“เสี่ยวเส้า ให้เธอรอเสียนานเลย เธอช่างมีน้ำใจงามเหลือเกิน...”
หลิวเฟินก็รู้จักการเข้าสังคมเหมือนกัน ทักทายด้วยถ้อยคำตามมารยาทนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แม้ว่าเส้ากวงหรงจะสนิทกับหลิวหย่งกว่าเล็กน้อย แต่หลิวเฟินคือว่าที่แม่ภรรยาของโจวเฉิง เส้ากวงหรงย่อมไม่เมินเฉย เซี่ยเสี่ยวหลานแนะนำเฉินวั่งต๋าต่อเส้ากวงหรง
“ท่านนี้คือหัวหน้าหมู่บ้านของพวกฉัน ฉันเรียกเขาว่าปู่เฉิน ท่านดูแลครอบครัวฉันเป็อย่างดี พี่เฉินชิ่งก็มาปักกิ่งเพื่อรายงานตัวด้วยเช่นกัน”
เส้ากวงหรงรู้ั้แ่ตอนสนทนาในโทรศัพท์แล้ว
ฟังจากโจวเฉิง ชายหนุ่มนามว่าเฉินชิ่งคนนี้ยังคงเป็ศัตรูหัวใจของโจวเฉิงสินะ?
เส้ากวงหรงอยากเจอเฉินชิ่งมานานแล้ว พอเห็นว่าเ้าหนุ่มนี่ผิวคล้ำ ตัวผอมสูง ถือกระเป๋าพะรุงพะรัง การแต่งกายเชยั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้า! ปู่เป็หัวหน้าหมู่บ้าน ครอบครัวนับขึ้นไปหลายชั่วอายุคนล้วนเป็ชาวไร่ชาวนา และเพราะเฉินชิ่งสอบติดมหาวิทยาลัย ถึงมีโอกาสมาปักกิ่งได้นั่นแล ส่วนปู่โจวนั้นตำแหน่งอะไร! ไม่ว่าเปรียบเทียบจากมุมไหน ก็สู้โจวเฉิงไม่ได้เลย
เส้ากวงหรงโล่งใจมากกว่าครึ่งหนึ่ง พี่สะใภ้ไม่ได้มีอะไรบังตา ดังนั้นไม่มีทางเลือกเด็กหนุ่มชนบทคนนี้แทนพี่เฉิงจื่อได้หรอก
ทว่ามีส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งที่ยังไม่สบายใจน่ะสิ เนื่องจากเส้ากวงหรงพบว่าเฉินชิ่งไม่มีท่าทางประหม่าแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มจากสถานที่ไกลปืนเที่ยง ซอมซ่อสิ้นดี กลับยังมีความดื้อรั้นที่น่ากลัวด้วย พออยู่ต่อหน้าพี่สะใภ้มีท่าทีค่อนข้างเขินอาย เส้ากวงหรงมองออกว่านี่คือมีใจปรารถนาบางอย่าง!
เพศเดียวกันมักดีดออกจากกันเหมือนขั้วแม่เหล็กนี่นา อย่างไรก็ตามเส้ากวงหรงทักทายเฉินวั่งต๋าด้วยรอยยิ้มแจ่มใส
“ขึ้นรถก่อนค่อยว่ากันดีกว่า คุณคอยดูแลครอบครัวพี่สะใภ้ ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอเรียกคุณว่าปู่เฉินอย่างไม่อายอีกคนแล้วกันนะครับ”
มิเช่นนั้นจะให้เรียกหัวหน้าหมู่บ้านเฉิน?
ตำแหน่งเล็กน้อยถึงเพียงนี้ การตั้งใจเน้นอาจเหมือนกำลังหักหน้าคนอื่นเขาเสียมากกว่า ในปักกิ่งนี้หากป้ายโฆษณาตกจากกลางอากาศลงมาทับ 10 คนจนล้ม ใน 10 คนนั้นอาจมีถึง 7 คนเป็ข้าราชการรัฐก็ได้ ไม่ลงใต้ไม่รู้ว่าตนยากจน ไม่ขึ้นเหนือไม่รู้ว่าตนมีตำแหน่งต่ำต้อย! ที่นี่คือสถานีรถไฟซึ่งผู้คนสัญจรไปมา สถานะอย่าง ‘หัวหน้าหมู่บ้าน’ นี้ก็อย่าตั้งใจเน้นย้ำเลย
เฉินวั่งต๋าเหลือบมองเส้ากวงหรงอยู่หลายหน เขาไม่ถามอีกฝ่ายว่าทำไมถึงเรียกเซี่ยเสี่ยวหลานว่า ‘พี่สะใภ้’ และไม่ถามว่า ‘พี่เฉิง’ คือใคร ตัวเส้ากวงหรงเองก็อยากบอกเสียแทบขาดใจตายได้
เฉินวั่งต๋าทำงานในระดับท้องถิ่นมาหลายสิบปี จริงอยู่ที่หัวหน้าหมู่บ้านเป็เพียงตำแหน่งเล็กน้อยเท่าเมล็ดงา แต่เขาจะไม่เคยต่อกรกับอำนาจอิทธิพลชั่วร้ายใดเลยเชียวหรือ?
เส้ากวงหรงมารับที่สถานีในวันนี้ด้วยท่าทีออกจะโอ้อวด
เซี่ยเสี่ยวหลานมีคนรัก เฉินวั่งต๋าไม่ได้ประหลาดใจ หญิงสาวผู้เป็เลิศย่อมไม่ร้างคนไขว่คว้า และเขาก็รู้ว่าเฉินชิ่งชอบเสี่ยวหลานด้วยเช่นกัน ตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานคบหาดูใจกับผู้อื่น นั่นเพราะความสามารถของเฉินชิ่งยังไม่พอ อย่างน้อยเฉินชิ่งในตอนนี้ยังไม่คู่ควรกับเด็กสาวอย่างเสี่ยวหลาน เื่ในอนาคตนั้นไม่แน่นอน ้าอนาคตแบบใด ้าขอใครเป็ภรรยา ครอบครัวช่วยอะไรเฉินชิ่งไม่ได้ ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับความพยายามของตัวเขาเอง!
แค่การพบกันที่สถานี ชายสามวัยสามสถานะก็ได้เริ่มปะทะกันแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานพูดไม่ออกจริงๆ หลี่เฟิ่งเหมยกับหลิวเฟินมองอะไรไม่ออกทั้งนั้น ส่วนหลิวจื่อเทาก็เอาแต่หัวเราะ หลังถูไถรอบรถจี๊ปคันโตแล้ว หลี่เฟิ่งเหมยก็จับเ้าลูกชายผู้น่าขายหน้าคนนี้ไว้อย่างแน่นหน้า
เฉินวั่งต๋าถูกเชิญเข้าไปนั่งในห้องโดยสารข้างคนขับ ส่วนพวกเซี่ยเสี่ยวหลานที่เหลือ ผู้ใหญ่สี่คน เด็กอีกหนึ่งคน พากันเบียดในที่นั่งด้านหลัง
นอกจากหลี่เฟิ่งเหมยที่เ้าเนื้อนิดหน่อยแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานกับอีกสองคนผอมมาก ที่นั่งด้านหลังสามารถรองรับได้ สำหรับหลิวจื่อเทาให้หลี่เฟิ่งเหมยกอดแนบกับอกก็พอ หัวชิงและจิงเม่าไม่ได้อยู่ในละแวกเดียวกัน หัวชิงอยู่เขตไห่เตี้ยน จิงเม่าอยู่เขตเฉาหยาง ระยะทางตรงก็ห่างกันประมาณ 10 กิโลเมตรแล้ว ถนนทางอ้อมนั้นยิ่งไกลเข้าไปใหญ่ เพื่อสะดวกในการไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัย คนสองกลุ่มจะไม่พักในบ้านพักแห่งเดียวกัน
โชคดีที่เ้าหนุ่มเฉินชิ่งนี่สอบติดมหาวิทยาลัยจิงเม่า
ไม่ใช่ว่ามหาวิทยาลัยนี้ไม่ดีเลิศพอ ทว่ามันไกลจากหัวชิง
ถ้าคะแนนดีกว่านี้อีกหน่อย สอบติดเหรินต้าอะไรพวกนั้น ที่นั่นอยู่บนถนนเส้นเดียวกับหัวชิงมิใช่หรือ?
“ปู่เฉินครับ ผมจะพาพวกปู่ไปส่งที่บ้านพักข้างมหาวิทยาลัยจิงเม่าก่อน พอเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว พวกเราค่อยไปที่หัวชิง จัดหาที่พักให้พวกพี่สะใภ้เสี่ยวหลาน และทุกคนก็กินข้าวเย็นด้วยกัน จากนั้นส่งพวกคุณกลับไปที่จิงเม่า คุณว่าเป็อย่างไร?”
เส้ากวงหรงวางแผนได้ดีมาก เฉินวั่งต๋าหาข้อติเตียนไม่ได้เลย
นอกจากเซี่ยเสี่ยวหลานที่เคยมาปักกิ่ง และเส้ากวงหรงผู้เป็คนปักกิ่งโดยกำเนิดแล้ว คนอื่นๆ ล้วนสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับเมืองหลวงยิ่งนัก
เส้ากวงหรงสามารถเป็มัคคุเทศก์ได้อย่างแน่นอน ตั้งใจขับรถรอบจัตุรัสเทียนอันเหมินโดยเฉพาะด้วย เมื่อเฉินวั่งต๋าเห็นภาพของผู้นำบนประตูเมือง เขาอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา หลิวเฟินกับหลี่เฟิ่งเหมยเองก็กลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่เช่นกัน หลี่เฟิ่งเหมยเรียกลูกชายลงจากรถเพื่อโค้งคำนับด้วย
คนยุคพวกเขาต่างมีความรู้สึกพิเศษต่อท่านผู้นำที่ยิ่งใหญ่ สำหรับทหารผ่านศึกอย่างเฉินวั่งต๋าคนนี้ยิ่งล้นเหลือกว่าใคร เฉินวั่งต๋าแสดงความเคารพตามแบบแผนของชายชาติทหารต่อภาพท่านผู้นำ
พอเส้ากวงหรงเห็นพวกเขาเป็เช่นนี้ ความคะนองบนใบหน้าก็หายไป
เส้าหวงหรงเงียบ เป็เพราะว่าเมื่อครู่เขาดูแคลนหัวหน้าหมู่บ้านผู้มีตำแหน่งกระจ้อยร่อย เมื่อได้ยินว่าหัวหน้าหมู่บ้านคนนี้เป็อดีตทหาร เขาเองก็เกิดละอายใจขึ้นมา
ไม่มีทหารผ่านศึกษาเหล่านี้ ก็ไม่มีชีวิตในวันนี้... แน่นอน ความละอายใจนั่นมันก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น หลังผ่านจัตุรัสเทียนอันเหมินไป เส้ากวงหรงเริ่มปากอยู่ไม่สุขเพื่อทำให้บรรยากาศร่าเริงอีกครั้ง พาเฉินวั่งต๋าและเฉินชิ่งมาถึงมหาวิทยาลัยจิงเม่า การลงทะเบียนเข้าพักในบ้านพักไม่มีปัญหาอะไร เนื่องจากเฉินชิ่งมีหนังสือตอบรับเข้าเรียนของมหาวิทยาลัยอยู่กับตัว
อีกอย่างก็มีห้องว่างด้วย พวกเขาเข้าปักกิ่งล่วงหน้าราวสองสามวัน นักเรียนส่วนใหญ่ยังไม่มารายงานตัว
จากนั้นจึงขับรถไปยังหัวชิง ตลอดทางปากของเส้ากวงหรงไม่เคยหยุดพักเลย ปักกิ่งมีของกินอะไรบ้าง มาเที่ยวปักกิ่งต้องไปเยี่ยมชมที่ใด เส้ากวงหรงเล่าทั้งหมดแล้ว พระราชวังต้องห้ามคือสถานที่ที่พลาดไม่ได้ กำแพงเมืองจีนก็ต้องขึ้นเหมือนกัน
“นี่ใกล้วันชาติแล้วไม่ใช่หรือ? ปีนี้ครบรอบ 35 ปี เร็วๆ นี้พระราชวังต้องห้ามเพิ่งบูรณะครั้งย่อยไปรอบหนึ่ง ไปชมตอนนี้ช่างเหมาะเจาะยิ่งนัก!”
หลังสร้างชาติ ต้าเยวี่ยนกำแพงสูงซึ่งเดิมเป็ที่ประทับของจักรพรรดิกลายเป็สถานที่ที่คนธรรมดาสามารถเข้าชมได้ รัฐดำเนินการบูรณะพระราชวังต้องห้ามครั้งที่สองอย่างยิ่งใหญ่ในปี 74 ซึ่งเงื่อนไขจำกัด จึงทำได้เพียงซ่อมแซมจุดที่เสียหายเท่านั้น การบูรณะครั้งนี้ยาวนานถึง 7 ปีเต็ม ใน่ปี 81 สามพระที่นั่งหน้า สามวังหลัง และหกหมู่พระตำหนักตะวันออกตะวันตกล้วนได้รับการบูรณะแล้ว นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปในสถานที่เหล่านี้ได้
ดังนั้นความหมายของเส้ากวงหรงคือไปชมพระราชวังต้องห้ามในเวลานี้ช่างเหมาะสมยิ่งนัก
เมื่อถึงถนนเสวียเยวี่ยน ก็มองเห็นประตูใหญ่ของหัวชิงแล้ว
เส้ากวงหรงไม่อาจหยอกล้อกับสิ่งนี้ได้ คนไม่เชี่ยวชาญการเรียนอย่างเขานี้ พอผ่านประตูใหญ่ของหัวชิงยังรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง เส้ากวงหรงไม่ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยเช่นกัน เขาเรียนจงจวนต่อทันทีหลังจบมัธยมศึกษาตอนต้น ตอนนี้ทำงานมาหลายปีแล้ว ทว่าหลังจากฟื้นฟูเกาเข่าประเทศก็ให้ความสำคัญกับวุฒิการศึกษา วุฒิจงจวนของเส้ากวงหรงจึงไม่ได้เลิศเลออีกต่อไป นักเรียนท้ายแถวขี้ประหม่าเกิดใจเสียเล็กน้อย ทำไมเด็กบ้านนอกอย่างเฉินชิ่งไม่ตระหนกน่ะหรือ คงไม่ใช่เพราะเสื้อผ้าที่ดูเชยบนตัวเขาหรอกมั้ง?
หรือเป็เพราะว่าหนังสือตอบรับเข้าศึกษามหาวิทยาลัยจิงเม่าฉบับนั้น!
หลังจากเฉินชิ่งจบการศึกษา ถ้าผลการเรียนยอดเยี่ยมหน่อย ก็ย่อมถูกบรรจุเข้าหน่วยงานดีๆ
นอกจากชาติตระกูลที่เทียบเส้ากวงหรงไม่ได้ เขาก็ไม่พ่ายแพ้อะไรให้แก่เส้ากวงหรงเลย ทำไมยังต้องประหม่าอีกเล่า
บุรุษคงไม่ควรเทียบหน้าตาสินะ? เพราะเขาขาวผ่องไม่พอจริงๆ
“นี่คือมหาวิทยาลัยของเสี่ยวหลาน?”
ทุกคนยืนรอหน้าประตูไม่ถึง 5 นาที ก็มีสองบุคคลลักษณะคล้ายกับนักศึกษาชายหนึ่งหญิงหนึ่งเข้ามาถาม
“พวกคุณมารายงานตัวสินะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่มหาวิทยาลัยหัวชิง!”