แสงตะวันสว่างจ้า
ความหนาวเหน็บไม่ได้มาเยือนอีก
หิมะหนาวเย็นเสียดกระดูกก็จากไปแล้ว
ปีนี้น่าจะเป็เหมันต์ที่ไร้ความหนาวเหน็บอีกหนึ่งปี
องค์หญิงน้อยฟื้นแล้ว ทว่าประกาศการเข้าสอบเอินเคอถูกแจ้งออกไปแล้ว ดังนั้นจึงได้เตรียมพร้อมกันเป็ระบบแล้ว
บัณฑิตในเมืองหลวงก็ดูจะเพิ่มมากขึ้น
บัณฑิตในสำนักเชินก็จำนวนไม่น้อยที่อยากจะเข้าสอบในครั้งนี้ด้วย
ทว่าบุคคลที่เข้าสอบจริงๆ กลับมีไม่มากนัก
ถึงอย่างไรการสอบเอินเคอก็เปิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทั้งแผนการของเหล่าบัณฑิตก็ล้วนแต่เน้นความมั่นใจเป็หลัก พวกเขาล้วนแต่ต้องสอบได้เป็เลิศ
พวกเขาเข้าร่วมเพียงการสอบปกติของสำนักเชิน หากว่าสอบไม่ได้อันดับดีกว่าสหายร่วมชั้นก็อย่าไปคิดเื่การสอบของสำนักเชินเลย
ทว่าสำหรับพวกเขาแล้วก็ยังมองว่าการสอบของสำนักเชินยากกว่าการสอบเอินเคอเสียอีก
ทว่าการสอบเอินเคอไม่ได้วัดกันเพียงแค่การสอบ แต่ยังต้องดูคุณสมบัติอื่นๆ ด้วย
แน่นอนว่าเื่นี้ย่อมไม่เกี่ยวอะไรกับชั้นเรียนเตรียมความพร้อม ในชั้นเรียนเตรียมความพร้อมมีศิษย์เก่าอยู่หลายคน ระดับของจ้งหรูถือว่าธรรมดา หากว่าจะนับคนที่ไม่ต้องเตรียมตัวแต่ก็ลงสนามสอบได้ก็คงจะมีฉาวจิ่วเพียงคนเดียว ทว่าเขาก็ไม่อาจเข้าร่วมสอบได้อยู่ดี ดังนั้นบรรยากาศในชั้นเรียนเตรียมความพร้อมจึงค่อนข้างจะผ่อนคลาย
อาจารย์จวีสอนวิชาการวิเคราะห์บทกวี เรียกสั้นๆ ว่าวิชาการประพันธ์
จากการพิจารณาของเขาเห็นว่าเหล่าบัณฑิตมาจากหลากหลายพื้นที่ ดังนั้นจึงได้เริ่มสอนจากพื้นฐาน
บัณฑิตคนหนึ่งจะแต่งบทกวีได้หรือไม่ก็ไม่เป็ไร แต่อย่างน้อยต้องเขียนเรียงความได้
วันนี้เ้าเด็กอ้วนถังซีตั้งใจฟังท่านอาจารย์อย่างหาได้ยาก รอให้เขาเรียนเข้าใจแล้ว เขาจะเขียนจดหมายหาเสด็จพ่อและเสด็จแม่ให้พวกเขาได้ใสักครา
เมื่อวานเฉินโย่วได้ทำเื่เลอะเทอะไว้ไม่น้อย ดังนั้นความสัมพันธ์ของนางกับเหล่าบัณฑิตในชั้นเรียนอีกสองสามคนจึงแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิม
เมื่อเข้าเรียนแล้วจึงได้พากันยักคิ้วหลิ่วตาให้กัน แล้วถามไถ่กันว่าเมื่อวานยามกลับเรือนแล้วโดนทำโทษกันหรือไม่
เมื่อเฉินโย่วหันไปมองพี่ชาย ก็เห็นว่าสีหน้าของเขาเคร่งขรึมนัก
นางจึงไม่กล้าใจลอยอีก ได้แต่หันไปตั้งใจฟังท่านอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่
“จดหมายนั้น เมื่อเขียนให้คนที่ต่างกัน คำเรียกก็ต้องต่างกัน เช่นนั้นจึงได้มีข้อห้ามต่างๆ ดังนี้…” ท่านอาจารย์จวีเคร่งครัดในกฎเกณฑ์ ทว่าวิธีการสอนกลับไม่จืดชืด แต่ละเื่ที่สอนเชื่อมโยงกันอย่างเป็ระบบ ทั้งยังอธิบายได้กระจ่างแจ้งนัก
ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวทั้งห้องก็ล้วนแต่ตั้งใจฟังสิ่งที่ท่านอาจารย์จวีกล่าว ทั้งยังล้วนแต่จดตามไปด้วย
แสงตะวันทอลงมาบางๆ อาบลงบนใบหน้าเคร่งขรึมของท่านอาจารย์จวีที่กำลังระบายยิ้มบางๆ
เขาชอบสอนหนังสือยิ่งนัก ทั้งยังชอบความรู้สึกเช่นนี้
ยามที่เหล่าบัณฑิตตั้งใจฟังสิ่งที่เขาสอน ช่างเป็เื่ที่แสนจะงดงาม
……
การมีชีวิตอยู่ช่างเป็เื่ที่งดงามจริงๆ
หลังจากที่องค์หญิงสลบไปแล้วฟื้นขึ้นมา ฮองเฮาเ้าก็ทำตัวสนิทสนมกับพระธิดานัก
นางไม่อยากกลับไปลิ้มรสชีวิตที่มีแต่กฎเกณฑ์อีก ทุกเื่ล้วนแต่ต้องทำตามกฎเกณฑ์ กระทั่งการพบหน้ากันก็ยังต้องทำตามกฎทำตามพิธี
ฮองเฮาจ้าวบัดนี้คิดเพียงเื่เดียวคือการทำหน้าที่มารดาที่ดี
นางอยากจะชดเชยสิ่งที่นางทำได้ไม่ดีพอ
ท่าทีเช่นนี้ของพระมารดาทำให้องค์หญิงอีเหรินซาบซึ้งใจนัก
ในใจของนางหวาดหวั่นอยู่เสมอ หากว่าเสด็จแม่รู้ว่านางไม่ใช่คนที่นี่
ทว่าั้แ่เล็กนางก็เติบโตอยู่ในวังหลวงแห่งนี้ ความจริงในข้อนี้ไม่มีอะไรให้เคลือบแคลง นางคงจะคิดมากเกินไป
หลังจากองค์หญิงประชวร ฮองเฮาก็ละเว้นการเข้าเฝ้ายามบ่ายของเหล่านางกำนัล ด้วยนางอยากจะตั้งใจดูแลพระธิดาให้ดี
“นี่เจี่ยวจือไส้กุ้งที่เมื่อก่อนเ้าเคยบอกว่าอยากกิน เ้าลองชิมดูว่าอร่อยหรือไม่” ฮองเฮาจ้าวคีบที่เกี๊ยวแป้งใสจนเห็นไส้ให้พระธิดาของตน ตัวเกี๊ยวดูแล้วงดงามนัก เมื่อคีบขึ้นมาชิ้นของมันยังดูไหวน้อยๆ ด้านในยังมองเห็นกุ้งตัวแดงๆ
เมืองหลวงไม่ติดกับทะเล กุ้งสดเช่นนี้จึงหายากนัก ทว่าคนธรรมดาก็ไม่มีทางคิดอยากจะกินอะไรเช่นนี้
แต่ก็คงจะมีแต่องค์หญิงน้อยที่แตกต่างจากคนอื่นเท่านั้น จึงจะคิดเื่ประหลาดเช่นนี้ออกมาได้ เมื่อก่อนความคิดเหล่านี้ยังเคยโดนฮองเฮาจ้าวทัดทาน ด้วยคิดว่าสัตว์จำพวกกุ้งเอามาทำอาหารคงจะไม่ดีเท่าไร ทว่าในยามนี้ฮองเฮาจ้าวกลับถึงขั้นเตรียมของเช่นนี้มาให้นางด้วยพระองค์เอง
อีเหรินชอบกินอาหารทะเล เมื่อก่อนนางแค่พูดลอยๆ ไม่ได้คิดว่ามันจะมีจริงๆ
นางลองคีบขึ้นมากัดคำหนึ่ง เนื้อกุ้งเด้งๆ ไม่มีกลิ่นคาวแม้แต่น้อย ทั้งยังััได้ถึงความหวานของเนื้อกุ้ง นับว่ารสชาติดีนัก
ในยามนี้ยังไม่มีผงชูรส อาหารจานนี้จึงนับว่าอร่อยจากความสดของอาหารจริงๆ
เพียงพริบตาอีเหรินจึงกินเจี่ยวจือเข้าไปถึงสามชิ้น ทว่าเมื่อจะกินต่อก็ถูกฮองเฮาห้ามไว้
“เ้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา กระเพาะยังเย็นอยู่ กินอาหารเพียงนิดเดียวก็พอแล้ว รอให้เ้าหายดีก่อนแล้วค่อยกินอีก”
แม้ว่าจะโดนห้ามปรามเช่นนี้ แต่อีเหรินก็ยังััได้ถึงความห่วงใย
นางจึงหยุดกินอย่างว่าง่าย แล้วคีบให้พระมารดาตนชิ้นหนึ่ง
ฮองเฮาจ้าวเป็คนในชนเผ่าของแคว้นจิง แน่นอนว่านางย่อมไม่เคยลิ้มรสเนื้อกุ้งมาก่อน
แม้ว่าพระองค์หญิงน้อยจะรู้สึกว่าเนื้อกุ้งนี่ช่างดีเยี่ยม ไม่มีรสคาวแม้แต่น้อย ทว่ายามฮองเฮาจ้าวลองชิมดูคำหนึ่งก็รู้สึกว่ามันเหม็นนัก ทว่าเมื่อมองใบหน้าของเด็กสาวตรงหน้าที่กำลังพราวไปด้วยรอยยิ้มอย่างคาดหวังนั้น นางก็จำต้องเก็บสีหน้าแล้วยอมกินเข้าไป
อีเหรินมองท่าทางของเสด็จแม่แล้วก็ลอบถอนหายใจอยู่ภายในใจ นางไม่ใช่เด็กจริงๆ เสียหน่อย นางเติบโตในวังหลวง จึงได้ฝึกอ่านสีหน้าคนมาตลอด เสด็จแม่ของนางไม่โปรดอาหารตรงหน้าแม้แต่น้อย ทว่าก็ยังฝืนทำทีว่าชอบ คนเช่นนี้ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน
เมื่อรับอาหารเช้าแล้ว อีเหรินก็เตรียมจะออกไปเดินเล่นด้านนอก
เมื่อก่อนนางก็ทำเช่นนี้ ด้วยเกรงว่าอาหารจะไม่ย่อยแล้วจะทำให้อ้วนได้
ทว่านางเพิ่งจะฟื้นฮองเฮาจ้าวจึงไม่อนุญาตให้นางเดิน ให้นางนั่งรถม้าออกไปชมวิวแทน
อีเหรินหลังจากออกจากตำหนักจ้าวเหอแล้วกลับมุ่งไปทางห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้
นางถามตงฉือว่าเกิดเื่ใดขึ้นบ้างยามที่นางสลบไป ตงฉือทำท่าทีระแวดระวังก่อนจะรายงานทุกอย่างให้นางฟัง
องค์หญิงน้อยรู้ว่ายามนี้เสด็จพ่อไม่ได้ประทับอยู่ที่ตำหนักของเสด็จแม่เลย ไม่เพียงเท่านั้น ตำหนักของนางสนมนางอื่นๆ ก็ล้วนแต่ไม่เสด็จไป
ทั้งยังมีข่าวลือที่ร่ำลือว่าสาเหตุที่นางสลบไปเป็เพราะฮูหยินหลัว นางปีศาจนั่น
ทว่าข่าวลือนั้นไม่นานก็ถูกกลบไป
นอกจากนี้ในยามที่นางหลับไป องค์ชายน้อยหลี่ผิงอันยังถูกอุ้มตัวไปอยู่ในตำหนักราชครูแทน
เื่นี้ทำให้องค์หญิงน้อยเป็กังวลนัก
นางมาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อด้วยตนเอง ด้วยเพราะหลังจากนางหมดสติไป เสด็จแม่ก็ยุ่งวุ่นตัวเป็เกลียว ยามที่นางตื่นมาจึงรู้สึกว่าเื่ราวไม่อาจปล่อยให้เป็เช่นนี้ต่อไป
ทั้งสองฝั่งของเส้นทางที่ใช้เดินทางไปห้องทรงพระอักษรช่างงดงามนัก ทว่านางก็เห็นจนชินตาแล้วจึงไม่ได้รู้สึกอะไรเป็พิเศษ
เมื่อมาถึงห้องทรงพระอักษรแล้วเห็นว่าฮ่องเต้กำลังอ่านตำราอยู่จริงๆ ก็ใ
ในความทรงจำของนางห้องทรงพระอักษรของเสด็จพ่อไม่ได้มีไว้เพื่ออ่านตำราจริงๆ
แต่มีไว้เพื่อสะสางราชกิจที่คั่งค้างอยู่เท่านั้น
“หม่อมฉันถวายบังคมเสด็จพ่อเพคะ”
อีเหรินยังไม่ทันถวายบังคมให้เรียบร้อย ฮ่องเต้ก็รับสั่งให้ขันทีช่วยพยุงนางขึ้นมา
“ร่างกายอีเอ๋อร์ยังไม่ใคร่จะสู้ดี ไม่ต้องมากพิธี” ฮ่องเต้วางตำราลงแล้วมองพระธิดาด้วยแววตาอ่อนโยน
หลังจากที่สลบไปใบหน้าขององค์หญิงน้อยก็เล็กลง ยามนี้ยังดูเล็กยิ่งกว่าเดิม คางก็แหลมขึ้นมาก มองดูแล้วน่าสงสารเหลือเกิน
ความเย่อหยิ่งที่นางเคยมีก็ลดน้อยลง เหลือเพียงความอ่อนแอที่แผ่ออกมาจางๆ
อีเหรินเดินมาหยุดลงตรงหน้าเสด็จพ่อของตน แล้วจึงได้กวาดสายตามองว่าตำราที่เสด็จพ่อของตนเพิ่งจะพับปิดไปคือตำราอะไร เมื่อเห็นว่าตำราเล่มนั้นแท้จริงแล้วคือบทกวีสาวน้อยผู้สวยสด พี่เฝ้าฝันถึงเ้า ก็พลันขมวดคิ้วขึ้นมา
เล่มนี้นางก็เคยอ่านมาก่อน ด้วยนางนั้นสนใจในโลกใบนี้มาก ดังนั้นั้แ่เล็กจึงได้ให้เหล่านางกำนัลหาตำราแปลกๆ มาให้นางอ่านมากมาย เล่มนี้ก็นับว่าเป็เล่มที่เลื่องชื่ออีกเล่มหนึ่ง เนื้อหาด้านในดูแล้วน่าจะเป็เื่โบราณพอสมควร เล่าถึงคุณชายตกอับคนหนึ่งที่ไปหมายปองคุณหนูตระกูลใหญ่เข้า ทั้งสองฝ่าฟันอุปสรรคสารพัดไปด้วยกัน สุดท้ายจึงได้อยู่ด้วยกันดังหวัง เล่มนี้ได้รับความนิยมยิ่งนัก เื่การบรรยายไม่ต้องพูดถึง เนื้อหาด้านในที่เล่าถึงยามที่ต้องเผชิญอุปสรรค คุณชายจะใช้สารพัดวรยุทธ์ช่วยคุณหนูเอาไว้ กล่าวได้ว่าเป็สุดยอดวิธีการจีบสาวเลยทีเดียว
อีเหรินมองว่ามันเป็เพียงนิทานเล่มหนึ่งเท่านั้น
ทว่าเมื่อครู่เมื่อได้เห็นท่าทางตั้งใจอ่านของเสด็จพ่อ ก็รู้ได้ว่าเสด็จพ่อย่อมกำลังอ่านวิธี…