ในมหาวิทยาลัยไม่จำเป็ต้องมีคนคุ้มกัน
ั้แ่ปลายเดือนเมษายนจนกระทั่งกลางเดือนสิงหาคม หลี่ต้งเหลียงกับเก่อเจี้ยนติดตามเซี่ยเสี่ยวหลานมาเป็เวลา 4 เดือนแล้ว
ต่อมาได้เดินทางไปเผิงเฉิง งานของทั้งสองก็ไม่ใช่คนคุ้มกันเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เมื่อ ‘อันเจียวัสดุ’ มีงานจุกจิกอะไรพวกเขาต้องทำแทน และเมื่องานตกแต่งภายในของหลิวหย่งประสบปัญหาอะไร หลี่ต้งเหลียงกับเก่อเจี้ยนก็ต้องลงมือด้วยเช่นกัน ไม่มีตำแหน่งเฉพาะเจาะจง อันที่จริงเหมือนเป็ ‘ผู้ช่วย’ ซึ่งหลิวหย่งกับเซี่ยเสี่ยวหลานใช้งานร่วมกันมากกว่า เมื่อเซี่ยเสี่ยวหลานเรียนมหาวิทยาลัยย่อมพาคนคุ้มกันไปด้วยไม่ได้ ในมหาวิทยาลัยหัวชิงอย่างมากที่สุดอาจเกิดความขัดแย้งเล็กน้อยกับเพื่อนนักศึกษาเท่านั้น พาคนคุ้มกันไปเพื่ออะไร แค่มีปากเสียงก็กดเพื่อนนักศึกษาลงขยี้กับพื้นหรือ?
หลังคำนวณค่าแรงของทั้งสองเสร็จ เซี่ยเสี่ยวหลานก็ถามถึงความตั้งใจของพวกเขาทั้งสองด้วยท่าทางจริงจัง
หลิวหย่งสามารถจ้างพวกเขาสองคนได้ เป็การคอยช่วยงานเขาอยู่ใกล้ๆ กึ่งคนคุ้มกันกึ่งผู้ช่วย โดยรวมคือไม่ว่าธุระอะไรก็ต้องทำทั้งสิ้น
หลิวหย่งจ่ายค่าตอบแทนสูงเท่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ไหว แต่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้้าคนคุ้มกันตลอดทั้งปี ดังนั้นเมื่อเธอเรียกใช้งานแต่ละครั้งจึงมอบค่าตอบแทนที่สูงแก่หลี่ต้งเหลียงและเก่อเจี้ยน ในขณะที่หลิวหย่ง้า ‘ผู้ช่วย’ ทั้งปี แม้ค่าตอบที่ได้รับจะแทนน้อยลง ทว่าเงินเดือนนั้นมั่นคง เหล่าโรงงานต่างชาติในเผิงเฉิงเปิดรับคนเข้าทำงาน หนึ่งเดือนจ่ายเพียง 400 หยวน และหลิวหย่งก็สามารถจ่ายเงินจำนวนเท่านี้ให้ทั้งสองได้เหมือนกัน หลิวหย่งหมายความว่าตราบใดที่เขามีงานทำ สองคนนี้จะไม่ตกงาน!
นี่เป็เงินเดือน หากทำงานดีปลายปียังมีเงินพิเศษให้ด้วย
สำหรับจุดนี้ ศิษย์พี่ว่านผู้ตั้งแผงขายของในตลาดสินค้าเบ็ดเตล็ดรู้สึกอิจฉาจริงๆ ‘หย่วนฮุย’ เป็ถึงบริษัทตกแต่งภายในที่เคยรับเหมาโครงการมูลค่าร่วมล้านแล้ว ไม่ว่าอย่างไรหลิวหย่งก็เป็เ้าของกิจการคนหนึ่ง ติดตามข้างกายหลิวหย่ง พูดออกไปยังดูดีกว่าการที่เขาตั้งแผงลอยในตลาดสินค้าเบ็ดเตล็ดเสียอีก
ยอดขายจากการตั้งแผงลอยของศิษพ์พี่ว่านไม่ดีไม่เลว ทุกๆ วันทำกำไรได้ไม่กี่สิบหยวน ทว่าอันที่จริงแล้วหนึ่งเดือนเขามีรายได้หลักพันหยวน เพียงแต่เขาคิดว่าอาชีพนี้มันน่าอาย
นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบความเร็วในการสั่งสมความร่ำรวยของเขากับเซี่ยเสี่ยวหลานและไป๋เจินจูแล้วยังถือว่าช้าเหลือเกิน!
ทำธุรกิจเหมือนกัน ทำไมเขาสู้ผู้หญิงสองคนไม่ได้?
ศิษย์พี่ว่านมอง ‘อันเจียวัสดุ’ ที่ตกแต่งใกล้เสร็จสมบูรณ์ ธุรกิจนี้เป็การร่วมลงทุนกันระหว่างเซี่ยเสี่ยวหลาน ไป๋เจินจู และคังเหว่ยรวมถึงคนอื่นๆ เพื่อ ‘อันเจียวัสดุ’ แล้ว ทุกวันนี้ไป๋เจินจูไม่ตั้งแผงด้วยตนเอง เธอได้จ้างลูกจ้างจำนวนสองคนมาเฝ้าแผงแทน ดำเนินการค้าขายเหมือนเดิม ทว่าไป๋เจินจูกลับกำลังทำอย่างอื่นอยู่
อย่างไรก็ตามแม้ ‘อันเจียวัสดุ’ จะสามารถเพิ่มหลิวหย่งกับเส้ากวงหรงเป็หุ้นส่วนชั่วคราวได้ แต่ชัดเจนว่าไม่มีทางเพิ่มศิษย์พี่ว่านแน่ ในหลิวหย่งและเส้ากวงหรง คนหนึ่งสามารถสร้างยอดจำหน่ายได้ อีกคนหนึ่งสามารถตกลงกับโรงงานผู้ผลิตบางส่วนได้ ศิษย์พี่ว่านทำอะไรได้? เขาลงทุนไม่ไหว ความสามารถก็ไม่พอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทรัพยากรใดๆ เลย
เปิดร้านใหญ่แบบนั้นสิถึงเรียกว่าทำธุรกิจ
และศิษย์พี่ว่านก็ละอาย้กินกว่าที่จะเข้าร่วมด้วย ภายหลังเซี่ยเสี่ยวหลานมาถึงหยางเฉิงก็ไม่ได้จ้างเขาอีก ยังไม่เข้าใจอีกหรือว่าแปลว่าอะไร!
เก่อเจี้ยนอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ก็ได้แทนที่ตำแหน่งของเขาไปแล้ว
บางโอกาสเมื่อสูญเสียไปแล้วจะไม่กลับมาอีก การสร้างความเชื่อใจเป็เื่ยาก ทว่าทำลายได้ง่ายดายมาก!
----------------------------------------
ฉึกฉัก ฉึกฉัก
ตลอดทางคือมีเสียงจังหวะเช่นนี้
เสียงของรถไฟที่วิ่งบนรางเหล็ก
เฉินชิ่งมองนอกหน้าต่างด้วยแววตาหลงใหล ทั้งที่อายุ 20 ปีแล้ว ถึงกระนั้นเขาก็ออกจากมณฑลอวี้หนานเป็ครั้งแรก นั่งรถไฟเป็ครั้งแรก ห่างจากบ้านเป็ครั้งแรก หนังสือแจ้งตอบรับเข้าศึกษาถูกห่อด้วยผ้าทีละชั้นและเก็บไว้กับตัว ไม่ว่าผ้าห่ม อ่างล้างหน้า หรือว่าเสื้อผ้าสามารถหายได้ มีเพียงหนังสือตอบรับเท่านั้นที่จะหายไม่ได้
กระดาษบางๆ แผ่นเดียว แต่เกี่ยวข้องกับอนาคตของเขาน่ะสิ
เสือฤดูใบไม้ผลิ [1] ปลายเดือนสิงหาคมช่างร้ายกาจ ผู้คนในตู้รถแออัดยิ่งนัก ร้อนอบอ้าวจนแทบทนไม่ได้ เนื่องจากร่วมทางกับเฉินชิ่งและปู่ของเขา เซี่ยเสี่ยวหลานย่อมไม่นั่งตู้นอนและปล่อยให้เฉินชิ่งกับเฉินวั่งต๋าอยู่ที่นั่งแข็งธรรมดา เดินทางร่วมกันไม่ใช่เพื่ออวดรวย เมื่อห่างบ้านก็ควรเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกันเสีย ไม่ควรเพิ่มภาระทางการเงินนอกเหนือจากปกติให้คนอื่น โชคดีที่จากซางตูไปปักกิ่งใช้เวลาเพียงสิบกว่าชั่วโมง ทุกคนพูดคุยกันระหว่างทาง เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วทีเดียว
รถวิ่งไม่เร็ว หน้าต่างรถไม่ได้ปิดตาย ต้องเปิดหน้าต่างทั้งหมดออกภายในตู้รถถึงระบายอากาศได้
หลิวจื่อเทาพิงหน้าต่างที่เปิดออกไปด้านนอก ทุกครั้งที่ผ่านหนึ่งเมืองเขาจะร้องโหวกเหวกด้วยความตื่นเต้น ตอนแรกหลี่เฟิ่งเหมยยังกลัวว่าเขาจะตกลงไปจากรถไฟ ภายหลังจึงหาเชือกหนึ่งเส้นมัดเขาไว้กับที่นั่ง จากนั้นหลี่เฟิ่งเหมยก็ปล่อยเขาเล่นตามสบาย
เฉินวั่งต๋ากำลังเล่าว่าตอนนั้นที่เขาไปเป็ทหาร ก็นั่งรถไฟไปเหมือนกัน
“...นึกไม่ถึงว่าพอได้นั่งรถไฟอีกรอบจะเป็การอาศัยความเก่งของหลานชาย”
มีคนข้างๆ สงสัย เมื่อเห็นคนสองสามคนแบกเครื่องนอน เฉินชิ่งกับเซี่ยเสี่ยวหลานก็เหมือนนักเรียน จึงถามว่าไปส่งลูกหลานเข้าเรียนใช่หรือไม่
แม้แต่เคราของเฉินวั่งต๋ายังแผ่ความภาคภูมิใจออกมาให้เห็น “ถูกเผง ทั้งสองคนเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ เด็กคนนี้เขามุ่งมั่นกว่าหลานชายฉัน สอบติดมหาวิทยาลัยหัวชิง!”
สร้างเสียงร้องอุทานอัศจรรย์ใจเป็ธรรมดา
การที่หมู่บ้านหนึ่งมีนักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นนำพร้อมกันสองคนไม่ได้พบเห็นบ่อยนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีนักศึกษามหาวิทยาลัยหัวชิงด้วย
หลิวเฟินชินกับสายตาแบบนี้แล้ว ก่อนหน้านี้เซี่ยเสี่ยวหลานไปเผิงเฉิง สำนักงานศึกษาธิการมณฑลมอบรางวัลแก่บัณฑิตเกาเข่า หลิวเฟินก็เป็ผู้ไปรับ เมื่อก่อนถ้าใครบอกว่าเธอเลี้ยงลูกดี หลิวเฟินยังรู้สึกกระดาก พอฟังมากเข้า เธอก็ชินกับคำพูดพวกนั้นไปเสียแล้ว!
“เสี่ยวหลาน ลูกร้อนหรือเปล่า แม่ไปเอาน้ำให้หน่อยดีไหม?”
เซี่ยเสี่ยวหลานนั่งรถอย่างไม่ค่อยสดชื่นสักเท่าไร หลักๆ เพราะร้อนและอึดอัด หลี่เฟิ่งเหมยคว้าหลิวจื่อเทาทันที “เปลี่ยนที่นั่งกับพี่เสี่ยวหลานของลูกเสีย ให้พี่เขาไปนั่งตากลมข้างหน้าต่างบ้าง!”
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกไม่ค่อยสบายจริงๆ จึงไม่ปฏิเสธเจตนาดีของหลี่เฟิ่งเหมย
หลิวจื่อเทาละสายตาด้วยความอาลัยอาวรณ์ และยอมเปลี่ยนที่นั่งกับเซี่ยเสี่ยวหลานโดยดี
จำนวนคนเยอะย่อมเป็เื่ดี ระยะทาง 10 กว่าชั่วโมงครั้งนี้ ไม่พบพวกค้ามนุษย์และหัวขโมย นอกจากอากาศร้อนอบอ้าว ถือว่าถึงสถานีรถไฟปักกิ่งด้วยความราบรื่นมาก
เดิมทีโจวเฉิงบอกว่าจะมารับที่สถานี ทว่าเมื่อใบขออนุญาตถึงผู้บังคับบัญชาก็ถูกส่งกลับมาทันที โจวเฉิงทำได้เพียงวานธุระนี้ให้เส้ากวงหรงแทน เส้ากวงหรงมารอคอยที่สถานีนานแล้ว ได้ยินว่าเซี่ยเสี่ยวหลานมีคณะร่วมเดินทางมารวม 6 คน เขาจึงขอยืมรถจี๊ปคันใหญ่จากหน่วยงานด้วย
ปัจจุบันไม่มีตำรวจจราจรจับรถที่มีผู้โดยสารเกินกำหนด ที่นั่งด้านหลังเบียดกันหน่อยยังพอไหว
่นี้เส้ากวงหรงอัตคัดเหลือเกิน 12000 ที่ติดคังเหว่ยยังไม่ได้คืน ก็ติดหนี้เพิ่มอีก 20000 หยวนเพื่อเข้าเป็หุ้นส่วนร้านค้าวัสดุ
ในฐานะชายผู้แบกภาระหนี้สามหมื่นหยวน ถ้าร้านวัสดุไม่ทำเงิน เขาจะใช้เงินเดือนเพียงอย่างเดียวในการชำระหนี้นี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องใช้เวลาหลายปี เพื่อหลุดพ้นจากความจนและสร้างความมั่งคั่งให้รวดเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ เส้ากวงหรงย่อมใส่ใจเื่ของร้านค้าวัสดุมากเหมือนกัน อย่างการใช้เส้นสายทำใบสั่งซื้อสินค้า ่นี้เขากระตือรือร้นอย่างหาสิ่งใดเปรียบไม่ได้
แน่นอน ต้องกอดขาพี่สะใภ้ ติดตามหาเงินและโบยบินไปพร้อมกัน เขาจึงยิ่งกระตือรือร้นที่จะมารับคน!
ทั้งโจวเฉิงและคังเหว่ยคือน้องใหม่ในด้านความรักผู้น่าสงสาร เทียบกับเส้ากวงหรงแล้วนั้น ั้แ่อายุสิบกว่าจนถึงตอนนี้เสี่ยวเส้าเปลี่ยนคนรักมามากมาย อันดับแรกคือคนคนนี้หน้าตาไม่เลวเลย เขาขับรถจี๊ปเข้ามาในชานชาลาอย่างมั่นใจ เฉินชิ่งถือกระเป๋าสัมภาระน้อยใหญ่ เบียดลงจากรถด้วยใบหน้ามอมแมม สิ่งที่เห็นก็คือเส้ากวงหรงที่กำลังเต๊ะท่าพิงรถมองซ้ายมองขวา
“อยู่ตรงนี้!”
เซี่ยเสี่ยวหลานะโเรียกเส้ากวงหรง คุณชายเส้าหัวเราะเผยฟันขาวจั๊วะ เมื่อยิ้มแย้มดูอัธยาศัยดียิ่งนัก อ่างล้างหน้าในมือเฉินชิ่งเกือบโดนคนอื่นเบียดจนหล่นหายไป หรือว่า นี่ก็คือคนรักของเสี่ยวหลาน?
เสี่ยวหลานชอบแบบนี้?
เฉินชิ่งไม่ได้รู้สึกต่ำต้อย เขาเองก็รับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างตนกับอีกฝ่าย
รถด้านหลังเส้ากวงหรงเป็สิ่งที่เฉินชิ่งเอื้อมไม่ถึงแม้จะพยายามเขย่งเท้า บ้านเฉินไม่มีปัญญาซื้อรถยนต์ ต่อให้เฉินวั่งต๋าเป็หัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่ได้ เส้ากวงหรงคือหนุ่มหน้าขาว พอเฉินชิ่งคิดถึงใบหน้าดำคล้ำของตน เขารู้สึกใจไม่ดีอยู่เหมือนกัน
เมื่อเส้ากวงหรงเปิดปากพูดหลังจากนั้น ใจของเฉินชิ่งยิ่งหนักอึ้ง
“พี่สะใภ้ พี่เฉิงให้ฉันมารับ น้าหลิวครับ ทุกคน ตลอดการเดินทางนี้ราบรื่นดีใช่ไหมครับ?”
ผู้ชายแบบนี้ กลับเป็เพียงสหายที่ทำธุระแทนให้?
ถ้าอย่างนั้นคนรักของเสี่ยวหลานเป็คนแบบไหนกันแน่นะ
เชิงอรรถ
[1]秋老虎 เสือฤดูใบไม้ผลิ คือ สภาพอากาศใน่เวลาหนึ่งหลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ดึกถึงเช้ามืดเย็น ในขณะที่กลางวันร้อนจัด