ชุ่ยหลิวยื่นบันไดมาอย่างดี ไม่เพียงแต่ชี้ว่าหลิวซานกุ้ยที่เป็ซิ่วไฉนั้นมีพร์เพียงใด แล้วยังจงใจตอกย้ำว่าหลิววั่งกุ้ยเรียนมาสิบปีถึงจะสอบผ่าน
โอ้ ์ เหตุใดคนตาบอดจึงมีมากมาย ท่านพ่อของนางเป็ถึงเด็กเรียนเชียวนะ!
เพียงนิ้วก้อยก็สามารถดีดอาสี่ให้กระเด็น!
อย่างไรก็ตามหลิวเต้าเซียงไม่ได้บอกพวกเขา ปล่อยให้พวกเขาอิจฉาริษยาและเกลียดชังไป!
ปล่อยให้คนเหล่านี้โกรธมากจนนอนไม่หลับ นางจึงจะหลับอย่างหมดห่วง!
หลิวชิวเซียงกระซิบข้างหูน้องสาว “เหตุใดข้าฟังแล้วเหมือนคำพูดของท่านย่ามีความนัยเล่า?”
หลิวเต้าเซียงแปลให้ทันที “นางกําลังพูดถึงพวกเราว่าจะเรียนให้มากมายไปด้วยเหตุใด น่าจะเชิดชูหญิงที่ไม่มีความสามารถว่าเป็เลิศ วันๆ เอาแต่เย็บปักและแลกเงิน แล้วพูดคุยซุบซิบนินทาเื่ชาวบ้านไป”
“น่าโมโหนัก เหตุใดท่านย่าจึงเป็เช่นนี้?” หลิวชุนเซียงทำแก้มน้อยๆ อูมจนกลายเป็ซาลาเปา
หลิวเต้าเซียงเอื้อมมือออกไปและจิ้มแก้ม “หากเ้าโกรธ นางจะดีใจ แต่หากเ้าไม่โกรธ นางจะยิ่งโมโหกว่าเดิม หากเ้าฟัง นางจะได้ใจ แต่หากเ้าไม่ฟัง นางก็จะตีฆ้องร้องป่าวเอง”
สำหรับคนบ้าอย่างหลิวฉีซื่อ เพียงแค่เพิกเฉยต่อนางเป็พอ!
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนเริ่มคิดได้ จึงเอ่ยอีก “แต่หากนางลงมือลับหลัง เราก็ต้องโเี้กว่านาง นางจึงจะกลัว”
ดังนั้นหลิวเต้าเซียงจึงเชื่อเสมอว่านางไม่ใช่คนดี แต่นางก็ไม่ใช่คนเลว หากอีกฝ่ายกัดนาง นางจะฉีกทึ้งเนื้อชิ้นใหญ่ หากอีกฝ่ายนับถือนาง นางก็จะตอบแทนให้เป็เท่าตัว
จางกุ้ยฮัวที่นั่งอยู่ตรงหน้าเมื่อได้ยินคำพูดโหดร้ายของบรรดาบุตรสาวก็หน้ามืด เหตุใดลูกๆ แต่ละคนถึงได้โเี้นัก?!
ขอคําตอบที!
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของหลิวฉีซื่อที่จ้องมองมาทางนี้ จางกุ้ยฮัวก็รีบอยู่ในสถานะที่เข้าฌาน
เช่นเดียวกับนักบวชลัทธิเต๋า หูสองข้างตาหนึ่งข้าง ใครจะพูดอะไรก็ปล่อยไป ถึงอย่างไรนางก็ไม่สน
หลิวฉีซื่อเห็นว่าวิธีการที่นางได้เรียนรู้มาจากจวนตระกูลหวงได้ถูกงัดออกมาใช้ราวร้อยละแปดถึงเก้าสิบแล้ว แต่ครอบครัวจางกุ้ยฮัวก็ไม่ได้สนใจ ทำให้การกระทำของนางนั้นสูญเปล่า จึงรู้สึกหมดแรงอย่างไรอย่างนั้น
นางแอบมองไปที่ชุ่ยหลิว
ชุ่ยหลิวจึงพูดทันที “ฮูหยินใหญ่ เพราะว่าสองวันนี้ไม่มีตลาดนัด อาหารคาวทั้งหลายจึงหาซื้อยาก ในบ้านมีเพียงผักเขียวเล็กน้อย ด้านหลังมีเพียงแม่ไก่ไม่กี่ตัว แต่นั่นต้องเก็บไว้วางไข่เพื่อไปแลกเงินเข้าบ้าน”
หลิวฉีซื่อมีแม่ไก่ห้าสิบตัวอยู่ในเล้าหลังบ้าน นี่ล้วนเป็ของที่นางหาวิธีไปเอามาจากบ้านของหลิวซานกุ้ยตลอดหนึ่งปี
หากจะโทษ ก็ต้องโทษที่จางกุ้ยฮัวกุมอำนาจอย่างเข้มงวดมากเกินไปในเื่หมูกับไก่
หลิวซานกุ้ยไม่กล้าให้มารดามากเกินไป
“อะแฮ่ม!” เป็ครั้งแรกที่หลิวฉีซื่อรู้สึกว่าชุ่ยหลิวใช้งานไม่ได้ดั่งใจ
นางจึงต้องออกหน้าเอง “ซานกุ้ยยังไม่กลับมาอีกหรือ?”
จางกุ้ยฮัวถอนหายใจเงียบๆ ไม่รู้ว่าแม่สามีจะมีแผนอะไรอีก
เื่ที่หลิวซานกุ้ยสอบได้อันดับปิ่งเซิงนั้นแพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้าน ขณะที่บ้านเดิมก็ยังไม่ได้ถามไถ่อะไรกับเื่นี้ มีเพียงตอนที่้าเงินจึงจะนึกถึงครอบครัวฝั่งนาง
“ยังไม่กลับมา”
พูดมากก็ผิดมาก แม่สามีถามอะไร นางก็ตอบแค่นั้น
“เหตุใดยังไม่กลับมาอีก วั่งกุ้ยสอบเสร็จก็กลับมาแล้ว” หลิวฉีซื่อไม่พอใจกับการที่หลิวซานกุ้ยสอบเสร็จแล้วยังไม่กลับมา แต่นางก็พูดออกมาไม่ได้
เดิมทีมีเพียงซุนซื่อที่สั่งงานได้ แต่เนื่องจากงานเลี้ยงนี้ ซุนซื่อทะเลาะกับนางยกใหญ่ หากไม่ใช่เพราะหลิวเหรินกุ้ยขวางไว้และไม่เห็นด้วย ซุนซื่อคงพาหลิวจื้อไฉไปเลี้ยงฉลองที่บ้านฝั่งมารดาแล้ว
ถูกต้อง ในใจของหลิวฉีซื่อคิดว่า นางคนหยาบโลนอย่างหลิวซุนซื่อควรจัดอยู่สถานะเดียวกับจางกุ้ยฮัว คนที่อ่อนช้อยอย่างชุ่ยหลิวต่างหากที่เหมาะสมกับการอยู่ในสถานที่อย่างจวนตระกูลหวง
“ซานกุ้ยเขียนจดหมายกลับมาว่า อาจารย์้าพาเขาไปพบปะสหาย วันเวลากลับยังไม่ได้กำหนด”
หลิวฉีซื่อหมกมุ่นอยู่กับวิธีแย่งอันดับแปดมาให้บุตรชายคนเล็กของตน จนนางไม่ทันได้สังเกตว่าจางกุ้ยฮัวมีมารยาทและกาลเทศะมากขึ้น คำพูดคำจาก็ไม่ได้หยาบกระด้างเหมือนในอดีต
สายตาของชุ่ยหลิวฉายประกายเล็กน้อย พร้อมกับเลื่อนไปหยุดที่ปิ่นปักผมทองบนศีรษะของจางกุ้ยฮัว นางหรี่ตาลงอย่างเพ่งพินิจ นั่นคือทองคำบริสุทธิ์ ้าฝังด้วยทับทิมสีเืนก ดูก็รู้ว่าเป็ของชั้นดี
มือเล็กขาวเนียนของนางกำผ้าเช็ดผ้าไว้แน่น จนเล็บที่ทาสีไว้แดงดุจเืจิกเข้าที่อุ้งมือตนเอง
“เช่นนี้ก็เท่ากับว่า เร็วๆ นี้เขายังไม่กลับมาหรือ?” หลิวฉีซื่อไม่พอใจอย่างมาก ว่ากันว่าสะใภ้คือหมาป่าตาขาวที่เลี้ยงไม่เชื่อง บุตรชายต่างหากที่เป็คนในครอบครัว
หากนางพูดสิ่งที่คิดในใจออกมา เกรงว่าจางกุ้ยฮัวคนนี้คงอาละวาดไม่เลิก จึงได้แต่สะกดความ้าไว้ แล้วรอให้หลิวซานกุ้ยกลับมาค่อยว่ากันใหม่
“ใช่ ท่านแม่” จางกุ้ยฮัวนั่งอยู่ตรงนั้น ผ่านไปชั่วครู่ถึงจะพ่นออกมาแค่สามคำ
หลิวฉีซื่อโกรธมากจนจะหงายหลัง ชุ่ยหลิวช่วยพยุงนางแล้วเอ่ยเตือนด้วยเสียงค่อย “ฮูหยินใหญ่ เื่อาหารในงานเลี้ยงยังไม่ได้บทสรุป”
“ฮึ เ้ามันคนเนรคุณ อย่าคิดว่าลูกชายข้าไม่อยู่แล้วจะไม่เห็นแม่สามีอย่างข้าอยู่ในสายตา”
ดวงตาของหลิวเต้าเซียงเปล่งประกายเจิดจ้า นี่คือการเบ่งบารมีหรือ? ฮึ่ม!
“สะใภ้มิกล้า!” จางกุ้ยฮัวบอกเพียงว่านางไม่กล้า แต่ไม่ได้บอกว่านางจะไม่ทำ!
นางไม่ได้เห็นแม่สามีคนนี้อยู่ในสายตา นางมองออกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่ก่อนเคยเชิดชูหลิวฉีซื่อเป็พระโพธิสัตว์ แล้วอย่างไร?
ก็ยังถูกนางจิกหัวใช้ทุกวี่ทุกวัน แล้วยังใช้งานบุตรสาวสองคนเยี่ยงทาส ไม่ใช่สิ กระทั่งสาวใช้ที่มีสัญญาผูกขาด ยังมีชีวิตที่ดีกว่าพวกนางสองพี่น้องอีก
เื่อะไร เหตุใดนางจึงควรต้องเชิดชูแม่สามีอยู่อีก?
“เ้า...” หลิวฉีซื่อยิ่งรู้สึกว่าควบคุมจางกุ้ยฮัวไม่อยู่ ไม่ได้ นางไม่อาจปล่อยให้จางกุ้ยฮัวหลุดพ้นจากกำมือตนเอง
“ฮึ รอซานกุ้ยกลับมา บอกให้เขามาที่บ้านเดิมด้วย”
“ได้!” จางกุ้ยฮัวนั่งตอบอย่างนอบน้อม เมื่อดูเวลาแล้วจึงเอ่ย “ท่านแม่หากไม่มีธุระอันใด พวกข้าขอออกไปก่อน รองานเลี้ยงตอนค่ำพวกข้าค่อยมาใหม่ จะได้ไม่ทำให้ท่านแม่รำคาญใจ”
หลิวฉีซื่ออยากจะบอกว่า เ้าก็รู้ตัวนี่!
ชุ่ยหลิวซึ่งอยู่ข้างๆ เห็นว่าจางกุ้ยฮัวจะลุกไป นางจึงรีบส่งสายตาให้หลิวฉีซื่อแล้วเอ่ย “น้องสะใภ้สาม เดี๋ยวก่อน”
หลิวเต้าเซียงพูดอย่างโกรธเคืองว่า “เ้าเรียกใครว่าน้องสะใภ้สาม? ป้ารองข้าแซ่ซุน”
แค่อนุที่อยู่ไม่สุข ยังคิดจะกดสถานะของท่านแม่ ฝันไปเถิด!
ไม่ทันรอให้ชุ่ยหลิวได้ตอบ หลิวเต้าเซียงก็ถามหลิวฉีซื่อ “ท่านย่า ท่านเป็คนชอบพูดเื่กฎระเบียบมารยาทมาโดยตลอด เหตุใดจึงปล่อยให้ทาสที่มีสัญญาผูกขาดกำเริบเสิบสานเช่นนี้”
นางไม่ยอมไว้หน้าคนทั้งสอง
หลิวฉีซื่องุนงงกับคำถามของนางจนลิ้นพันกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำพูดของหลิวเต้าเซียงนั้นถูกต้อง แต่เช่นนั้นจะทำให้ชุ่ยหลิวเศร้าใจ นางยังอยากเก็บชุ่ยหลิวไว้ต่อสู้กับซุนซื่อ
ชุ่ยหลิวเห็นหลิวฉีซื่อทำหน้าบึ้งตึงคร่ำเครียด จึงรีบคุกเข่าอ้อนวอน แล้วบอกว่าตนเองนั้นทุ่มเทแรงกายแรงใจ มองพวกนางว่าเป็คนในครอบครัวจึงเรียกออกมาเช่นนั้น
หลิวฉีซื่อไม่เต็มใจที่จะลงโทษชุ่ยหลิวจริงๆ จึงตำหนินางเบาๆ เพียงว่า “เอาเถิด เื่แค่นี้ นางเด็กตัวดีอย่างเ้าใจแคบเท่ารูเข็ม”
ขอส่งสายตาพิฆาตหนึ่งหมื่นที!
หลิวเต้าเซียงตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็ใจแคบเช่นนี้แล ใครมาทำให้ข้าเจ็บใจ ข้าก็จะทำให้คนนั้นตายไปยังต้องเจ็บใจอยู่!”
ดวงตาที่ดุร้ายของนางทำให้หลิวฉีซื่อขนลุก
“นางเด็กเถื่อน ข้าเพียงพูดกับเ้าแค่นี้ เ้าก็เคียดแค้น ช่างเถิดๆ ข้าไม่ถือสากับเ้า”
นางพูดราวกับว่าหลิวเต้าเซียงนั้นป่าเถื่อนไม่มีเหตุผล
“จากความหมายของท่านย่า ข้าควรปล่อยให้ทาสหนึ่งคนมาเหยียบบนหัวแม่ข้าอย่างนั้นหรือ? ท่านย่า ท่านคงหลงลืมไปว่าชุ่ยหลิวเป็แค่อนุที่กั้นห้อง นางถือดีอะไรมาเรียกแม่ข้าว่าน้องสะใภ้?”
ในสมัยโบราณ ตำแหน่งภรรยาเอกนั้นไม่อาจล่วงล้ำได้ กฎหมายของราชวงศ์โจวส่วนมากจะปกป้องผลประโยชน์ของภรรยาเอก หลิวเต้าเซียงรู้เื่นี้ดี จึงชี้ชัดถึงการเสียมารยาทของชุ่ยหลิว
เมื่อตอนที่หลิวฉีซื่อยังสาวและคิดอยากจะปีนขึ้นเตียงของนายท่าน รสนิยมจึงไปในทิศทางเดียวกับชุ่ยหลิว ยิ่งไม่รู้สึกว่าชุ่ยหลิวทำอะไรไม่ถูกตรงไหน…
แต่จางกุ้ยฮัวไม่ใช่ หลิวเต้าเซียงและพี่น้องต่อไปก็ยิ่งไม่มีทาง กลับกัน พวกนางเกลียดชังการที่ผู้ชายมีภรรยาหลายคนมากที่สุด
จางกุ้ยฮัวไม่อยากตอแยกับอนุข้างห้องเพียงแค่คนเดียว จึงเอ่ยถามพร้อมกับขมวดคิ้ว “ท่านแม่ มีอะไรก็ว่ามาเถิด มิฉะนั้นสะใภ้จะพาลูกๆ กลับแล้ว”
“เ้าสี่จะจัดงานเลี้ยง พวกเ้าที่เป็พี่สาวพี่สะใภ้ก็ควรทำตัวให้สมกับสถานะ” หลิวฉีซื่อเห็นว่าจางกุ้ยฮัวจะจากไปแล้ว จึงรีบพูดออกมา
หลิวเต้าเซียงแอบโล่งใจ ที่แท้ก็มาขอเงินอีกแล้ว ยังดีที่ไม่ใช่เื่ไร้สาระอะไร ก่อนหน้านี้นางคิดว่าหลิวฉีซื่อคิดอยากจะขอสิทธิ์อันดับปิ่งเซิงของท่านพ่อผู้เป็เด็กเรียนเสียอีก
ปฏิเสธไม่ได้ว่าลางสังหรณ์ของหลิวเต้าเซียงค่อนข้างแม่นยำ!
จางกุ้ยฮัวพยักหน้า “ครอบครัวพี่ใหญ่ไม่อยู่ พี่รองก็อยู่ที่นี่ พี่รองเอาออกมาเท่าไร ครอบครัวเราก็เอาออกมาเท่านั้น”
หลิวฉีซื่อพูดอย่างโกรธเคืองว่า “นางสารเลว อย่าคิดว่าลูกข้าไม่อยู่ แล้วเ้าจะให้น้อยนะ”
ทั้งครอบครัวมีสิบกว่าปากท้อง พึ่งนางเพียงคนเดียว ปีนี้นางต้องอาศัยงานสอนเย็บปักและรายได้จากที่นามาเลี้ยงดูครอบครัวใหญ่
หัวใจของหลิวฉีซื่อหดหู่มากจริงๆ ทั้งที่แยกครอบครัวแล้วไม่ใช่หรือ ทรัพย์สินในมือก็มีมากขึ้น แต่เหตุใดชีวิตกลับลำบากขึ้นทุกวัน?
หากไม่ใช่เพราะครอบครัวของหลิวซานกุ้ยส่งปลาและเนื้อต่างๆ มามากมาย เกรงว่าครอบครัวของนางคงอดอยากจนผอมโซ
แต่ก็ไม่ถูก เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าจื้อไฉกับจื้อเป่านั้นตัวอ้วนสมบูรณ์กว่าเดิม ส่วนเฉี่ยวเอ๋อร์ก็ดูมีเนื้อมีหนังมากขึ้น
นางที่กำลังเกิดความสงสัยก็ถูกจางกุ้ยฮัวที่ไม่รู้เื่ด้วยเอ่ยขัดขึ้นมา “ข้าไม่ได้บอกว่าจะไม่เอา อาสี่ยังไม่ได้แต่งงาน ท่านพ่อท่านแม่ก็อายุมากแล้ว เื่นี้ย่อมต้องเป็หน้าที่ของครอบครัวฝั่งรองกับฝั่งสาม ท่านแม่ลองถามว่าครอบครัวรองให้เท่าไร แล้วก็ระบุรายการค่าใช้จ่ายในงานเลี้ยงออกมาให้ละเอียดครบถ้วนว่าต้องซื้อของอะไรบ้าง เราต้องออกเท่าไร ทางเราย่อมไม่ผลักภาระอยู่แล้ว”
หลิวฉีซื่อไม่พอใจและพูดอย่างโกรธเคืองว่า “บ้านเ้ารองจะเทียบกับเ้าได้หรือ? ละแวกนี้ใครไม่รู้บ้างว่าบ้านเ้าทำเงินได้มากมายเพียงใดในสองปีนี้ หากไม่ใช่บ้านเ้าออกแล้วใครจะออก?”
หลิวเต้าเซียงโกรธ “ท่านย่า คำพูดของท่านไม่มีเหตุผล ครอบครัวข้าทำเงินได้เท่าไรมันก็เป็เื่ของครอบครัวข้า ไม่เคยได้ยินว่าหลังจากแยกทะเบียนครอบครัวแล้ว เงินที่พี่น้องหามาได้ก็ต้องครอบคลุมเื่ของพี่น้องอีกทั้งหมด นั่นถือเป็การแยกครอบครัวที่ไหน? ข้าเองก็แค่อยากถามว่า ลุงรองพิการขาหรือพิการแขน เื่อะไรต้องให้ครอบครัวข้าเป็คนออกทุกอย่าง? หากท่านพูดเช่นนี้ ใครจัดงานเลี้ยงใครก็ออกเงินเองสิ”
หลิวฉีซื่ออยากฉีกปากคมคายของนางเสียให้ได้ ตอนนี้นางกำลังโมโหเดือดดาล
“อ๋อ ลืมไปเลยว่า ตอนที่ยังไม่ได้แยกบ้าน ครอบครัวใหญ่ปานนี้ แต่ละคนก็สวมใส่ผ้าฝ้ายละเอียดหรือไม่ก็ผ้าไหมหูโจว แต่บ้านข้ากลับแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเย็บปะแล้วยังกินไม่เคยอิ่ม ไม่เห็นท่านย่าจะเคยพูดว่า ให้ครอบครัวลุงใหญ่กับลุงรองที่มีบ้านแล้วมาช่วยสนับสนุนครอบครัวข้าเลย ตอนนั้นเพียงแค่เศษเสี้ยวของพวกเขาก็เพียงพอให้ครอบครัวข้ากินได้ทั้งปีแล้ว”
หากไม่ขุดคุ้ยเื่เก่าออกมา ท่านย่าของนางก็คงจะสร้างปัญหาอีก
-----