เมื่อเข้าสู่ยามราตรี
ถนนเฟิงเยว่ก็กลับเริ่มสว่างไสวราวกับยามกลางวันก็ไม่ปาน
ราวกับยามนี้จึงจะเป็ยามที่ฟื้นคืนชีพ
ในยามกลางวันถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยความสงบ และเรียบร้อย
เมื่อเข้าสู่ยามราตรีผู้คนจึงเริ่มมาเยือนกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ชวนให้รู้สึกครึกครื้น
ถนนเฟิงเยว่เส้นนี้ และถนนเฟิงเยว่ในอำเภอิเหอนั้นแตกต่างกัน
ที่นี่จึงจะนับว่าสมชื่อถนนเฟิงเยว่ที่แปลว่าจันทรา และสายลม แสงจันทร์สาดส่องไม่มีดับลง หอสูงเรียงราย เรือแล่นอยู่บนสายน้ำที่ไหลเอื่อย และโคมไฟที่สุกสว่างตลอดคืน
ถนนเฟิงเยว่ในอำเภอิเหอเมื่อเทียบกับที่นี่แล้ว ก็เป็เพียงเรือนซอมซ่อแห่งหนึ่ง
ภาพของที่นี่ในยามราตรีนับว่าโอ่อ่าที่สุด ไม่เพียงแค่ในหอจะจุดโคมจนสว่างไสว บนถนนยังมีรถม้าจอดเรียงยาวเพื่อรอให้บริการ
บนรถม้ายังมีคนบังคับม้าที่พากันสนทนากับรถคันอื่นๆ ดังจอแจ
พลางมองเข้าไปยังส่วนในของถนนเฟิงเยว่
“หอเฟิงเยว่นี่ราวกับบ่อทอง เมื่อทองคำเข้าไป ยามออกมาจะเหลือเพียงทองแดง” คนขับรถม้าร่างกำยำมองเข้าไปด้านใน แล้วเอ่ยขึ้นอย่างปวดใจ
“หากว่าข้ามีเงินทอง ข้าก็ยินดีจะไปเยือนสักคราเช่นกัน” คนขับรถม้าอีกคนกล่าวไปก็หัวเราะไป
“อย่าฝันไปเลย ต่อให้มีเงิน เหล่านางคณิกาด้านในก็ไม่ยินดีต้อนรับแขกแบบพวกเราหรอก พวกเขาพิถีพิถันเื่สถานะนัก” คนขับรถม้าที่พอจะรู้ความคนหนึ่งเอ่ยเสริม
อาลู่และเสี่ยวอู่เมื่อลงจากูเามาแล้วเห็นว่าด้านล่างในยามค่ำคืนช่างครึกครื้นเสียยิ่งกว่ายามกลางวันก็ใ
ที่นี่ในยามกลางคืนยังบรรยากาศดีกว่ายามกลางวันมากโข
ผู้คนขวักไขว่และโคมไฟสว่างไสวราวกับเป็เครื่องประดับให้ยามราตรีที่แสนมืดมิด เมื่อมองแล้วก็รู้สึกคล้ายกับกำลังมองภาพวาดภาพหนึ่ง
อาลู่เมื่อได้เห็นแล้ว ก็ใจเต้นตึกตัก
ยามยังเล็กที่เขายังเลี้ยงแกะอยู่ไม่เคยจะคาดฝันเลยว่าชีวิตนี้จะได้มาเยือนเมืองที่เจริญรุ่งเรืองถึงเพียงนี้
ยามราตรีกลางทุ่งหญ้ามีแต่ความเงียบงัน ทว่าที่นี่ในยามราตรีกลับมีชีวิตชีวานัก
ทว่าเื่ที่ด่วนที่สุดในตอนนี้คือการตามหาน้องสาว
ที่นี่คับคั่งไปด้วยคนมากมาย อาลู่จึงต้องตั้งใจสังเกตเสียหน่อย ไม่นานนักก็เห็นว่าท่ามกลางรถม้าหลายคันมีสัญลักษณ์ของตำหนักราชครูอยู่
อาลู่และเสี่ยวอู่จึงเบียดกายเข้าไป เมื่อเข้าไปสอบถามก็เห็นว่านางกำนัลก็กำลังร้อนใจอยู่เช่นกัน
ตำหนักราชครูก็ไม่เคยมีใครมาเยือน นางก็ไม่รู้ว่าจะจัดการเื่นี้เช่นไร
เมื่อเห็นว่ามีคนมาตาม จึงรีบเล่าเื่ราวอย่างละเอียดให้ฟังทันที จึงได้รู้ว่าน้องสาวของพวกเขาโดนสหายร่วมชั้นเรียนลากเข้าไปในหอเฟิงเยว่เสียแล้ว อาลู่รู้เช่นนั้นก็พลันรู้สึกว่าเื่นี้เห็นท่าจะไม่ดีแล้ว
ในหัวคิดกังวลสะระตะ
ที่แท้น้องสาวก็เข้าไปเที่ยวเล่นในหอเฟิงเยว่ ทว่าบัดนี้นางไปวุ่นวายอยู่ส่วนใดกัน
“ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาเข้าไปในหอใด”
“ดูเหมือนว่าจะเป็หอมู่เหยียนเ้าค่ะ” นางกำนัลตอบขึ้นอย่างร้อนรน
เมื่ออาลู่ทราบแล้วก็กล่าวขอบคุณนางกำนัล จากนั้นก็ลากเสี่ยวอู่จากไปทันที
“พี่ลู่ ท่านเคยมาที่นี่หรือ เหตุใดจึงดูคุ้นเคยกับที่นี่นักเล่า” เสี่ยวอู่เดินตามอาลู่ไปก็นึกสงสัยจึงได้ถามขึ้น
เขารู้สึกเพียงแต่ว่าที่นี่ช่างคดเคี้ยวเลี้ยวลด ยิ่งเดินก็ยิ่งเดาทางไม่ถูก
อาลู่เมื่อถูกถามเช่นนี้ก็หน้าแดงขึ้นมา
เขาไม่เคยมาที่นี่ ทว่ายามเพิ่งจะเข้าไปในสำนักเชิน เขาอยากจะได้แผนที่ที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งเมืองหลวง ร้านตำราไม่มีขาย ทว่าตำราในหอตำราได้กล่าวเื่นี้ไว้
เขาจึงได้ตั้งใจท่องจำเื่เหล่านี้จนขึ้นใจ
โดยเฉพาะพื้นที่บนถนนเฟิงเยว่ ไม่ใช่ว่าเขาสนใจในตัวสตรี ทว่ายามที่เขายังเป็หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนในพื้นที่ห่างไกลแล้วต้องออกสืบข่าว เขาก็มักจะตั้งใจผูกไมตรีกับเหล่าแม่นางในหอเฟิงเยว่เป็พิเศษ ข่าวที่ได้จากพวกนางล้วนแต่เป็ข่าวสารชั้นเลิศ ทั้งยังใหม่ที่สุด
อาลู่แม้จะไม่เคยมาที่นี่ ทว่าเส้นทางด้านในและหอต่างๆ เขาล้วนแต่ท่องแผนผังได้เป็อย่างดี
เขาไม่เหมือนอาสวินที่เห็นอะไรเพียงคราเดียวก็จำได้ไม่ลืม มีหลายเื่ที่เขาก็ไม่เข้าใจ ทว่าหากเป็เื่การสืบข่าว การป้องกันเมืองและกฎหมาย เขาล้วนแต่จำได้ขึ้นใจ
เพราะเื่เหล่านี้ล้วนแต่สามารถปกป้องชีวิตของพวกเขาเอาไว้ได้
อาลู่เพียงยิ้มๆ ไม่ได้ตอบคำถามของเสี่ยวอู่ พวกเขารีบสาวเท้า ไม่นานก็ใกล้จะถึงหอมู่เหยียนแล้ว
ประตูใหญ่ของหอมู่เหยียนที่ปิดสนิทอยู่ดูแล้วช่างน่าเกรงขาม ทว่าไม่คาดคิดว่าหออื่นๆ จะพากันเปิดประตูออกมา ทั้งยังชวนเชิญให้พวกเขาเข้าไป
ภายนอกของหอมู่เหยียนเงียบสงบราวกับว่าด้านในจะต้องมีคนใหญ่คนโตมาใช้บริการอยู่เป็แน่
“พี่ลู่ ท่านจะให้ข้าพังประตูเข้าไปหรือไม่” เสี่ยวอู่พิจารณาไปก็ลูบลูกเหล็กของตนไปพลาง
ลูกเหล็กทั้งสองลูกของเขาทุกวันนี้หนักนับร้อยจินแล้ว
คนทั่วไปหากต้องแบกของที่หนักนับร้อยจินเอาไว้กับตัว ย่อมต้องเปลืองแรงมากเป็แน่ ทว่าเสี่ยวอู่กลับห้อยมันไว้กับกายราวกับมันเป็เพียงสร้อยเส้นหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าจะกิน จะนอน หรือจะเดินก็ล้วนแต่พกมันติดกายไปด้วย
เขายืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับประเมินแรงที่ตนต้องใช้ในการทำลายประตูตรงหน้า คิดไปก็รู้สึกว่าเพียงเขาทุบแรงๆ มันก็คงจะเปิดออก
ส่วนอาลู่กำลังรำลึกถึงกฎของหอมู่เหยียน มีข้อหนึ่งที่กล่าวไว้ว่าหากมั่นใจในรูปลักษณ์ของตนมากพอ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีอำนาจหรือตำแหน่งหรือไม่ หอมู่เหยียนย่อมจะเปิดต้อนรับแขกเช่นนี้แน่นอน
อาลู่จึงได้ยั้งเสี่ยวอู่ไว้ไม่ให้ลงมือ แล้วจึงเดินไปเคาะประตู
เขาเองก็หน้าตาไม่เลว
หน้าตาของเขาคล้ายกับมารดาไร้หัวใจของตน
ในปีนั้นบนทุ่งหญ้าเกิดเหมันตภัยจนคนต้องอดตายไปไม่รู้มากมายตั้งเท่าไร มารดาของเขาก็ยังสามารถอาศัยหน้าตาหาคนมาสู่ขอตนได้ ทั้งยังแต่งกับพ่อบ้านคนหนึ่งที่หน้าตาไม่เลวเช่นกัน
เพียงแต่น่าเสียดายที่นางไร้วาสนา เกิดมาในครอบครัวเล็กๆ
อาลู่มีดวงตาดอกท้อ ริมฝีปากยังเรียวบาง ร่างก็สูงโปร่ง รอยยิ้มบนใบหน้าก็แสนอ่อนโยน รูปลักษณ์เหล่านี้ล้วนแต่ตรงตามแบบฉบับของคุณชายในเมืองหลวง
ยามนี้เขายังสวมเครื่องแบบของสำนักเชิน อาลู่จึงเดาว่าด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้ของตนย่อมต้องผ่านเข้าไปได้กระมัง
ดังนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจเคาะประตู
ไม่นานก็มีคนมาเปิดประตูจริงๆ ทั้งเมื่อเห็นท่าทาง และการแต่งกายของอาลู่ก็ตื่นตาตื่นใจขึ้นมา ทว่าแม่นางคนนั้นยังคงส่ายหน้าไปมา “วันนี้หอมู่เหยียนมีแขกคนสำคัญ ขอท่านโปรดมาเยือนในวันอื่นเถิดเ้าค่ะ” เมื่อกล่าวจบก็ปิดประตูทันที
ทว่ายามที่นางเปิดประตูออกมาเขาเหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมา อีกทั้งเสียงนั้นยังเป็เสียงของเฉินโย่ว
เขาหูไวกว่าคนอื่นอยู่สักหน่อย ดังนั้นจึงไม่ได้จากไปเช่นนั้น
“ข้ามาตามหาศิษย์น้อง พวกเขาเข้าไปในหอมู่เหยียนกัน ศิษย์น้องยังเยาว์นัก ขอพี่สาวได้โปรดผ่อนผันให้ข้าเข้าไปเถิด” อาลู่กล่าวขึ้นอย่างเกรงอกเกรงใจ
“มีที่ไหนกันจะมาตามหาน้องชายที่นี่ อยากตามหาน้องชายก็ไปเรือนหนานเฟิงนู่น ที่นี่พวกเรามีแค่เหล่าพี่สาวเท่านั้น” สตรีตรงหน้าหัวเราะคิกคัก
ด้านหลังของนางยังมีบุรุษร่างกำยำอีกสองคนเดินมาเพื่อปิดประตู
เสี่ยวอู่แม้จะแข็งแกร่ง แต่เมื่อเทียบกับชายร่างกำยำสองคนนี้แล้วก็ยังตัวเตี้ยกว่าสักหน่อย
เพียงแต่ในยามนั้น เพียงพริบตาอาลู่ก็ปาเข็มสองเล่มเข้าใส่บุรุษร่างกำยำทั้งสองคน ชายทั้งสองยังไม่ทันเดินมาถึงด้านหน้าก็ล้มลงทั้งที่ตัวยังแข็งทื่ออยู่เช่นนั้น
เสี่ยวอู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังก็รีบยกบุรุษทั้งสองไปไว้ด้านข้างทันที
ส่วนอาลู่ก็ยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้มแสนอบอุ่น “เป็แค่กลเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเขาได้พักสักชั่วยามหนึ่ง ศิษย์น้องของข้ายังอยู่ด้านใน ขอพี่สาวได้โปรดช่วยเปิดทางด้วย”
นางคณิกาเสี่ยวเหอไม่คาดคิดเลยว่าจะมีคนกล้าลงมือในหอมู่เหยียน อีกทั้งคนที่ลงมือยังเป็เด็กหนุ่มที่ยังไม่เป็ผู้ใหญ่ ยิ่งกว่านั้นคือพวกเขายังสวมเครื่องแบบสำนักเชินอีกด้วย
เกรงว่าพวกเขาคงจะไม่รู้ว่าใครคือผู้ที่อยู่เื้ัหอมู่เหยียนกระมัง
ทว่าเมื่อหันไปมองอีกฝ่ายที่ยังเอาแต่ยิ้มแย้ม เสี่ยวเหอก็ไม่กล้าสร้างเื่ยุ่งยากอีก ได้แต่นำทางพวกเขาเข้าไปด้านใน
ณ โถงใหญ่
เฉินโย่วยังคงเอาแต่ร้องรำพร้อมกับร่ำสุราอยู่ ทั้งในมือยังถือตะเกียบ แล้วเคาะถ้วยต่างเครื่องดนตรีอีกด้วย
ทั้งข้างกายยังมีเหล่านางคณิกาอีกไม่น้อยที่กำลังร่วมถือตะเกียบเคาะถ้วยเป็ทำนองไปกับนาง
ส่วนหยินสงที่ในครานี้ตอบรับคำเชิญของท่านอารองที่ชวนมาหอเฟิงเยว่อย่างเบิกบาน ก็เพราะ่เวลาที่เขาอยู่ในสำนักเชิน เขาพบว่าเขาหลงรักเฉินโย่วจนราวกับเป็โรคทางใจ วันทั้งวันไม่อาจคิดเื่อื่น คิดแต่เพียงอยากจะเข้าเรียนเพื่อไปนั่งมองหน้านางในชั้นเรียน กระทั่งยามกินก็ยังคิดถึงนาง เพียงได้กล่าวอะไรกับนางสักประโยคก็เบิกบานใจไปเสียครึ่งวัน นางเพียงตอบเขาส่งๆ สักประโยค เขาก็เอาไปขบคิดอยู่นานสองนาน
เขารู้สึกว่าเขาชอบนางเหลือเกิน ชอบเสียจนรู้สึกทรมาน ทั้งยังรู้สึกว่าไม่ควรเป็เช่นนี้
หากกล่าวว่าเมื่อก่อนเขาเป็กังวลว่าเฉินโย่วจะเกิดเื่ เช่นนั้นยามนี้เป็เพราะอะไรเล่า
ดังนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจตามท่านอารองมาหอเฟิงเยว่ เพราะเคยได้ยินผู้คนเล่าลือว่าหอเฟิงเยว่คืออันดับหนึ่งในใต้หล้า เหล่านางคณิกาด้านในยังดูเหนือชั้นกว่าเหล่าคุณหนูในตระกูลใหญ่เสียด้วยซ้ำ
ไม่แน่ว่าหากได้พบโลกมากขึ้นสักหน่อย เขาอาจเลิกคิดถึงเฉินโย่วทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้
ทว่ายามที่มาถึงหอมู่เหยียน ยังไม่ทันจะได้พบท่านจี้จิ่วโหยว เขาก็ได้ปะทะกับเฉินโย่วก่อนแล้ว
เฉินโย่วที่สวมชุดยาวแสนวิจิตรสีขาว ใบหน้าน้อยๆ พราวด้วยรอยยิ้ม เรือนผมรวบไว้เพียงลวกๆ ท่าทางเสเพลของนางกำลังเคาะชามแตกๆ อย่างเอาแต่ใจ ทั้งยังเปล่งเสียงใสๆ ขับลำนำ เพียงได้เห็นความงามของนางก็พร้อมจะทำบาปทุกอย่างชีวิต
หยินสงรู้สึกราวกับว่าหอมู่เหยียนพลันไร้สีสันลงทันตา มีเพียงนางเท่านั้นที่โดดเด่น
เฉินโย่วร้องเพลงเฮฮา บัดนี้เริ่มรู้สึกเมาขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว แต่ก็คงจะเป็เพราะนางเพิ่งจะเคยดื่มสุราเป็ครั้งแรก
เมื่อนางเงยหน้าขึ้นก็สบสายตาเข้ากับพี่ชายและพี่อู่ เช่นนั้นนางจึงรีบโบกไม้โบกมือ
“พี่ชาย ข้าอยู่นี่”
จากนั้นจึงะโขึ้นยืนบนโต๊ะ กระทั่งลำนำก็ไม่อยากขับร้องอีกต่อไป ร่างน้อยโผกายเข้าสู่อ้อมกอดพี่ชายทันที
อาลู่พยุงร่างน้อยที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุราไว้ เมื่อเห็นร่างอ่อนยวบราวกับดินเหนียวของน้องสาว สีหน้าก็พลันซับซ้อนขึ้นมา อาลู่ยามที่อยู่ด้านนอกแม้จะยังรักษารอยยิ้มจอมปลอมเอาไว้ แต่ในใจกลับโกรธจนแทบคลั่ง
“ใครอนุญาตให้เ้ามาที่นี่กัน หากท่านอาจารย์รู้เข้า เกรงว่าคงจะลงโทษให้เ้าคัดตำราอีกเป็แน่”
อาลู่ที่โทสะโหมซัดราวกับเปลวเพลิง ทว่าใบหน้าที่มองน้องสาวนั้นต่อให้โกรธเพียงไรก็กล่าวออกมาได้เพียงเท่านี้
เฉินโย่วจึงรีบแย้งขึ้น “ไม่เป็ไรเสียหน่อย ท่านอาจารย์ประจำชั้นกับท่านจี้จิ่วของพวกเราก็อยู่ที่นี่ด้วย”
จี้จิ่วโหยวที่ราวกับเพิ่งจะกินไชเท้าเปรี้ยวมา “…”
อาจารย์ประจำชั้นจวีที่ได้แต่หนวดกระตุก “…”