้าเสี่ยวถาวกล้าใช้ช่อลูกปัดมาปลุกให้นางตื่น ช่างเ้าเล่ห์นัก
นางที่กำลังหลับอุตุอยู่ เมื่อััได้ถึงความระยิบระยับก็คิดจะโถมกายเข้าใส่ ความรู้สึกยามนั้นรู้สึกราวกับว่าตนไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็สัตว์ตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง
ยังดีที่น้าเสี่ยวถาวไม่ได้บอกเื่นี้กับใคร ไม่เช่นนางคงจะขายหน้าจนไม่อาจจะไปพบใคร
ทว่าในยามนี้นางไม่สนเื่ขายหน้าอะไรทั้งนั้น คิดแต่อยากจะบรรเทาความโกรธของน้าหลัว ยอดโฉมงามของนางก่อน
เฉินโย่วรีบชันกายขึ้น เมื่อมีน้าเสี่ยวถาวคอยช่วย ไม่นานก็หวีผม ล้างหน้า แต่งกายเรียบร้อย
เมื่อล้างหน้าแล้ว นางก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมา ทั้งยังรู้สึกสะอาดสะอ้านขึ้นมา
เสี่ยวถาวคิดอยากจะแต้มชาดลงบนใบหน้าของเฉินโย่วสักหน่อย ทว่าเฉินโย่วกลับเบี่ยงกายหนี เฉินโย่วไม่ชอบทาอะไรบนใบหน้า ทาแล้วหน้าลื่นไปหมดจนรู้สึกไม่สบาย
หลัวอู๋เลี่ยงคอยนั่งอยู่ด้านข้างตลอด ใบหน้าเย็นเยียบจ้องมองเด็กสาว เห็นได้ชัดว่านางกำลังไม่เบิกบานใจ ทั้งยังดูเหมือนจะกำลังโกรธ ในใจคิดว่าเฉินโย่ว เ้าเด็กคนนี้นับวันยิ่งจะไม่รู้ระเบียบจนคนอื่นๆ เริ่มจะห้ามปรามนางไม่ไหวแล้ว
เมื่อคิดย้อนไปก็คิดได้ว่ากระทั่งท่านราชครูก็ยังต้องกลายเป็ม้าให้เ้าเด็กนี่ขี่…ดูเหมือนว่าไม่ว่าเื่ใดก็ล้วนแต่ไม่เกินขอบเขตของนาง
เด็กน้อยแสนเรียบร้อยคนหนึ่ง เหตุใดจึงเลี้ยงออกมาจนมีนิสัยเช่นนี้ได้เล่า แม่นางหลัวคิดแล้วก็เหนื่อยใจ
เมื่อเห็นว่าเด็กสาวล้างหน้าแต่งตัวเสร็จแล้วก็กระแอมขึ้นคราหนึ่ง เตรียมจะสั่งสอนเฉินโย่วอย่างเข้มงวดสักครา นางถึงขั้นเข้าไปร่ำสุราในหอเฟิงเยว่แล้ว นับวันก็ยิ่งขวัญกล้า
ไม่คาดคิดว่าเฉินโย่วที่เพิ่งจะล้างหน้าเสร็จ จะรีบแจ้นมาทางนางแล้วยื่นใบหน้าขาวๆ เข้ามาหอมแก้มนางคราหนึ่ง
“ท่านน้า ท่านช่างงามเหลือเกิน พวกเขายังเคยถามข้าอยู่เลยว่าข้าเป็บุตรที่ท่านคลอดมาเองหรือไม่ ทั้งยังบอกว่าข้านั้นงามเหมือนกับท่าน”
หลัวอู๋เลี่ยงกอดร่างนุ่มๆ หอมๆ นั้นเอาไว้แล้วจึงยื่นมือขึ้นลูบใบหน้าที่ไม่มีคราบน้ำลายแล้ว จากนั้นก็เลื่อนมือมาหยิกเข้าที่แขนนางครั้งหนึ่ง
“อ๊าก เจ็บ เจ็บ เจ็บเหลือเกิน”
ในเวลาเดียวกันอาลู่ก็ลากอาสวินและเ้าเด็กอ้วนให้มาดูน้องสาวด้วยกัน
เมื่อมาถึงแล้วเห็นน้องสาวกำลังลูบแขนป้อยๆ พร้อมทั้งร้องว่าเจ็บ ก็รีบพุ่งกายเข้าไปทันที จากนั้นก็รีบดึงแขนเสื้อนางขึ้น เห็นว่าบนแขนขาวเนียนของนางมีรอยแดงอยู่รอยหนึ่ง
อาลู่เห็นแล้วก็พลันหน้าแดงขึ้นมา เขารู้ว่าเ้าเด็กนี่กำลังทำทีออดอ้อนให้พวกเขาใอยู่
แม้ยามที่ยังอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ด้วยเพราะชีวิตลำบากยากแค้น ชุดฤดูร้อนของสตรีที่นั่นจึงไม่มีแขนเสื้อ แขนทั้งสองข้างล้วนแต่เผยให้เห็นกันชัดๆ ทว่ายามนี้เมื่ออาลู่หันไปเห็นสายตาของแม่นางหลัวก็กระวนกระวายขึ้นมา ราวกับว่าอีกฝ่ายนั้นมองตนได้ทะลุปรุโปร่งทุกเื่
ทว่าในยามนั้นเองเฉินโย่วก็ได้ถูกหยิกเข้าจริงๆ อีกครา
เมื่อมือหนักๆ หยิกลงมา เฉินโย่วก็ร้องลั่นราวกับหมูถูกเชือด
เสียงนั้นชวนให้ใเสียจนแม่นางงูขาวที่นอนอยู่บนคานแทบจะร่วงลงใส่คน
“ไว้คราวหน้าจะมาคิดบัญชีกับเ้าใหม่ รีบเก็บของเสีย ออกเดินทางไปสำนักกันได้แล้ว ข้าได้ยินมาว่าหากไปสายจะต้องถูกลงโทษ”
เฉินโย่วลูบแขนของตนป้อยๆ เมื่อมองดูอีกคราก็เห็นว่าบริเวณที่โดนหยิกเริ่มจะเป็สีเขียวแล้ว ท่านน้าช่างใจร้ายนัก ถึงขั้นหยิกนางจริงๆ เสียด้วย ช่างน่ากลัวเหลือเกิน ท่านลุงสามทั้งร่างก็คงจะมีแต่รอยเขียวช้ำเป็แน่ เผลอๆ ทำอะไรนิดอะไรหน่อยก็คงจะโดนหยิก คิดแล้วนางก็คิดถึงท่านลุงสามเหลือเกิน เมื่อท่านลุงสามไม่อยู่ คนที่โดนหยิกเลยต้องเปลี่ยนมาเป็นางแทน
เฉินโย่วถูกพี่ชายลากลงจากูเาไปพร้อมความขมขื่น ตลอดทางจึงออกวิ่งไม่หยุด
วิ่งไปจนถึงสำนักเชิน
นางมาถึงในยามที่สำนักเชินกำลังจะปิดประตูพอดี
ในยามที่กำลังจะไปเข้าเรียน เฉินโย่วก็คิดได้ว่าลืมของเอาไว้ จึงได้รีบกลับไปเอา
คาบแรกเป็คาบของอาจารย์จวี
ใบหน้าเคร่งครัด หนวดยาวตัดแต่งเป็ระเบียบ ผมเผ้าก็รวบไว้อย่างเรียบร้อย ท่าทางนั้นดูไม่ออกแม้แต่น้อยว่าเมื่อคืนเพิ่งจะไปดื่มสุราในหอเฟิงเยว่มา
บัดนี้กำลังนั่งหน้าถมึงทึงอยู่บนเก้าอี้หน้าชั้นเรียน
เก้าอี้ตัวนี้เพราะมีอาจารย์เคยนั่งกันมานับครั้งไม่ถ้วน ตรงกลางจึงเริ่มบุ๋มลงไปเป็แอ่ง
อาจารย์จวีนั่งลงแล้วก็เงียบงัน ใบหน้าก็ดูเยียบเย็นไม่ต่างกัน ในมือถือรายชื่อบัณฑิตเอาไว้เพื่อตรวจสอบรายชื่อ
เมื่อเห็นว่าถึงเวลาแล้วก็วางรายชื่อของบัณฑิตลงบนโต๊ะแล้วยืนขึ้น “การรักษาเวลาเป็สิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง หากกว่ากระทั่งเวลาก็ยังไม่รู้จักบริหาร ต่อไปจะกระทำการใหญ่ใดได้ วันนี้สำหรับบัณฑิตที่มาสายหรือขาดเรียนจะต้องโดนลงโทษให้คนอื่นดูไว้เป็เยี่ยงอย่าง”
ในขณะที่อาจารย์จวีกำลังกล่าวอยู่นั้น ประตูชั้นเรียนก็ถูกผลักออก
คนที่ผลักประตูเข้ามาคือหยินสงที่ท่านอาจารย์จวีและจี้จิ่วโหยวเพิ่งจะถูกท่านน้าของเขาไหว้วานให้ช่วยดูแลเป็พิเศษ
เมื่อคืนที่ยามหยินสงกลับมาถึงก็หลับฝันอย่างยาวนาน
ฝันถึงเื่ที่ไม่อาจจะบรรยายได้เื่หนึ่ง ทว่าเมื่อตื่นขึ้นมากางเกงกลับเปียกชื้นไปหมด
เช่นนั้นเช้านี้เขาจึงได้วุ่นวายอยู่ตลอดทั้งเช้า
เมื่อมาถึงสำนักเชินก็สายเสียแล้ว
ทว่าก็ยังจะพอจะลอดประตูเข้ามาทัน
ท่านอาจารย์จวีที่เพิ่งจะพูดจบก็เห็นว่าคนที่ผลักประตูเข้ามาคือเด็กหนุ่มปากแดงฟันขาวคนหนึ่ง ก็พลันขรึมลง
อาจารย์ชรารีบเอ่ยขึ้น “มาสายครั้งแรก ข้าจะลงโทษเ้าให้ลุกนั่งห้าสิบครั้ง”
เมื่อท่านอาจารย์จวีกล่าวจบก็มีเสียงดังเซ็งแซ่ดังขึ้น
ต้องลุกนั่งเช่นนี้ช่างน่าอายนัก ทั้งยังต้องย่อนั่งลง เอามือไพล่ไว้ข้างหลังแล้วะโขึ้นมา
การลงโทษเช่นนี้ก็ไม่นับว่าหนักหนาอะไร ทว่าเมื่อคนที่โดนลงโทษเป็บัณฑิตหนุ่มรูปงามผู้รักในหน้าตาของตนเช่นนี้ก็รู้สึกว่าการลงโทษเช่นนี้ออกจะเกินไป
บัณฑิตในชั้นอย่างสวีเจียเป่า ่เช้าก็ทะเลาะกับครอบครัวยกใหญ่เช่นกัน เขาไม่อยากเข้าเรียนที่สำนักเชิน ท่านพ่อยังบังคับให้เขามาเรียน เช่นนั้นจึงได้โหวกเหวกโวยวายอยู่เสียตั้งนาน ทว่ามาบัดนี้เขากลับรู้สึกโชคดีนักที่ท่านพ่อบีบบังคับให้มาแต่เช้า ไม่เช่นนั้นหากมาสายแล้วต้องมาลุกนั่งเช่นนี้ เขาคงจะอับอายจนทนไม่ไหว
ส่วนจ้งหรูในยามนี้เต็มไปด้วยความกังวล
เพียงแต่ยามเมื่อมองใบหน้าเคร่งขรึมของท่านอาจารย์จวีแล้ว ก็ได้แต่หลบสายตาสหายร่วมโต๊ะ ไม่กล้าจะมองหน้าเขาอีก
ส่วนอาลู่ก็กำลังเป็กังวลมากเช่นกัน เฉินโย่วที่กลับไปเอาของที่หอพักยามนี้ก็ยังไม่กลับมา
ในยามที่กำลังคิดถึงอยู่นั้น เฉินโย่วก็ผลักประตูเข้ามา
เมื่อนางผลักประตูเข้ามาแล้วก็เห็นว่าทั้งห้องดูเงียบผิดปกติ หันไปอีกด้านก็สบสายตาเข้ากับท่านอาจารย์จวี เช่นนั้นใบหน้างามจึงได้เผยยิ้มกว้างแล้วเอ่ยทักทายขึ้น “อรุณสวัสดิ์ขอรับท่านอาจารย์จวี”
อาจารย์จวีเมื่อเห็นบัณฑิตหนุ่มตรงหน้ายืนยิ้มกว้างก็พลันนิ่วหน้า ทั้งเครายาวนั้นยังกระตุกเบาๆ
“เ้ามาสายจะต้องโดนลงโทษ เมื่อครู่หยินสงมาสายก็ต้องลุกนั่ง ลงโทษให้เ้าไปช่วยนับว่าเขาลุกนั่งครบห้าสิบครั้งหรือไม่”
เหล่าบัณฑิต “…” กล่าวว่าจะลงโทษ แล้วให้ไปช่วยนับเช่นนี้มันคือการลงโทษอะไรกัน
หยินสงเดิมทีถูกลงโทษให้ลุกนั่งก็อับอายพอแล้ว ทว่ายามนี้ยังนึกถึงเื่ที่เขาแพ้พนันเฉินโย่วแล้วต้องเป็ม้าให้นางขี่ เมื่อเทียบกับตอนนี้แล้วก็ไม่นับว่ามีอะไร
อีกทั้งยังต้องอยู่ในชั้นเรียน ส่วนเขากับเฉินโย่วได้อยู่กันเพียงลำพังสองคนด้านนอก เช่นนี้หยินสงก็รู้สบายใจขึ้นมาอย่างประหลาด
ดังนั้นหยินสงที่อยู่หน้าประตูชั้นเรียน ใบหน้าเริ่มแดงระเรื่อจากการลุกนั่ง ส่วนเฉินโย่วก็นั่งอยู่อีกฟาก คอยนับเสียงดังลั่น
“หนึ่ง สอง สาม ยี่สิบ ยี่สิบหก ยี่สิบแปด สามสิบเก้า สี่สิบ สี่สิบสอง สี่สิบเจ็ด ห้าสิบ……”