ตอนที่ 31
ปัณณวีร์เหยียบเก้าอี้ที่วางซ้อนกันหลายตัวขึ้นไปอย่างง่ายแล้วเผยรอยยิ้มออกมาที่ขึ้นมาได้ก่อนจะต้องหุบยิ้มลงเมื่อมองลงไปอีกฝั่งหนึ่งของกำแพง ไม่มีอะไรรออยู่เลยนอกจากหญ้าที่ขึ้นตามธรรมชาติ
“พี่วรรณครับ ผมว่าไม่ไหวอ่ะ” ปัณณวีร์หันมาบอก ส่วนชานั้นออกไปเอารถแล้วเพื่อจะไปรับปัณณวีร์ที่ด้านหลัง
“น้องวีร์คะ มาขนาดนี้แล้วะโลงไปเลยค่ะแค่ 3 เมตรเอง”
ปัณณวีร์ได้แต่ร้องท้วงในใจว่าสามเมตรไม่ควรใช้คำว่าเอง แต่ควรเป็ตั้งสามเมตรต่างหากถึงจะถูก พอครุ่นคิดแล้วไม่มีทางอื่นก็จำเป็ต้องะโลงไป
“งั้นผมไปก่อนนะครับ ไว้เจอกันครับ”
“ไว้เจอกันค่ะ”
“โอ๊ยยย!!” ทันทีที่ะโลงไปปัณณวีร์ก็ส่งเสียงร้องดังขึ้นมาทำเอาคนที่อยู่อีกฝั่งของกำแพงเป็ห่วง
“น้องวีร์ เป็อะไรรึเปล่าคะ” วรรณะโถาม
“เจ็บครับ เจ็บข้อเท้ามาก” ปัณณวีร์ตอบกลับมา พอดีกับที่ชาขับรถมาถึง เมื่อเห็นปัณณวีร์นั่งอยู่จับข้อเท้าตัวเองอยู่ที่พื้นก็รีบลงรถแล้ววิ่งมาหา
“พี่วีร์เป็อะไรคะ”
“น่าจะเท้าแพลง ตอนลงมามันสูงมากพี่ทรงตัวไม่ได้”
“เป็อะไรมากไหม” เสียงวรรณเอ่ยถามอย่างเป็ห่วง
“ไม่ต้องห่วงนะครับพี่วรรณ เดี๋ยวผมให้ชาพาไปโรงพยาบาล”
“งั้นหรอ งั้นรีบไปๆ ให้หมอเช็กให้ดีๆ นะ”
“ครับ”
“ไปค่ะ ลุกไหวไหม” ชาช่วยพยุงคนพี่ขึ้น ปัณณวีร์ก็พยายามเดินไปที่รถอย่างยากลำบากเพราะความเจ็บที่ข้อเท้า และไม่กล้าจะลงน้ำหนักตัวไปทางชาเท่าไหร่นักกลัวว่าน้องจะรับไม่ไหวแล้วล้มลงไปทั้งคู่
ปัณณวีร์ไปโรงพยาบาลทันที ดีที่ไม่เป็อะไรมาก คุณหมอใช้ผ้าพันเอาไว้และแนะนำวิธีการดูแลตัวเองหลังจากนี้นิดหน่อยเพราะไม่ได้ยากอะไร เพียงให้พักเท้าให้นานที่สุดหรืออย่าลงน้ำหนักตัวมากเกินไปเวลาเดิน
ชามาส่งปัณณวีร์ที่คอนโด ทางเข้าของคอนโดมีกลุ่มคนสิบกว่าคนและนักข่าวอีกกลุ่มหนึ่งยืนรออยู่ เพราะไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ ชาลดกระจกลงเมื่อต้องแลกบัตรก่อนจะเข้าไปข้างใน
“มาส่งพี่ค่ะ” รปภ. ก้มมองเล็กน้อยเพื่อดูว่ามาส่งใคร เมื่อเห็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาจึงแลกบัตรให้ทันที ก่อนจะเอ่ยถาม
“ทำไมวันนี้ไม่ขับรถกลับล่ะครับ”
“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยครับ ก็เลยขับรถไม่ได้” ปัณณวีร์ตอบด้วยรอยยิ้มก่อนจะยื่นถุงขนมให้กับพี่รปภ. ซึ่งปัณณวีร์มักจะซื้อของกินมาฝากอยู่บ่อยครั้ง
“ขอบคุณครับ” คนรับยิ้มตอบกลับคนให้ก็ชื่นใจ ชาขับรถเข้าไปด้านในจอดที่หน้าทางเข้าตึกเลย
“ขอบใจมากชา เดี๋ยวพี่เดินขึ้นไปเอง”
“ไหวหรอพี่” ชาถามอย่างเป็ห่วง
“ไหว ไม่เจ็บมากแล้วสบายมาก” ปัณณวีร์ยิ้มให้
“เดี๋ยวพี่ เื่พี่กับ ... ศิลานี่เป็เื่จริงรึเปล่า คือชาอยากรู้จากพี่” วันนี้ทั้งวันที่มีข่าว ชาก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรกับปัณณวีร์เลยและปัณณวีร์ก็ไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้ปฏิเสธและไม่ได้ยอมรับ แต่ทุกอย่างมันก็แน่ชัดอยู่แล้วเพียงแต่อยากจะรู้จากปากก็เท่านั้น
“อื้ม เป็เื่จริง” ชาไม่รู้จะทำหน้ายังไง ไม่รู้ควรจะอึ้ง ใ หรือว่าดีใจดี “เอาไว้พี่จะอธิบายให้ฟังวันหลังนะ”
“ค...ค่ะ” ปัณณวีร์ยิ้มขำกับสีหน้าของอีกฝ่ายก่อนจะลงจากรถไปแล้ว เดินอย่างทุลักทุเล กว่าจะไปถึงลิฟต์ได้ทำเอาชาทนไม่ไหวลงจากรถไปช่วยพยุงไปส่งที่ลิฟต์ แต่ทันทีที่ลิฟต์เปิดออกก็เจอกับศิลาที่ใส่หมวกใส่แมสพอดี
“ศิ” ชาใที่ปัณณวีร์จำศิลาได้ ขนาดเธอยังมองแล้วมองอีกเพราะไม่เห็นหน้า
“ขอบคุณมากครับ ผมดูแลเอง” ศิลารับอีกคนมาแทน ชายืนอ้ำอึ้งเล็กน้อย ยังไม่ทันได้ตอบอะไร ประตูลิฟต์ก็ปิดลงซะแล้ว พอนึกได้ก็แทบกรี๊ดออกมา เื่ของศิลากับปัณณวีร์นั้นเหมือนพล็อตนิยายที่เธอเคยอ่านบ่อยๆ พระเอกเป็ดาราดังแล้วแอบคบกับนายเอก เพียงแต่เื่นี้เป็เื่จริงซ้ำยังเกิดกับคนใกล้ตัวเธออีก
“ศิพี่เดินเองได้” ปัณณวีร์ดิ้นเล็กน้อยเมื่อลิฟต์เปิดออกที่หน้าห้องของศิลา ตัวเขาก็ลอยขึ้นเพราะถูกศิลาอุ้ม
“อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวตกนะ” ศิลาเอ่ยเสียงดุ ปัณณวีณ์จึงนิ่งไปกอดคออีกฝ่ายไว้แน่นเพราะรับรู้ได้ว่าอีกคนคงจะอารมณ์ไม่ดี
ร่างบางถูกวางลงบนโซฟาอย่างเบาที่สุด ก่อนจะช้อนสายตามองเ้าของห้องที่ถอดหมวกถอดแมสออก เพียงลงไปรับปัณณวีร์และกลับขึ้นมาก็ทำให้ศิลาเหงื่อออกได้แล้ว
“โมโหอะไร หื้ออ” ปัณณวีร์คว้ามือหนามาจับเอาไว้แล้วเงยหน้ามอง ส่งสายตาออดอ้อนเพราะรู้ว่าที่อีกคนอารมณ์ไม่ดีสาเหตุก็คงมาจากตัวเขาเอง
“พี่ไม่ดูแลตัวเองเลย กล้าะโลงมาได้ยังไง หากว่าเป็อะไรมากกว่านี้จะทำยัง ดีที่พันผ้าไม่ได้ใส่เฝือก มันอันตรายมากนะหากว่าพี่ตกลงมาแล้วเสียหลักไม่ใช่แค่ขาพลิกแต่ล้มหัวฟาดพื้นทำยังไง”
ปัณณวีร์เบ้ปากเล็กน้อยเมื่อถูกคนน้องบ่นเข้าให้ “งืออ ขอโทษ ไม่มีครั้งหน้าสัญญา”
ศิลายังคงทำเมินแต่ก็ยอมให้ปัณณวีร์จับมือไว้อย่างนั้น ทำเพียงเหลือบมองเล็กน้อยแล้วมองไปทางอื่น ปัณณวีร์เห็นว่าอ้อนยังไงอีกคนก็ไม่สนใจจึงทำท่าจะลุกแล้วแกล้งร้องขึ้นมา
“โอ้ยย”
“เจ็บหรอ พี่จะลุกไปไหน” ศิลารีบหันมาสนใจทันที ปัณณวีร์จึงยิ้มมุมปากเล็กน้อย “พี่แกล้งหรอ”
“อ่าาา เจ็บจริงๆ นะ” ปัณณวีร์รีบกอดคออีกคนไว้แน่นแล้วซบหน้าลงกับไหล่กว้าง “เจ็บจริงๆ”
ศิลาอมยิ้มกับความขี้เล่นของอีกคน อดไม่ได้ที่จะจับหน้าของคนพี่ขึ้นมาแล้วหอมแก้มซ้ายขวาเป็การทำโทษ แต่ดูเหมือนคนถูกทำโทษจะชอบใจและเต็มใจให้ทำ
“หมอบอกว่าต้องประคบเย็น”
“ได้ ผมทำให้” พูดเสร็จศิลาก็ลุกแล้วเดินไปที่ตู้เย็น หยิบเจลเย็นที่แช่ในช่องฟรีชออกมา เขาเตรียมเอาไว้แล้วั้แ่ตอนที่ปัณณวีร์โทรมาบอกว่าเท้าแพลงกำลังจะไปหาหมอ
“เตรียมไว้หรอ ใส่ใจจัง” ปัณณวีร์มองตามอย่างยิ้มๆ
“แน่นอนว่าผมใส่ใจทุกอย่างที่เป็เื่ของพี่”
ศิลากลับมานั่งที่ปลายเท้าของปัณณวีร์ ยกเท้าอีกฝ่ายมาวางที่ต้นขา แกะผ้าที่พันอยู่ออกแล้วใช้เจลเย็นที่แช่เอาไว้ประคบให้อย่างเบามือพร้อมถามอยู่ตลอดว่าเจ็บไหม ราวกับว่ากลัวจะทำแรงไป
“เจ็บไหม” เป็อีกครั้งที่ศิลาถาม ปัณณวีร์ส่ายหน้าและยิ้มให้เป็คำตอบ
“ศิ แล้วเื่ข่าวล่ะ ทางศิเป็ยังไงบ้าง” ปัณณวีร์ถามข่าวเื่ในวันนี้ ผลกระทบทางตัวเขาไม่ได้หนักเท่าศิลา
“พี่ดาบอกว่ายังเงียบอยู่ครับ ยังไม่มีใครติดต่ออะไรมา คงจะดูกระแสกันก่อนล่ะมั้งครับ พี่รุตกับคุณแม่ก็ความเห็นตรงกัน เราอย่าเพิ่งเคลื่อนไหวหรือว่าบอกอะไรครับ รอดูสถานการณ์ไปก่อน ่นี้พี่จะหยุดกองได้ไหม อีกอย่างเท้าก็เป็แบบนี้คงไปทำงานลำบาก” ศิลาพูดไปก็ประคบเย็นอย่างตั้งใจ
“น่าจะได้ พี่จะลองคุยกับคุณมาวินแล้วก็ทีมดู”
“ไม่น่าปล่อยให้พี่ไปทำงานกับเขาเลย ถ้ารู้ว่าเขาจะชอบแฟนของผมจริง”
ปัณณวีร์ขำเบาๆ แล้วเอื้อมมือบีบแก้มของอีกฝ่าย “หึงอะไร เคลียร์แล้วไม่ใช่หรอหื้ม”
“ก็ยังหึงอยู่ดีนั่นแหละ”
“เด็กน้อย” ปัณณวีร์ยิ้มกว้าง รู้สึกดีทุกครั้งที่ศิลาแสดงออกว่าหึงหวงตนเอง
“ทำไมยังช้าอยู่อีก ยิ่งไม่ออกไปปฏิเสธ ข่าวก็ยิ่งใส่สีตีไข่เพิ่ม แบบนี้จะทำให้เราเสียหายนะคะ”
“นั่นน่ะสิครับ ตอนนี้ศิลากำลังเป็ที่รู้จักและโด่งดัง จะให้อนาคตเขามาเสียเพราะข่าวลือบ้าๆ นี้ได้ยังไง”
“สรุปว่ามันแค่ข่าวลือหรือว่าเป็เื่จริงกันคะ”
“จะเื่จริงหรือข่าวลือก็ต้องออกมาปฏิเสธครับ ถ้าเป็เื่จริงก็จะให้ยอมรับงั้นหรอ”
“ไม่ได้ๆ หากว่าเขายอมรับ ละครที่จะได้เล่นต้องยกเลิกไปหมดแน่ๆ ใครบ้างอยากจะเล่นกับคนที่ไม่ได้เป็ชายแท้”
ศรุตนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะได้แต่กำหมัดและกัดฟันทนฟังเหล่าคณะกรรมการเก่าแก่ถกเถียงกันเื่ของน้องชายตัวเองว่าจะเอายังไง เขาจะพูดออกหน้ามากก็ไม่ได้เพราะจะดูเป็การเข้าข้างศิลาเกินไปแม้ใจของพี่ชายคนนี้จะอยู่ฝั่งน้องชายหมดแล้ว
“คุณรุตคิดว่ายังไงครับ ที่เราหารือกันวันนี้ ส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย ให้ศิลาออกมาปฏิเสธข่าวซะ”
“ภาพมันฟ้องชัดเจนขนาดนั้น ปฏิเสธไปก็ไม่มีใครเชื่อหรอกค่ะ ไม่สู้ยอมรับดีกว่า ยังไงศิลาก็มีความสามารถและอีกอย่างเดี๋ยวนี้ก็เปิดกว้างมากขึ้นแล้ว เป็เพศไหนก็คนเหมือนกัน ทำงานได้เหมือนกันนั่นแหละค่ะ”
“เหมือนที่ไหน เป็เธอจะเล่นละครกับคนที่เป็เกย์แล้วอินว่าเขาเป็ผู้ชายแท้ๆ ได้หรอ”
“ไม่เกี่ยวว่าเกย์หรือชายแท้เลย อยู่ที่ความสามารถไหมคะ นักแสดงถ้ามืออาชีพมากพอคุณก็ต้องเล่นได้กับทุกคน ไม่ใช่จะเลือกเล่นแต่กับคนที่เล่นด้วยแล้วรู้สึกอิน” เธอคนนั้นตอบกลับ ศรุตอยากจะปรบมือให้ซะจริง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีคนคัดค้านอยู่ดี
“พวกคุณแก่ซะเปล่าแต่ไม่เปิดรับอะไรเลย” เธอบ่นออกมา
“ไม่เกี่ยวว่าเปิดรับไม่เปิดรับ แต่เพราะเื่นี้มันส่งผลเสียมากกว่าผลดีต่อบริษัท เธอจะยอมเสียคนที่ทำรายได้ให้บริษัทไปเพียงเพราะข่าวลือพวกนี้หรอ”
“เอาละครับทุกท่าน” ศรุตพูดห้ามไว้ก่อน ก่อนจะกลายเป็ทะเลาะกันมากกว่าปรึกษาหาทางออก “ผมมองว่าเราควรจะรอดูกระแสอีกสักวันสองวันก่อน และอยากจะบอกให้ทุกท่านได้ทราบเพราะเป็กรรมการบริหารของบริษัท ศิลากับปัณณวีร์คบกันจริงครับที่ผมอยากให้รอไปก่อนไม่ให้แถลงข่าวเพราะตอนนี้ทางแบรนด์ใหญ่ๆ ที่ศิลาเป็พรีเซ็นเตอร์อยู่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยกเลิกสัญญาหรืออะไร นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาอยากก้าวไปข้างหน้า อยากสนับสนุนกลุ่ม LGBTQ ที่กำลังเป็ที่ให้ความสนใจในตอนนี้”
“เื่นั้นมันก็ใช่อยู่หรอก แต่ตอนนี้ในโซเชียลโดยเฉพาะกลุ่มแฟนคลับของศิลาต่างก็อยากให้เขาออกมาแถลงข่าวชี้แจง พวกเขาดูจะไม่ชอบใจนักที่ศิลาจะมีแฟนตอนนี้”
“ไหนๆ ก็ปิดเป็ความลับมาก่อนหน้านี้แล้ว ปิดต่อไปจะเป็ไรไป”
ศรุตเม้มปากแล้วพูดออกไป “แต่กลุ่มแฟนคลับก็แตกออกเป็สองกลุ่มนะครับ มีกลุ่มที่ยังสนับสนุนศิลาอยู่กับกลุ่มที่ไม่อยากให้เขามีแฟน หากเทียบกันแล้วผู้ช่วยของผมสำรวจดูคร่าวๆ คนที่ยังสนับสนุนเขาอยู่ก็มีเยอะกว่า อีกอย่างเื่นี้ไม่ใช่แค่กลุ่มแฟนคลับ คนนอกที่ไม่ได้ติดตามศิลามาก่อนก็เข้ามาทวิตด้วยเหมือนกัน พวกเขาต่างก็เปิดรับเื่นี้กันทั้งนั้น”
“คุณรุต ที่คุณพูดแบบนี้หมายความว่าอยากจะให้ศิลาเปิดตัวยอมรับไปงั้นหรอ เพราะว่าเขาเป็น้องชายของคุณงั้นสิถึงได้ช่วย” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งถามขึ้น ศรุตทำได้เพียงยิ้มบางๆ แล้วตอบกลับ
“ไม่ใช่ครับ ผมกำลังหาทางออกให้ทั้งสองฝ่ายต่างหาก อีกไม่กี่เดือนศิลาก็จะหมดสัญญากับบริษัทแล้ว ผมรู้จักนิสัยน้องชายผมดี ถ้าเราบังคับเขามากๆ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเป็ฝ่ายยกเลิกสัญญาและยอมเสียค่าปรับซะเอง” พอศรุตพูดจบทุกคนในที่ประชุมก็พูดคุยกันเล็กน้อย หากว่าเสียศิลาไปตอนนี้ก็ไม่ต่างจากเสียบ่อเงินบ่อทองของบริษัทไป
“คุณเป็พี่ชายเขา เป็ครอบครัวเดียวกัน อีกอย่างเจทีเอ็นก็เป็ของเขาเหมือนกัน เขาจะทิ้งมันไปได้ลงเพียงเพราะเื่แค่นี้งั้นหรอ คุณรุตคุณควรจะเด็ดขาดนะไม่ใช่ว่าเขาเป็น้องชายแล้วจะให้อิสระเขายังไงก็ได้”
“ใช่ค่ะ ในเมื่อเขายังมีสัญญากับบริษัทอยู่ เราก็บังคับให้เขาแถลงข่าวซะ เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกด้วยงั้นหรอคะ”
“ใช่ๆ” ศรุตได้แต่กัดฟันทน ในใจอยากจะะโบอกพวกเขาเหลือเกินว่าเื่แค่นี้ที่ว่านั้นเคยทำให้ศิลาแทบจะตัดขาดกับกนกมาแล้ว ศรุตจำต้องทำตามที่คณะกรรมการลงมติกันเนื่องจากเป็เสียงส่วนมาก
“วันนี้มีข่าวดีกับข่าวร้าย” ดารินซื้ออาหารเข้ามาให้ทั้งสองที่คอนโดพร้อมกับเื่สำคัญสองเื่ที่ต้องมาบอก ปัณณวีร์นั่งอยู่ที่โซฟาถูกสั่งห้ามไม่ให้ลุกไปไหนบ่อย ทำได้เพียงขยับตัวมาที่ขอบโซฟาแล้วเท้าคางถามดาริน
“เอาข่าวดีก่อนได้ไหม ่นี้มีแต่ข่าวร้ายมากพอแล้ว” ดารินยิ้มเดินเอาชานมไข่มุกที่ปัณณวีร์ฝากซื้อมาให้อีกฝ่าย
“ข่าวดีก็คือ มิสเตอร์จอห์นติดต่อมา”
“มิสเตอร์จอห์น คนที่ผมเล่าให้พี่ว่าเขาเข้ามาทักและขอแลกช่องทางติดต่อ” ศิลาเดินมานั่งข้างๆ ปัณณวีร์พร้อมองุ่น
“ใช่แล้ว เขาตกลงอยากร่วมงานกับศิ เขาบอกว่าได้ประชุมกับทีมผู้กำกับของเขาแล้ว”
“ข่าวดีจริงๆ แต่ว่าสถานการณ์ของศิตอนนี้...” ปัณณวีร์หันมองอีกคน ศิลายื่นมือมาลูบผมคนพี่เบาๆ
“เื่นั้นไม่ต้องกังวลเลย” ดารินพูดด้วยน้ำเสียงดีใจ
“ทำไมหรอครับ”
“พี่คุยกับเขาแล้ว บอกไปว่าตอนนี้ทางเราไม่สะดวกเท่าไหร่เพราะมีข่าวเพราะพี่ไม่อยากหาเื่มาให้แก้ปัญหาเพิ่ม แล้วเขาก็ถามกลับมาว่าข่าวอะไร พี่เลยอธิบายให้เขาฟังคร่าวๆ เขาบอกว่าไม่เป็ไรเลย เขาอยากได้ศิมาร่วมงานไม่ได้สนใจว่าศิจะเป็อะไร บอกอีกว่าพวกเขาสนใจที่ความสามารถเป็พอ อยากให้ศิลองไปแคสดูก่อนด้วย”
“ดีจังเลย” ปัณณวีร์ยิ้มกว้าง นับว่าเป็ข่าวดีมาก
“แล้วข่าวร้ายล่ะครับ” ศิลาถามขึ้น ดารินที่ยิ้มอยู่หุบยิ้มทันทีแล้วสูดหายใจเข้า
“ศิต้องแถลงข่าวแล้วนะวันพรุ่งนี้ตอน 10 โมง ทางบริษัทเตรียมงานไว้แล้ว และพี่ก็เขียนสคริปต์ให้แล้วด้วย”
“อะไรนะครับ” แถลงข่าวจากทางบริษัทโดยไม่ได้ถามเขาก่อน ศิลารู้ได้ทันทีว่าต้องให้เขาปฏิเสธข่าวอย่างแน่นอน
“ทางคณะกรรมการเขา้าให้ศิออกมาปฏิเสธข่าวซะ เพราะไม่อยากให้กระทบกับงาน แม้ว่าตอนนี้ทางแบรนด์หรือละครที่ต้องเล่นยังไม่มีทีท่าอย่างไร แต่ก็ชัวร์ไงดังนั้นต้องรีบปฏิเสธข่าวซะก่อน” ดารินเดินกลับไปเอาสคริปต์ที่คิดเอาไว้ให้แล้วมาให้ศิลา วางไว้ที่โต๊ะตรงหน้าเพราะศิลานั้นไม่รับเอาไว้
“ศิ ตอนนี้ศิยังไม่หมดสัญญาไง เขาเลยบังคับศิได้ รออีกหน่อยเถอะนะ” ดารินพูดเกลี้ยกล่อม ปัณณวีร์มองแล้ววางมือทับมือของศิลาก่อนจะบีบเบาๆ
“ไม่เป็ไรเลย ปฏิเสธไปก่อนก็ได้ ถึงจะมีคนไม่เชื่อแต่ว่าแฟนคลับศิคงจะดีใจมากกว่าที่ไม่ใช่เื่จริง”
“ก็ได้ครับ แล้วเื่ที่จะให้ผมลองไปแคสบทดูก่อน ผมรับ พี่ขอรายละเอียดจากทางนั้นมาได้เลย แล้วก็หาคอร์สเรียนภาษาฝรั่งเศสเพิ่มให้ผมด้วยนะครับ” ศิลาบอกออกไป ดารินเองก็ยิ้มเพราะยังไม่อยากให้น้องเปิดตัวตอนนี้เช่นกัน
“ได้เลย เดี๋ยวพี่จัดการให้ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ตอน 8 โมงพี่มารับไปบริษัท”
“ครับ”
เมื่อดารินออกไปแล้ว ศิลาก็มองแผ่นสคริปต์ที่วางอยู่แวบเดียวและไม่สนใจมันอีก ปัณณวีร์เห็นอีกคนทำหน้าเครียดก็เอื้อมไปหยิบองุ่นขึ้นมาป้อน
“ไม่ต้องเครียดไป ไม่เป็ไรเลย”
“เื่ของพี่ผมปิดตอนนี้ เชื่อเถอะว่าพวกคณะกรรมการต้องอยากให้ผมปิดไปตลอด”
“เดี๋ยวก็หมดสัญญาแล้วไง ใครจะทำอะไรได้” ปัณณวีร์ยิ้ม สองมือประกบข้างแก้มของศิลาแล้วจ้องมองใบหน้าดุจหยกสลัก พลางนึกในใจว่าพระเ้าช่างลำเอียงนัก ให้ความหล่อแก่เขาผู้นี้มาซะหมด
“ยังไงพี่ก็ยังอยู่ข้างศินะ ฝั่งของพี่ดีหน่อยคุณมาวินเองเขาเข้าใจและพร้อมสนับสนุน งานพี่ไม่มีผลกระทบอะไรมากมายเท่าศิ”
“ที่ผมเป็ห่วงพี่ตอนนี้คือแฟนคลับกลุ่มนั้นที่ไม่ชอบพี่ กลัวว่าจะไปหาเื่พี่อย่างวันนั้นที่ไปดักรอ” ศิลาอยากจะประกาศปกป้องอีกฝ่ายจะแย่แต่ก็ทำไม่ได้
“ไม่งั้นจ้างบอดี้การ์ดสักคนคอยดูแลพี่สิ เอาจริงพี่ก็อยากมีโมเมนต์การ์ดเดินตามอยู่นะ เหมือนมาเฟียเลย” ปัณณวีร์พูดติดขำไม่ได้จริงจังนักแต่คนที่ฟังกลับคิดเป็จริงเป็จัง
เช้าวันต่อมาก่อนจะออกจากคอนโด ศิลาพาบอดี้การ์ดที่คอยดูแลตัวเองตอนออกงานประจำมาให้ปัณณวีร์รู้จัก และบอกว่าหากจะไปไหนหรือ้าอะไรให้สั่งเขาได้เพราะวันนี้ศิลาต้องไปแถลงข่าว ไม่ได้อยู่ดูแล ทำเอาปัณณวีร์หน้าเหวอไปเล็กน้อย
“บอดี้การ์ดหรอ??”
“ก็พี่บอกอยากได้ ดีเหมือนกันแบบนี้ผมก็อุ่นใจ พี่พอสเป็คนเก่งแล้วก็ดูแลผมมาั้แ่แรกๆ เลย” ศิลาว่า
“เอ่อ...พี่แค่พูดเล่นเองนะ”
“แต่ผมจริงจังมาก หากว่าพี่จะไปไหนต่อไปนี้ก็ให้พี่พอสไปด้วยแล้วกัน” คนชื่อพอสยิ้มให้ ปัณณวีร์จึงส่งยิ้มกลับ
ตอนเห็นในละครหรือว่าอ่านนิยายก็มักจะจินตนาการว่าหากมีคนเดินตามดูแลคงเท่ไม่เบา แต่พอเจอกับตัวเองทำให้รู้ว่ามันน่าอึดอัดมากกว่าที่มีคนคอยตามเราตลอด
ศิลามาถึงบริษัทก็เข้าไปแต่งหน้าทำผมก่อนเล็กน้อยและเตรียมตัวรอเวลา ตอนนี้นักข่าวทุกช่องต่างก็พากันมารอฟังแถลงข่าวเพราะเป็เื่ที่น่าจับตามอง ทางละครที่ศิลารับเล่นไปหลายเื่ในปีนี้ต่างก็รอฟังเช่นเดียวกัน เพราะพวกเขายังไม่กล้าจะทำอะไรหากว่าศิลายังไม่ออกมาให้ข่าว
“ศิจำสคริปต์ได้แล้วใช่ไหม” ดารินถามเพื่อเตรียมความพร้อม ศิลาพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเอามือถือขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา เข้าไปแฮชแท็กที่กำลังเป็ที่สนใจนั่นก็คือเื่ของตัวเองที่ติดเทรนด์มาแล้วหลายวัน
หลายคนที่ไม่ใช่แฟนคลับศิลาต่างก็โพสต์ทวิตสนับสนุน โพสต์ให้กำลังใจ สมัยนี้แล้วเื่ความหลากหลายทางเพศควรจะเปิดกว้าง ไม่ควรเอามาเป็ข้อจำกัดของการทำงาน บางคนก็ไม่เห็นด้วย มีการถกเถียงกันไปมา แน่นอนว่าต่างคนต่างความคิด เราไม่สามารถไปบังคับหรือเปลี่ยนความคิดของใครได้เพียงไม่กี่ประโยค
‘ศิลาจะมีแฟนหรือไม่มีแฟนยังไงเราก็สนับสนุนเขาต่ออยู่แล้ว เราชอบที่เป็เขาติดตามมาั้แ่ยังไม่ดัง ไม่เลิกชอบเขาเพียงเพราะว่าเขามีแฟนหรอกนะ’
‘คนที่บอกจะเลิกติดตามก็เลิกไปนะ พวกคุณไม่ใช่แฟนคลับเขาจริงๆ’
‘เ้าตัวยังไม่ได้ออกมาบอกอะไรเลย รีบตัดสินไปไหน รูปนั้นอาจจะเป็รูปตัดต่อก็ได้นะ’
‘ตัดต่อได้เนียนมากนะ คนไม่ชอบศิลาก็อยู่แต่ตัวเองไปสิ จะมาทำลายชื่อเสียงเขาทำไมไม่เข้าใจเลย’
‘นี่ไม่ได้ติดตามน้องมาแต่ก็รู้จัก ไม่รู้ว่าเื่เป็มายังไง จริงหรือเท็จแต่อยากจะบอกว่าดาราก็เป็คนนะ ทำไมเราต้องไปชี้ทางเดินหรือเลือกเส้นทางให้เขาด้วย เขาจะมีแฟนก็ไม่ได้หรอ งงคนที่บอกจะเลิกตามเขาเพียงเพราะเขามีแฟนเหมือนกัน’
ศิลาเลือกอ่านแต่ข้อความที่ทำให้เขามั่นใจ ความคิดเห็นลบๆ เขาไม่แม้แต่จะอ่านเพราะไม่อยากให้มันมามีผลกับใจของเขาที่ตัดสินใจแล้ว กนกเดินเข้ามาในห้องพักที่ศิลานั่งรออยู่ นี่เป็เื่ที่เธอไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุดเพราะไม่อยากให้ศิลาต้องเลือกและเสียใจ หากเป็ก่อนหน้านี้เธอคงจะรีบยุให้ศิลาเลิกกับปัณณวีร์ไปแล้วหรือไม่ก็ไปบังคับปัณณวีร์แทนเพราะหากว่าใช้เื่อนาคตของศิลามาเป็ข้ออ้าง มีหรือปัณณวีร์จะไม่ยอมทำตาม แต่ตอนนี้เธอรู้ดีว่าทำแบบนั้นไปศิลาก็มีแต่จะเสียใจ
“ศิลา” เ้าของชื่อเงยหน้ามองคนที่เข้ามาใหม่ กนกมาในวันนี้เพื่อมาอยู่ข้างๆ เป็เพื่อนลูกชาย แม้จะเป็เ้าของบริษัทแล้วยังไง ศรุตเป็ประธานบริหารแล้วยังไง สุดท้ายพวกเขาก็ไม่อาจทำอะไรตามใจเพื่อศิลาได้ เพราะบริษัทนี้ไม่ได้มีเพียงพวกเขา ยังมีผู้ถือหุ้นน้อยใหญ่อีกเยอะ
“มาด้วยหรอครับ” ศิลาถามกลับ
“ต้องมาสิ เป็ยังไงบ้างอ่านอะไรอยู่” กนกเดินไปนั่งลงข้างๆ ลูกชาย ั้แ่เกิดเื่ในครั้งนั้น เธอมองมาตลอด มองมาที่ศิลากับปัณณวีร์ตลอดว่าทั้งสองจะเป็ยังไงต่อ มันทำให้เธอเห็นแล้วว่าทั้งคู่ไม่เคยให้เื่ส่วนตัวของตัวเองมาทำลายหน้าที่การงานเลย ซ้ำยังคอยสนับสนุนกันอยู่เสมอ เป็เหมือนแบตเตอรี่ให้กันและกันยามที่เหนื่อยล้า จากที่ไม่เคยยอมรับตอนนี้กลับเปิดใจยอมรับมันด้วยใจจริงแล้ว
“ข่าวน่ะครับ”
“ไม่ต้องไปสนใจข่าวในโซเชียลมาก อ่านไปก็ทำให้บั่นทอนจิตใจ”
“แต่มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละครับ” ศิลาก้มมองมือตัวเองที่จับโทรศัพท์อยู่
“แม่ไม่รู้จะช่วยลูกยังไงเลย”
ศิลามองสบตากนกก่อนจะถามขึ้น “แม่ครับ ถ้าหากผมทำเื่ที่บริษัทต้องเสียหายเพราะตัวผม แม่จะโกรธผมไหมครับ”
กนกนิ่งไปครู่หนึ่งและคิดตาม เห็นแววตาจริงจังของลูกชายแล้วเธอก็พอจะเดาได้ว่าศิลาจะทำอะไรและคิดว่าศิลาคงจะตัดสินใจไปแล้วด้วยแม้ว่าเธอจะบอกว่าโกรธแล้วอย่างไร จะทำอะไรได้หากศิลาตัดสินใจแล้วย่อมเป็ตัวเลือกที่เขาคิดมาดีแล้วจริงๆ กนกถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะตอบ
“ศิลาของแม่ทำเงินให้เจทีเอ็นมาก็ไม่น้อยแล้ว มากกว่าหลายคนที่อยู่นานกว่าศิลาอีกเพราะงั้น ... ทำตามใจตัวเองสักครั้งเถอะ แม่จะสนับสนุนและจะอยู่ข้างลูก”
TBC.