ซูฉีฉีถูกแรงฝ่ามือของฮวาเชียนจือผลักล้มลงบนพื้นใบหน้ามีรอยบวมแดงเป็แถบทว่าในแววตาของนางยังคงเย็นะเืขณะจับจ้องไปที่ฮวาเชียนจือ
“โอ้ะ ข้าเกือบลืมไป ท่านมียศเป็ถึงพระชายา!” ฮวาเชียนจือในตอนนี้ตัวสั่นเล็กน้อยแต่เพียงไม่นานนางก็กลับมาเป็ปกติดังเดิม นางก้าวไปข้างหน้าเพื่อพยุงซูฉีฉี แต่ทันทีที่นางพูดเสร็จฝ่ามือก็ฟาดลงไปบนหน้าซูฉีฉีอีกครั้ง
ใบหน้าอีกข้างหนึ่งก็มีรอยบวมขึ้นเช่นกัน
ปากก็เรียกนางว่าพระชายาทว่าแรงที่ฟาดลงมานั้นกลับไม่ออมมือเลยแม้แต่น้อยเห็นได้ชัดว่าฮวาเชียนจือนั้น้าระบายโทสะที่มีทั้งหมดของตนลงบนตัวของซูฉีฉี
อีกทั้งนางยังไม่เห็นพระชายาอย่างซูฉีฉีผู้นี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
“พวกเ้าทั้งหมดมองเห็นอะไรหรือไม่?” เมื่อฮวาเชียนจือลงไม้ลงมือกับคนเสร็จก็หันมองไปที่คนรับใช้ที่คุกเข่าอยู่บริเวณรอบๆอย่างวางอำนาจ แววตาของนางมีความเยือกเย็นเผยออกมาให้เห็นแวบหนึ่ง
“บ่าว...ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเ้าค่ะ/ขอรับ” ทุกคนตอบกลับเสียงเบา
ฮวาเชียนจือเห็นดังนั้นก็เผยยิ้มออกมาอย่างได้ใจ
“ใครก็ได้ พาซูฉีฉีไปขังไว้ที่ห้องเก็บฟืน ไม่มีคำสั่งจากข้าห้ามปล่อยออกมาโดยเด็ดขาดและไม่อนุญาตให้ใครก็ตามนำอาหารหรือน้ำไปให้นางถ้าหากข้าจับได้แล้วล่ะก็ หึหึ...” ฮวาเชียนจือวางท่าดั่งนายหญิงของจวนเมื่อนางสั่งการเสร็จแล้วก็เดินจากไป
ซูฉีฉีรู้ว่าไม่ว่าจะเป็เพราะร่างกายที่อ่อนแอของตนหรือการแสดงอำนาจของตนเมื่อรับมือกับสตรีประเภทนั้นแล้ว ล้วนไม่เป็ผลดีกับนางทั้งนั้น
ต่อให้แสดงอำนาจแล้วจะเป็เช่นไร? ยังไงเสียนางก็เป็แค่พระชายาแต่ในนามเท่านั้น
นางนั่งเงียบๆ อยู่ในห้องเก็บฟืนตอนนี้เป็ปลายฤดูใบไม้ร่วงย่างเข้าฤดูหนาวแล้วสถานที่เช่นนี้ยิ่งเพิ่มความเหน็บหนาวขึ้นไปอีก
บนตัวนางสวมใส่เพียงเสื้อผ้าบางๆ คุณภาพหยาบๆในขณะที่ห้องเก็บฟืนนั้นมีลมเล็ดลอดเข้ามาจากทุกมุมของบานประตู ซูฉีฉีจึงได้แต่ต้องกอดตัวเองเอาไว้เพื่อเพิ่มความอบอุ่นนางอยากรู้แค่เพียงว่าสตรีผู้นั้นยอมอยู่สงบไม่ระรานนางถึงสองเดือน เหตุใดอยู่ๆถึงมาหาเื่นางได้
แสงจันทร์ที่สาดส่องในค่ำคืนนี้ช่างเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างนักยิ่งทำให้อากาศในค่ำคืนนี้รู้สึกหนาวเย็นมากขึ้น
ประตูห้องเก็บฟืนค่อยๆ ถูกผลักออก เงาเล็กๆ ของคนผู้หนึ่งค่อยๆก้าวเข้ามาอย่างระมัดระวัง
ซูฉีฉีที่หนาวแข็งจนเริ่มรู้สึกด้านชาค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปมองที่มาของเสียงที่แ่เบานั้น เมื่อนางเห็นว่าคนที่มาคือจิ่งม่านในใจก็รู้สึกอุ่นขึ้นไม่น้อยนางอยู่กับสาวใช้ที่โรงซักล้างเหล่านี้เป็เวลานานย่อมต้องมีความรู้สึกผูกพันกันอยู่บ้าง
โดยเฉพาะจิ่งม่าน ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนใกล้ชิดกันที่สุด
“จิ่งม่าน ทำไมเ้าถึงมาที่นี่ได้” ซูฉีฉีถามนางเสียงเบา
“ฉีฉี...ข้าทำผิดต่อเ้า...” จิ่งม่านพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเื่นี้ให้ซูฉีฉีรับผิดไป อย่างมากที่สุดก็ถูกขังอยู่ในห้องเก็บฟืนโดนตีสักรอบหนึ่ง แต่ถ้าหากเป็จิ่งม่านล่ะก็ วันนี้น่าจะไม่มีชีวิตรอดแล้ว
“สาวน้อย เ้าพูดอะไรอย่างนั้น ตอนนี้ข้าไม่ได้ปลอดภัยดีหรอกหรือ” ซูฉีฉีรีบฉีกยิ้มให้กับนางก่อนจะพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วยืนพิงอยู่กับกำแพง “ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เ้าควรจะมา รีบออกไปเถอะ จำไว้ว่าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”
จิ่งม่านพยักหน้าไม่หยุดก่อนจะแบมือออก ยื่นหมั่นโถวกลมๆ ขาวๆสองลูกลงบนมือของซูฉีฉี “เ้ารีบกินเถอะ ข้าต้องไปแล้วพรุ่งนี้ข้าค่อยเอามาให้เ้าอีก”
นางเม้มปากก่อนจะฉีกยิ้มจริงใจ ซูฉีฉีรับหมั่นโถวมาก่อนจะค่อยๆ กินทีละนิด
ประตูของห้องเก็บฟืนถูกปิดลงอีกครั้ง
ยังไม่ทันที่ซูฉีฉีจะกลับลงไปนั่งอีกครั้งข้างนอกมีแสงเพลิงเรียงกันเป็แถบยาว องครักษ์กว่าสิบคนบุกเข้ามาข้างใน
ฮวาเชียนจือเดินมาถึงข้างหน้า “บังอาจมากริอาจขัดคำสั่งของข้า ใครก็ได้ จับตัวนางมาแล้วเฆี่ยนตีนางอย่างหนัก”
จิ่งม่านที่พึ่งออกจากห้องเก็บฟืนไปได้ไม่นานก็ถูกบุรุษหลายคนหิ้วตัวขึ้น
ซูฉีฉีรีบยืนขึ้นก่อนจะเร่งรุดไปทางประตูของห้องเก็บฟืนน้ำเสียงของนางแฝงด้วยพลังอำนาจ “คุณหนูฮวา ขอท่านอย่าได้หาเื่นาง”
เหลือบตาไปมองซูฉีฉีที่อยู่ในห้องเก็บฟืนแวบหนึ่งฮวาเชียนจือได้แต่กัดฟันทน ถ้าหากเป็ไปได้นางจะไม่ทำแค่หาเื่คนรับใช้คนเดียวเช่นนี้เป็แน่
แววตานั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“ตี” ฮวาเชียนจือกัดฟัน ออกคำสั่งลงไป
ไม่ว่าจิ่งม่านจะอ้อนวอนขอร้องยังไงบุรุษเ่าั้ก็ยังคงฟาดแส้หนังลงบนตัวนางไปทั่ว
“ฮวาเชียนจือ ข้าขอสั่งให้เ้าหยุด” ซูฉีฉีเห็นร่างเล็กๆของจิ่งม่านกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ที่พื้น บนตัวของนางเต็มไปด้วยคราบเืซูฉีฉีกัดฟันด้วยความเคียดแค้นก่อนจะออกคำสั่งเสียงเย็น
ร่างกายของฮวาเชียนจือสั่นเล็กน้อยนางพยายามจะพูดอะไรสักอย่างแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะกลืนคำเ่าั้ลงไป
“พวกบ่าวไพร่สามหาว หยุดได้แล้ว” ซูฉีฉีหมุนตัวไปมองเหล่าองครักษ์
เสียงพลังอำนาจของนางนั้นทำให้ผู้คนตกตะลึงและท่าทีเปี่ยมบารมีของนางทำให้ผู้คนเคารพยำเกรง
นางทำให้พวกบุรุษที่ถือแส้หนังเ่าั้ล้วนนิ่งค้างอยู่กับที่