เฉินโย่วที่ดื่มสุรามา ยามนี้ได้ถูกพี่ชายหิ้วตัวกลับไปแล้ว
นางยังไม่นับว่าเมา เพียงแต่ร่างกายค่อนข้างจะอ่อนยวบ ร่างนั้นโอนเอนไปมาทว่ารอยยิ้มกลับสว่างสดใสยิ่งกว่าเดิม
กระทั่งในยามที่ต้องจากไปก็ยังร่ำลาสหายอย่างอาลัยอาวรณ์
อันดับแรกคือยื่นมือคู่น้อยไปดึงชายเสื้อของท่านจี้จิ่วโหยว
“ท่านปู่จี้จิ่ว คำโบราณกล่าวไว้ว่า สหายรู้ใจต้องเข้าเรียนในสำนักเชินด้วยกัน ไปเที่ยวหอเฟิงเยว่ด้วยกัน และเป็ขุนนางด้วยกัน แม้ว่าข้ายังไม่มีตำแหน่งขุนนาง ทว่าทั้งสองเื่แรกก็ล้วนแต่ทำแล้ว เช่นนี้พวกเราก็สามารถนับได้ว่าเป็สหายรู้ใจกันครึ่งหนึ่งได้แล้วใช่หรือไม่ ท่านเลือกสุราได้ไม่เลว คราหน้าไว้ไม่มีพี่ชาย ข้าจะมาดื่มอีก”
ในชีวิตของจี้จิ่วโหยวนี่เป็ครั้งแรกที่มีเด็กที่ยังไม่ทันจะโตเป็หนุ่มเสียด้วยซ้ำมาฉุดชายเสื้อแล้วชวนสนทนาจนเขาหน้าร้อนผ่าวไปหมดเช่นนี้ ด้วยที่ผ่านมาล้วนแต่เป็เขาที่ทำตัวอันธพาล…อีกทั้งไม่ว่าจะสะบัดอย่างไรเ้าเด็กนี่ก็ไม่ยอมปล่อย ใบหน้าที่ราวกับเพิ่งจะได้กินไชเท้าเปรี้ยวของชายชรายิ่งดูเปรี้ยวยิ่งกว่าเดิม
เมื่อจี้จิ่วโหยวสะบัดหลุดแล้ว เฉินโย่วก็เบนเป้าไปที่ท่านอาจารย์จวีต่อ
เฉินโย่วปกติแล้วก็มีแรงมากนัก ยิ่งได้ดื่มสุราก็ยิ่งมีแรง หากนางได้เกาะใครเข้าแล้ว อีกฝ่ายย่อมไม่มีทางสลัดหลุด
“หนวดของท่านอาจารย์สวยจริงๆ ข้าเห็นมันตรงดิ่งอยู่เช่นนี้ทุกวัน ไม่เลวๆ” เฉินโย่วยิ้มไปชมไป ทั้งยังยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นมา
ทว่าอาจารย์จวีในยามนี้ไม่อยากได้คำชมจากนางแม้แต่น้อย
มาเที่ยวหอนางโลมแล้วได้พบกับศิษย์เช่นนี้ ชื่อเสียงของเขาก็คงจะโด่งดังกว่าใครแล้วกระมัง…
เฉินโย่วยังอยากร่ำลาคนอื่นๆ ต่อ
ทว่ากลับถูกพี่ชายใช้กำลังลากตัวจากไป
เสี่ยวอู่คอยสกัดกั้นคนอื่นๆ อยู่ด้านหลัง
เด็กหนุ่มอกผายไหล่ผึ่ง คอยบังแผ่นหลังของเฉินโย่วเอาไว้
อาลู่พลันขรึมลง ดูแล้วก็รู้ว่ากำลังไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง ทั้งยังอยากจะะเิโทสะ
ทว่าเมื่อเดินไปสักระยะ เขาก็พบว่าน้องสาวได้ซบหลับไปอย่างง่วงงุนบนหลังเขาเสียแล้ว
อาลู่แบกน้องสาวไปจนสุดท้ายก็ไม่คิดจะขึ้นรถม้าแล้ว จึงให้เสี่ยวอู่ไปแจ้งข่าวสักหน่อย
ถึงอย่างไรสำนักเชินเองก็อยู่ไม่ไกล
ตลอดทางที่ต้องแบกน้องสาวไปด้วย ขายาวๆ ของอาลู่ บางคราต้องยกขึ้นมาเพื่อพยุงไปให้นางร่วงลงไป
เสี่ยวอู่เดินตามอยู่ด้านหลัง
ทั้งสองคนเมื่อมาถึงตีนเขาหลงยวน ก็พากันเงียบงัน
บนูเาหลงยวนไม่ได้จุดโคมไฟไว้มากมายนัก ทั้งยังไม่มีเสียงคนจอแจ มีเพียงเสียงเลื้อยของงูแว่วมาเป็ระยะ และเสียงลมพัดผ่านทิวไม้ดังซู่ๆ
อาลู่ที่แบกน้องสาวอยู่ ในคราแรกก็โกรธนางนัก ทว่าตอนนี้ความโกรธก็มลายหายไปจนสิ้นแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกลำบากใจเท่านั้น
เขาััได้ว่าร่างกายของเขา และน้องสาวมีความแตกต่างกัน
เขาเคยพบกับเหล่าสตรีในหอเฟิงเยว่มาก่อน แต่หลังจากที่ผ่านเื่ของท่านแม่ในครานั้น ความรู้สึกของเขาที่มีต่อสตรีจึงไม่ค่อยจะดีนัก
กระทั่งกับแม่นางหลัวก็ยังต้องใช้เวลาอยู่หลายปี กว่าเขาจะทำใจยอมรับนางให้เป็ผู้าุโของตนได้
ส่วนสตรีคนอื่นๆ นั้น ในใจลึกๆ มักมีความรู้สึกรังเกียจอยู่เสมอ ดังนั้นจึงได้ต่อต้านการมีปฏิสัมพันธ์กับสตรีนัก
ทว่าในยามนี้ที่ต้องแบกน้องสาวเอาไว้บนหลัง แผ่นหลังของตนกลับรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมา ทั้งยังไม่ใช่เพราะเหนื่อย แต่เป็เพราะความรู้สึกประหลาดบางอย่าง
เสี่ยวอู่ที่เดินตามอยู่ด้านหลังเมื่อได้ยินเสียงหายใจหอบแรงของอาลู่ ก็อดจะถามขึ้นไม่ได้ว่า “พี่ลู่ ท่านเหนื่อยแล้วหรือ เปลี่ยนมาให้ข้าแบกไหม ข้าแรงเยอะนะ”
“ไม่เป็ไร ตัวอาโย่วไม่หนักเท่าใด” อาลู่เอ่ยตอบ
ว่าแล้วก็ออกเดินต่อ ทุกย่างก้าวยังคงมั่นคงดังเดิม
เสี่ยวอู่ที่ร่างกายแข็งแรงมาตลอด ก็ยังรู้สึกเหนื่อยขึ้นมา แต่เมื่อได้ยินอาลู่กล่าวเช่นนั้นก็ไม่ได้บังคับอะไรต่อ
เมื่อก่อนเขาก็แบกอาสวิน ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกว่าเื่นี้ผิดแปลกอะไร
เมื่อดื่มสุราแล้วก็หลับดีนัก
ทั้งยามลืมตาขึ้นมายังเห็นพี่ชาย เฉินโย่วจึงได้รู้สึกวางใจ
อีกทั้งวันนี้ยังผ่านเื่ราวประหลาดสารพัดมา ทว่าเพียงได้เห็นพี่ชาย นางก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันที
ร่างน้อยๆ ซบหลับไปบนหลังพี่ชายอย่างว่าง่าย
เช่นเดียวกับยามยังเล็กที่เคยซบอยู่บนหลังเ้ามืดอยู่ทุกวัน ช่างรู้สึกปลอดภัยนัก
เมื่อเดินขึ้นไปบนูเาหลงยวนได้สักระยะหนึ่ง รอบกายก็ราวกับค่อยๆ เงียบสงบลง
รู้สึกได้ว่ากระทั่งพวกงูก็ไม่อยู่รอบๆ แล้ว
เหมือนกับว่าเพราะเฉินโย่วกลับมาจึงได้เป็เช่นนี้
อาลู่แบกเฉินโย่ว เฉินโย่วแบกกระเป๋าใบน้อย ในกระเป๋ามีงูน้อยที่ค่อยๆ เลื้อยออกมาแล้วหายลับเข้าไปในความมืด
“พี่ลู่ ยามที่เราเข้าไปในโถง เพลงที่อาโย่วร้องช่างไพเราะเหลือเกิน ท่านรู้หรือไม่ว่านางร้องเพลงอะไร”
“เ้านี่ยามเรียนไม่เคยจะตั้งฟังท่านอาจารย์กล่าว เพลงที่นางร้องเป็เพลงพื้นบ้านในตำราชือจิงอย่างไรเล่า ชื่อเพลงในป่ามีเถาวัลย์”
“ก็เสียงขึ้นๆ ลงๆ ยามที่ท่านอาจารย์อ่านให้ฟังชวนให้ง่วงนอนนี่ ทว่าเมื่อครู่ยามที่อาโย่วเปล่งเสียงใสๆ ของนางร้องให้ฟังนั้นช่างเสนาะหูนัก ว่าแต่เพลงนี้มันมีความหมายว่าอะไรหรือ”
อาลู่ได้แต่ส่ายหน้าไปมา
แต่ก็เปล่งเสียงร้องเพลงนี้ให้เสี่ยวอู่ฟังอีกครา
“ในป่ามีเถาวัลย์ แต่ไร้หยาดน้ำค้าง แม่สาวงามบริสุทธิ์ดั่งต้นหยาง ได้เพียงหนึ่งครา ข้าเฝ้าฝัน
ในป่ามีเถาวัลย์ แต่ไร้หยาดน้ำค้าง แม่สาวงามบริสุทธิ์ดั่งต้นหยาง ได้เพียงหนึ่งครา ข้าอยากเคียงชีวี”
ยามราตรีรอบกายจะเงียบเป็พิเศษ เสียงของอาลู่จึงกระจ่างใสนัก
เสี่ยวอู่ตั้งใจฟังที่พี่ชายร้อง ทว่าก็ยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของมัน แต่ความทรงจำนั้นกลับฝังลึกนัก
หลายปีที่ผ่านมานี้ ภาพเืที่อาบเต็มท้องทุ่ง เสี่ยวอู่ที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยาแ เสียงบทเพลงนี้ก็พลันลอยแว่วเข้ามาในหัว
น้องสาวร้องได้ไพเราะนัก
พี่ชายก็ร้องได้เพราะเช่นกัน
เฉินโย่วหลับไม่ค่อยจะสนิทเท่าใด จึงรู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงร้องเพลงของพี่ชาย
ตอนยังเด็กยามที่นางนอนไม่หลับ พี่ชายก็จะร้องเพลงกล่อมนางเช่นนี้
ยามนี้จึงรู้สึกราวกับได้กลับไปเป็เด็กอีกครา
ลมหายใจจึงค่อยๆ สม่ำเสมอขึ้น
อาลู่แบกน้องสาวไป ในใจก็รู้สึกหนักอึ้ง แต่ก็พออกพอใจมากเช่นกัน
ราวกับว่าทุกสิ่งที่เขามีในชีวิตนี้ได้อยู่บนแผ่นหลังของเขาแล้ว
แม้เส้นทางจะแสนยาวไกล แต่อาลู่กลับรู้สึกว่ามันช่างแสนสั้น
ท้องฟ้าดารดาษไปด้วยหมู่ดาว ทั้งสองด้านขนาบไปด้วยป่าทึบ
แม้ใจจะเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมาจากอก ทั้งลมหายใจยังหอบกระชั้น แต่เขากลับไม่กล้าคิดอะไรนอกลู่นอกทาง เขารู้สึกว่าเพียงแค่เขาคิดมันก็เป็บาปมหันต์แล้ว
ในที่สุดก็มาถึงยอดเขา อาลู่พลันผ่อนลมหายใจยาวออกมา
ทว่าเขากลับได้ยินเสียงน้องสาวพึมพำเบาๆ อยู่ข้างหู
“ท่านแม่ ข้าไม่ใช่อาโฉ่ว ข้าคือเฉินโย่ว”
ครู่ต่อมาเขาก็ััได้ว่าลำคอของเขากำลังชุ่มชื้นไปด้วยหยดน้ำ
ที่แท้น้องสาวก็กำลังร้องไห้เพราะความฝัน
วันนี้น้องสาวไปเจอเื่อะไรมากันนะ
อาลู่พลันรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา…
……
อีเหรินตื่นขึ้นมาแล้วก็ยังรู้สึกว่าร่างกายของตนราวกับมีหินถ่วงเอาไว้ ทั้งนี้นางยังไม่ได้นอนหลับไป เพียงแค่นอนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นหลายวัน ด้วยนางไม่อยากหลับไปอีกแล้ว
ใน่ที่นางสลบไปนั้น นางได้ฝันถึงเื่หนึ่ง ฝันเื่นั้นยังแสนยาวนาน
นางฝันเห็นตัวเองยืนอยู่ในสนามรบ
นางสวมชุดเกราะ นั่งอยู่บนหลังม้า ดูแล้วช่างสง่างามนัก
ในตอนแรกนางก็ยังรู้สึกแปลกใหม่อยู่
ทว่าต่อมากลับเห็นคนมากมายล้มตายกันไม่หยุดหย่อน ไม่ว่ามองไปทางใดก็เห็นเพียงร่างชุ่มเืไร้ิญญา
ทว่ายามที่นางมาถึง เหล่าทหารในกองทัพต่างก็มีท่าทางยินดี
ราวกับว่าพวกเขาได้พบที่พึ่ง
ทว่าอีเหรินรู้ดีว่านางไม่อาจทำอะไรได้ แม้ว่านางจะแต่งบทกลอนเก่งกว่าคนที่นี่ เข้าใจเื่ต่างๆ มากกว่า แต่นางทำาไม่เป็ นางเป็เพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง
เหล่าทหารตรงหน้าพาดันคุกเข่าลง เพื่อขอให้นางช่วยนำทัพ
แต่นางก็หวาดกลัวจนควบม้าหนีไป
ม้าวิ่งเร็วมาก นางใช้แรงทั้งหมดควบม้าหนีมาจากสนามรบ หนีมาจากความฝันนั้น
ทว่านางราวกับถูกคุมขังอยู่ในความฝันนั้น ขังในสนามรบแห่งนั้น
เมื่อนางลืมตาขึ้นมองก็เห็นเหล่าทหารที่มีมากมายเกินจะนับไหวได้ล้มตายเสียแล้ว
มีนายทหารนายหนึ่งที่แม้แต่ยามกำลังจะสิ้นใจก็ยังจับจ้องไปที่แผ่นฟ้า
ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
อีเหรินรู้สึกราวกับกำลังเห็นตนเอง ในใจจึงพรั่นพรึงนัก
โชคดีที่ในยามนั้นมีข้าศึกบุกเข้ามาแล้วใช้มีดแทงไปที่ดวงตาคู่นั้นจนแหลกเละ
าสิ้นสุดลงแล้ว องค์หญิงคิดว่าเมื่อเป็เช่นนี้นางก็คงจะจากไปได้แล้ว ทว่านางก็ยังคงล่องลอยอยู่ในลานที่เต็มไปด้วยร่างไร้ิญญาแห่งนั้น
ล่องลอยไปๆ ก็ล่องลอยไปถึงร่างไร้ิญญาที่โดนฟันจนดวงตาแหลกเละร่างนั้น สุดท้ายนางจึงพบว่าเขายังมีชีวิตอยู่
เขานอนอยู่ท่ามกลางร่างไร้ลมหายใจของทหารคนอื่น ดวงตาที่บอดสนิทยังคงแหงนมองฟ้า พร้อมกับพึมพำขึ้น “องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ คนที่์เลือกให้เป็ผู้คุ้มครองแคว้นเชินของเรา คุ้มครองราษฎร ด้วยเพราะพวกเราฟังบทกวีของท่านจึงได้มาเป็ทหาร แต่ท่านกลับทอดทิ้งพวกเรา ท่านมันคนโป้ปด”
อีเหรินได้ยินดังนั้นก็ตื่นตระหนก ร่างตรงหน้าราวกับซากศพที่พูดได้ ทั้งยังกล่าวหาว่านางเป็คนโป้ปด
ต่อมานางก็ตื่นขึ้นเพราะความใ
กระทั่งในยามนี้นางก็ยังหวาดกลัวเหลือเกิน
ร่างบางจึงเอนซบพระมารดาของตน เมื่อได้อิงแอบความอบอุ่นนั้นก็รู้สึกว่าตนกลับมามีชีวิตอีกครา
“เสด็จแม่ ลูกกลัวเหลือเกิน”
ฮองเฮาจ้าวตระกองกอดพระธิดาไว้แนบอก นางยังแต่งกายด้วยชุดพิธีการของวังหลวง ร่างบางค่อยๆ เหยียดตรงแล้วกล่าวขึ้น “ไม่ต้องกลัวไป ไม่ว่าใครจะเป็คนทำร้ายเ้า แม่จะตามหาตัวมันให้เจอ แล้วให้มันอยู่ไม่สู้ตาย”
อีเหรินฟังเสียงนุ่มลึกของพระมารดา สิ่งที่นางตรัสมาชวนให้คนขวัญผวานัก กระทั่งนางก็อดจะตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้ ด้วยเหตุนั้นนางยังไม่ทันจะได้เล่าความฝันของตนก็ซุกกายหลบเข้าไปในอ้อมกอดของมารดาเสียแล้ว
สตรีนางนี้แม้จะมีจิตใจอำมหิต แต่ก็รักบุตรสาวของตนยิ่งชีพเช่นกัน