ก่อนที่หลงเซี่ยวอวี่จะทันได้ตอบ มู่จื่อหลิงก็ผละตัวจากอ้อมแขนของเขา บ่นกับตนเองว่า “อา คงไม่ได้จะให้ข้าไปรักษาไทเฮาใช่ไหม? หรือจะเป็อันหย่าผู้นั้น?”
วังหลวงในยามนี้ สิ่งที่นางคิดได้ก็มีเพียงสองคนนี้ที่เจ็บป่วย มีเพียงสองผู้นี้เท่านั้นที่มีสถานะและความสามารถในการทำให้ฮ่องเต้เหวินอิ้นทรงมีรับสั่งให้นางเข้าวังเป็การส่วนตัวได้
มู่จื่อหลิงใช้นิ้วเรียวลูบคาง กลอกตาไปมาอย่างครุ่นคิด
เป็ไปได้ไหมที่ฮ่องเต้เหวินอิ้นจะให้นางเข้าวังเพราะอันหย่า? ไม่ได้้าเรียกนางมารับโทษ แต่้าให้นางรักษาอันหย่าหรือ? หรือจะให้นางรักษาอาการนอนไม่หลับของไทเฮาเฒ่า?
ไม่ว่าจะเป็อันหย่าหรือไทเฮานางก็ไม่อยากทำ...
ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะคิดจบ หลงเซี่ยวอวี่ก็หัวเราะออกมาอย่างสุดกลั้น ยามเห็นดวงตาใสๆ ของนางกลอกไปมา เขายื่นมือออกมาลูบหัวของนาง “เ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
มู่จื่อหลิงส่ายหัวของนาง โพล่งความคิดในใจออกมา “ไม่ ข้าจะไม่รักษาพวกนาง”
หลังจากมู่จื่อหลิงพูดจบ นางก็ตระหนักได้ว่านางเพิ่งพูดอะไรออกมา มันหยิ่งยโสเกินไปที่จะพูดเช่นนั้นได้ ราวกับนางไม่สนใจไทเฮาผู้สูงส่งผู้นั้นเลย
แต่บอกตามตรงว่าในใจนางไม่สนใจสองผู้นั้นเลยจริงๆ แต่ยามนี้ นี่ไม่ใช่คำถามว่านางสนใจพวกนางหรือไม่ แต่เป็การถามว่านางเต็มใจที่จะไปรักษาให้สองคนนั้นหรือไม่ต่างหาก ด้วยทั้งใจของนาง สามารถบอกได้เลยว่านางไม่อยากไป
ดังนั้น ในเมื่อพูดออกไปแล้ว มีเหตุผลอันใดที่จะเอาคืนกลับมาหรือไม่?
มู่จื่อหลิงหันไปมองหลงเซี่ยวอวี่ หัวใจของนางมั่นคงมาก แต่น้ำเสียงของนางอ่อนแอ “นอกจากไทเฮากับอันหย่า ข้ารักษาใครก็ได้ทั้งนั้น...คนสองคนนั้นน่ารำคาญมาก ข้าไม่ชอบ ไม่อยากรักษา ได้ไหม...”
ยิ่งมู่จื่อหลิงพูดมากเพียงใด นางก็ยิ่งรู้สึกว่านางกำลังดันจมูกไปที่หน้า [1] มากขึ้นเท่านั้น เสียงของนางเบาลงเรื่อยๆ ในตอนท้ายนางแทบไม่ได้ยินเสียงตนเอง นางมองเข้าไปในดวงตาของหลงเซี่ยวอวี่อย่างระมัดระวัง
นางรู้ว่าหากฮ่องเต้เหวินอิ้นขอให้รักษาพวกนาง นางจะต้องรักษาแม้ไม่อยากทำ แต่หากหลงเซี่ยวอวี่มีวิธีที่จะทำให้นางไม่รักษาพวกนางได้ คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว
แต่หลงเซี่ยวอวี่จะคุยกับฮ่องเต้เหวินอิ้น เพียงเพราะคำขอที่ไม่สมเหตุสมผลของนางหรือไม่?
มู่จื่อหลิงไม่แน่ใจ
แม้ว่าคำขอของนางจะไร้เหตุผลมาก สิ่งที่นางพูดนั้นทั้งบุ่มบ่ามและดื้อรั้น
แต่นางก็พูดทุกอย่างออกไปแล้ว จะให้ทำอย่างไรได้? นอกจากนี้ นางไม่อยากตรวจโรคให้หญิงสองคนนั้นจากก้นบึ้งของหัวใจ!
แต่นางกลับไม่รู้ว่าคำพูดที่ระมัดระวังนั้นลอยเข้าหูของหลงเซี่ยวอวี่ ไหลเข้าสู่หัวใจของเขา และในที่สุดก็ดึงความปีติยินดีจางๆ เข้ามาในหัวใจของเขา
มู่มู่ของเขาเริ่มพึ่งพาเขาอย่างจริงจัง เยี่ยมมาก!
จากนั้นมุมปากของหลงเซี่ยวอวี่ก็อดไม่ได้ที่จะยกขึ้น รอยยิ้มตื้นจนแทบมองไม่เห็น แต่เขาไม่รู้ว่าหัวใจของเขาได้เบ่งบานด้วยความรู้สึกราวประสบความสำเร็จแล้ว
เมื่อเห็นว่าหลงเซี่ยวอวี่ไม่ได้พูดอะไรเป็เวลานาน มู่จื่อหลิงก็ยิ่งขาดความมั่นใจ
ชายผู้นี้จะคิดว่านางสร้างปัญหาโดยไร้เหตุผลหรือไม่?
“…ต้องรักษาพวกนางจริงๆ หรือ?” มู่จื่อหลิงถามอีกครั้งด้วยใบหน้าที่จริงจัง นางจ้องมองหลงเซี่ยวอวี่อยู่ครู่หนึ่ง เพราะเกรงว่าจะไม่เห็นการแสดงออกใดๆ บนใบหน้าของเขา
ยามเห็นท่าทางจริงจังของมู่จื่อหลิง หลงเซี่ยวอวี่ก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เขาค่อยๆ ดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน คิ้วและดวงตาที่สงบของเขาอ่อนโยนเป็พิเศษ
หลงเซี่ยวอวี่ลดตาลงเล็กน้อย มองมู่จื่อหลิงอย่างอ่อนโยน พูดอย่างไม่เร่งรีบ “มู่มู่คนโง่ ในเมื่อพวกนางเป็คนน่ารำคาญ เช่นนั้นเหตุใดถึงต้องรักษาให้ด้วยเล่า?”
เสียงของเขานุ่มนวลอบอุ่น น่าฟังอย่างน่าประหลาดใจ
“เช่นนั้นต้องรักษาใครหรือ?” มู่จื่อหลิงเอียงศีรษะถามอย่างสงสัย
ท้ายที่สุด นางก็ยังไม่ลืมที่จะป้องกันไว้ก่อนเพื่อเป็สิริมงคลแก่ตนเอง พูดอย่างจริงจังและดื้อรั้น “บอกไว้ก่อน ไม่ว่าจะรักษาใคร ข้าก็จะคิดค่ารักษา”
ราวกับว่าเขาไม่คาดคิดว่ามู่จื่อหลิงจะพูดเช่นนี้ หลงเซี่ยวอวี่ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหัวเราะเบาๆ สีหน้าพออกพอใจอย่างปิดไม่มิด “ไม่ต้องห่วง หากเ้ารักษาได้จริงๆ บางทีชายชราแห่งวังหลวงอาจจะเปิดคลังสมบัติให้เ้าเลือกหยิบก็เป็ได้”
“จริงหรือ?” ดวงตาของมู่จื่อหลิงเป็ประกายในทันที ราวกับนางเป็คนที่ไม่เคยเห็นเงิน ที่เพียงแค่ได้ยินคำนี้ก็ตาลุกวาว [2]
หลงเซี่ยวอวี่พยักหน้าอย่างขบขัน
คลังสมบัติ? ให้นางเลือกหยิบ? มู่จื่อหลิงยกนิ้วขึ้นปิดปาก ดวงตาของนางเหม่อลอยออกไปไกล ด้วยใบหน้าที่น้ำลายสอ [3] จากการฝันถึงความรู้สึกของการถูกเงินทับตาย
ยามมองดวงตาที่มีประกายเงินทองของมู่จื่อหลิง ปากหลงเซี่ยวอวี่ก็กระตุกจนพูดไม่ออก เหตุใดเขาถึงแต่งงานกับหญิงสาวงี่เง่าโลภในเงินทองเช่นนี้ได้...
สามารถทำให้ฮ่องเต้เหวินอิ้นยอมเคลื่อนย้ายูเาเงินูเาทองทั้งหมดออกมาได้เช่นนี้ คนผู้นี้ต้องมีสถานะไม่ธรรมดาเป็แน่ ผู้ที่มีสถานะเช่นนี้ในวังหลวงคือ...
จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็ตื่นขึ้นจากกองเงินในจินตนาการ นางขมวดคิ้ว พูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “แต่นอกจากไทเฮาและอันหย่าแล้ว ข้านึกไม่ออกว่าจะมีใครในวังที่ทำให้เสด็จพ่อของท่านยอมเปิดคลังหลวงได้อีก อันหย่าไม่เข้าเกณฑ์ แล้วไทเฮาเล่า ไม่ใช่การรักษาไทเฮาจริงหรือ?”
“เปิ่นหวางจะพาเ้าเข้าวังเพราะหญิงชราผู้นั้นได้อย่างไร” หลงเซี่ยวอวี่เหยียดนิ้วเรียวยาวของเขาออกมาเคาะหน้าผากเรียบเนียนของนาง พูดอย่างอดทน “คนป่วยที่ทำให้เ้าแห่งแผ่นดินทรงเป็กังวลได้นั้นย่อมไม่ธรรมดา สองคนนั้นเป็เพียงคนไม่สำคัญ พวกนางไม่คุ้มค่ามากพอ”
ด้วยคำพูดของหลงเซี่ยวอวี่ มู่จื่อหลิงไม่เพียงแต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ยังเป็การยืนยันว่าครั้งนี้นางไม่ได้เข้าวังหลวงเพื่อรักษาหญิงสาวน่ารำคาญสองคนนั้น นางกำลังคิดมากเกินไป
ตราบใดที่ไม่ใช่การรักษาสองคนนั้น ทุกอย่างก็คุยกันได้
หากคำพูดของหลงเซี่ยวอวี่เป็เพียงการทำให้มู่จื่อหลิงโล่งอก คำพูดต่อไปของเขาก็เปรียบเสมือนการปลอบใจที่ทรงพลังราวกับยาที่ทำให้หัวใจอบอุ่น ซึ่งสามารถทำให้มู่จื่อหลิงรู้สึกมั่นคงและอบอุ่นได้ในทันที
ในท้ายที่สุด ราวกับว่าเขากลัวว่ามู่จื่อหลิงจะไม่สบายใจ หลงเซี่ยวอวี่จึงโน้มตัวเข้ามาใกล้หูของนาง หายใจออกด้วยลมหายใจอุ่นๆ รดลงหูของนาง กล่าวต่อด้วยประโยคที่จริงจังว่า “จำไว้ ในใต้หล้านี้ ไม่มีผู้ใดสามารถขอให้ฉีหวางเฟยทำในสิ่งที่ไม่้าได้”
คำพูดเหล่านี้ฟังดูมีความเย่อหยิ่ง แต่ก็อบอุ่นหัวใจ ในขณะเดียวกันมู่จื่อหลิงก็แทบจะกัดฟันด้วยความเขิน
ชายผู้นี้พูดจบประโยคของเขาหรือยัง? มู่จื่อหลิงกลอกตาเงียบๆ ในใจ เหตุใดจะไม่มีผู้ใดทำได้เล่า ฉีอ๋อง ท่านลืมนับตนเองหรือไม่?
มู่จื่อหลิงจ้องมองหลงเซี่ยวอวี่ด้วยความขุ่นเคือง พึมพำอย่างขมขื่น “ใครบอกว่าไม่มี มีหนึ่งคนที่อยู่ตรงหน้าข้าไม่ใช่หรือ? นี่เป็ข้อยกเว้นได้ไหม?”
ยามนึกถึงผู้ที่ถูกกดขี่จนตายโดยทรราชผู้นี้ แต่ทำอะไรไม่ได้ มู่จื่อหลิงก็รู้สึกหงุดหงิด
เหตุใดจะไม่มีใครในใต้หล้าที่สามารถขอให้นางทำสิ่งที่ไม่อยากทำ คนที่อยู่ตรงหน้านางผู้นี้ทำได้ตลอดเวลา
ฮึ กล่าวว่าคำนั้นเบาเกินไป เช่นนั้นควรจะกล่าวว่าทรราชผู้นี้กำลัง ‘บังคับ’ นางให้ทำในสิ่งที่นางไม่้าทำตลอดเวลา
ทันใดนั้น เมื่อเข้าใจความหมายของคำพูดของมู่จื่อหลิง มุมปากของหลงเซี่ยวอวี่ก็โค้งขึ้นอย่างช้าๆ จากนั้นเสียงหัวเราะเบาๆ ก็ดังขึ้นมาราวกับว่าเขาอารมณ์ดีมาก
เขาบีบแก้มสีชมพูบอบบางของมู่จื่อหลิง พยักหน้าเห็นด้วย พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงใสซื่อว่า “ใช่ มู่มู่คนโง่เข้าใจเปิ่นหวางจริง”
“ใครเข้าใจท่าน” มู่จื่อหลิงจ้องมองเขาด้วยความโกรธ
ยามพูดถึงความเข้าใจ นางรู้เื่เกี่ยวกับเขาน้อยมากจริงๆ
นอกจากสถานะอ๋องผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ มีนิสัยแปลกประหลาด...นางก็ไม่รู้จักเขาเลย
โดยไม่คาดคิด หลงเซี่ยวอวี่ยอมรับอย่างเปิดเผยตามคำพูดก่อนหน้านี้ของนาง “อย่างที่เ้ากล่าวมา คนตรงหน้านี้ถือเป็ข้อยกเว้น”
มู่จื่อหลิงในชีวิตนี้ของเ้า มีเพียงเปิ่นหวางเท่านั้นที่เป็ข้อยกเว้นของเ้า และเ้าก็เป็ข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวสำหรับเปิ่นหวางเช่นกัน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่จื่อหลิงก็พึมพำออกมาเสียงดังด้วยความรู้สึกงุนงง
ฉีอ๋อง การกดขี่นางมีอะไรน่าภูมิใจนักหนา กดขี่สตรีที่ไม่มีอำนาจ? หากเผยแพร่ออกไปจะกลายเป็เื่ขบขัน
มู่จื่อหลิงกำกำปั้นของนางอย่างร่าเริง พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าจะทำลายข้อยกเว้นนี้ลงให้ได้”
หลงเซี่ยวอวี่มองใบหน้าเล็กของมู่จื่อหลิงที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ก่อนจะส่ายหัวอย่างอดไม่ได้ นางเป็หญิงโง่ที่ทำให้คนโกรธเคืองได้ง่าย แต่นางกลับทำให้เขารักนางมาก
“จริงหรือ? เช่นนั้นในยามนี้เปิ่นหวางคงต้องใช้ประโยชน์จากข้อเท็จจริงที่ว่าข้อยกเว้นนี้ยังไม่ถูกทำลายให้มากสักหน่อย” หลงเซี่ยวอวี่ขยับริมฝีปากเล็กน้อย เน้นย้ำประโยคหลังซึ่งดูเหมือนจะมีความหมายแฝงอยู่ มันลึกลับจนไม่สามารถหยั่งรู้ได้
เสียงที่นุ่มนวลดังขึ้นข้างหูของมู่จื่อหลิง ริมฝีปากบางที่แสนจะเ็าของหลงเซี่ยวอวี่ดูเหมือนจะััโดนติ่งหูบอบบางของนาง ประกอบกับลมหายใจร้อน ส่งผลให้รู้สึกมึนเมา
ดวงตาลึกราวกับท้องทะเลของเขาดูสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง แต่กลับซ่อนความเฉียบคมราวกับเหยี่ยวเอาไว้ ในดวงตาลึกล้ำกลับมีแสงอันน่าหลงใหล เปล่งประกายเย้ายวนใจ
“ท่านช่างไร้ยางอาย...” มู่จื่อหลิงพูดอย่างเป็กังวล ราวกับรู้ว่าหลงเซี่ยวอวี่กำลังจะทำอะไร นางปั่นป่วนไปหมด
น่าเสียดายที่ทันทีที่นางพูดจบ นางยังไม่ทันได้ขยับ หลงเซี่ยวอวี่ก็ตอบอย่างไร้ยางอาย “ไร้ยางอายกับเ้าเพียงผู้เดียว”
จากนั้นเขาก็กัดติ่งหูบอบบางของนาง ยื่นปลายลิ้นร้อนๆ เข้ามาหยอกล้อนางครั้งแล้วครั้งเล่า
สารเลวผู้นี้ เขาจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้อย่างไร...มู่จื่อหลิงตัวสั่นอย่างรุนแรง นางคว้าชุดคลุมของหลงเซี่ยวอวี่โดยไม่รู้ตัว กัดริมฝีปากล่างโดยสัญชาตญาณ ร่างกายของนางแข็งทื่อ
ให้ตายเถอะ...มู่จื่อหลิงกำลังจะเป็บ้า ชายน่ารังเกียจผู้นี้รู้วิธีที่จะรังแกนาง เขายิ่งไร้ยางอายมากขึ้นเรื่อยๆ
กุ่ยหยิ่งกับกุ่ยเม่ยยังคงคุมรถม้าอยู่ด้านหน้า มองผ่านม่านหยกไปยังแผ่นหลังที่ตั้งตรงทั้งสอง มู่จื่อหลิงอยากจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา แทบจะข่วนกำแพง [4]
แต่นางไม่รู้ว่ากุ่ยหยิ่งกับกุ่ยเม่ยได้ปิดกั้นเสียงการเคลื่อนไหวในรถม้าั้แ่ยามที่รถม้าควบออกมาอย่างรวดเร็วแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะมีความกล้า พวกเขาก็ไม่กล้าฟังแม้แต่คำเดียว
ทันใดนั้น เพียงเพราะว่าหลงเซี่ยวอวี่กำลังสร้างปัญหาให้กับติ่งหูที่บอบบางของนาง ความรู้สึกชาและคันค่อยๆ ไต่ขึ้นจากปลายนิ้วสู่ก้นบึ้งของหัวใจ มู่จื่อหลิงก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรงไปทั้งตัว อาการคันในหัวใจของนางทำให้นางรู้สึกอ่อนแอ นางกำลังจะร้องไห้
การหยอกล้อเล็กน้อยทำให้ลมหายใจของมู่จื่อหลิงไม่มั่นคง
ก่อนหน้านี้นางเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง แต่ยามนี้มู่จื่อหลิงเป็เหมือนลูกลมที่ถูกปล่อยลม ไร้ความรู้สึก ราวกับว่าทั้งจิติญญาของนางกำลังล่องลอย
ริมฝีปากเย็นะเืของหลงเซี่ยวอวี่แนบชิดกับใบหูที่ร้อนระอุของมู่จื่อหลิง เสียงของเขาทุ้มต่ำ “มู่มู่ ข้อยกเว้นนี้เป็ของเ้าผู้เดียว เ้าไม่ควรพยายามทำลายมัน เพราะเ้าจะไม่มีวันทำลายมันได้...”
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ดันจมูกไปที่หน้า (蹬鼻子上臉) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า หยิ่งผยองและเย่อหยิ่ง หรือไม่สนใจพฤติกรรมของอีกฝ่าย
[2] คนที่ไม่เคยเห็นเงิน ที่เพียงแค่ได้ยินคำนี้ก็ตาลุกวาว (一个未见钱,却听钱就能眼开的人) เป็วลี มีความหมายว่า คนที่มีความสุขเมื่อได้รับรางวัลบางอย่าง หรือพอใจในรางวัลที่ได้ยิน และจะพยายามเพื่อให้ได้มา
[3] น้ำลายสอ (垂涎) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า ความโลภ ความอยากหรือความริษยา
[4] ข่วนกำแพง (挠墙) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า หดหู่ หมดหนทาง หรืออยากระบายแต่ไม่มีที่ระบาย