สุดเขตแดนสมุทร
ตอนที่ 21
“คุณแม่ล่ะ”
“คุณนายอยู่ในห้องทำงานค่ะ”
“ตั้งโต๊ะกี่โมง”
“คุณนายบอกว่าไม่หิวค่ะ แสนเลยยังไม่ได้ตั้ง”
รามสูรพยักหน้ารับพลางมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ เข็มสั้นชี้ไปที่เลขสิบส่วนเข็มยาวชี้ไปที่เลขหก สิบโมงครึ่งจวนแล้วแต่คุณแม่ยังไม่ยอมทานข้าว ่นี้คนแก่เดาอารมณ์ยากกว่าเดิมมาก เขาไม่รู้ว่าทำไม ั้แ่เกิดเื่ไฟไหม้และเราสองคนทะเลาะกันในวันนั้น แม่ก็ดูเหมือนจะเอาแต่ใจเพิ่มขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
“ม่านหิวรึยัง”
“ตั้งเลยก็ได้นะวันนี้มีแขก” ม่านหยี่บอกด้วยเพราะกลัวว่าคุณเพนนีจะหิวมากกว่า
“โอเค ตั้งเลยก็ได้”
“ค่ะ”
“เดี๋ยวพี่แสน!”
“คะ?”
“ให้คนไปเรียกแม่ด้วยนะ”
“ค่ะ”
ความกังวลฉายชัดอยู่ที่ใบหน้าเมื่อทุกคนนั่งประจำที่กันที่โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว คุณนายรุ่งฤดียังไม่ยอมออกมาจากห้องทำงาน ถึงแม้ว่าเขาจะให้พี่แสนไปบอกตั้งสองรอบแล้วก็เถอะ แต่คนแก่ยังดื้อด้าน
“ไอ้อัสมึงไป”
“ไม่อ่ะ มึงไปสิ”
“พี่แสนไปตามแม่อีกทีครับ”
“ค่ะ...”
“ไม่ต้อง ฉันมาแล้ว” เกิดความเงียบโรยตัวปกคลุมที่โต๊ะอาหารทันที คลื่นความกดดันแผ่กระจายออกมาจากตัวคุณนายรุ่งฤดีจนสามารถััได้ หญิงวัยกลางคนเดินนวยนาดมานั่งลงยังโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าวันนี้มีสมาชิกร่วมรับประทานอาหารเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน เป็คนแปลกหน้าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กับอัสนีลูกชายคนโตของเธอ
“สวัสดีค่ะมัม” เพนนีเริ่มเล่นตามบท ซึ่งมันไม่ได้ต่างจากชีวิตจริง ๆ ของเธอสักเท่าไหร่ ด้วยเพราะการไปอยู่เมืองนอกทำให้เธอรับเอาวัฒนธรรมของต่างชาติเข้ามาเยอะมาก กอปรกับเป็นิสัยของเธอที่ชอบกวนคนอื่นไปเรื่อย ๆ แบบนี้ทำให้การสร้างคาแรคเตอร์น่ารำคาญไม่ใช่งานยากสำหรับเธอสักเท่าไหร่
“ใคร” คุณนายรุ่งฤดีถามเพียงคำเดียวเท่านั้น
“แฟนผมเอง...ครับ”
คำว่า ‘เหรอ’ เพียงคำเดียวไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าตอนนี้คุณนายรุ่งฤดีอยู่ในอารมณ์ไหน ยินดียินร้ายกับการที่จะมีลูกสะใภ้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนหรือไม่
“คบกันมานานเท่าไหร่แล้ว”
“หกเดือนค่ะ” เพนนีชิงตอบ หญิงสาวแทรกจริตจะก้านเกินงามลงไปในรอยยิ้มที่ถ้าใครเห็นคงมีอันต้องเบะปาก
“เจอกันที่ไหน”
“ที่เมืองไทยค่ะ เพนนีกลับมาเที่ยวเมืองไทย” ดูท่าว่าวันนี้แกงใต้ ผัดใบเหลียงและอาหารอีกหลายอย่างบนโต๊ะคงจะเป็หมันอีกเช่นเคย
“ชื่ออะไรนะ”
“เพนนีค่ะ”
“อายุเท่าไหร่”
“เท่าอัสค่ะ ยี่สิบห้า”
“เป็คนที่ไหน” คุณนายรุ่งฤดีเริ่มการสอบสวนคนรักของลูกชายตามขั้นตอนเดิมคือถามชื่อนามสกุล อายุ ที่อยู่อาศัย ถามว่าลูกชายเธอกับคนรักเจอกันได้อย่างไร มันเป็ไปตามขั้นตอนที่ม่านหยี่เคยโดนสอบสวนทุกอย่าง หากนี่เป็การเค้นความจริงจากปากผู้ร้าย พี่เพนนีก็เล่นละครตบตาได้อย่างแเีไม่ต่างกันกับเขาสักเท่าไหร่ เพียงแค่ว่าการเล่นละครฉากใหญ่นี้มีการเตี๊ยมกันเอาไว้ก่อนแล้ว
“ดีนะ ฉันชอบ”
มีเพียงเสียงพัดลมตัวใหญ่ที่แขวนอยู่บนเพดานดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้องอาหาร ลมเย็นจากต้นไม้ด้านนอกพัดเข้ามาในบ้านหลังใหญ่เป็ระยะ
“แม่ว่ายังไงนะ” อัสนีที่เป็คนต้นคิดเื่แผนการนี้ถามย้ำกับมารดาอีกครั้ง เผื่อว่าสิ่งที่เขาได้ยินมันไม่ใช่เื่จริง หรือเขาอาจได้ยินผิดไป
“ฉันบอกว่าฉันชอบเธอ”
“ไม่...” เป็รามสูรที่อุทานออกมาเบา ๆ เพราะเขาไม่อาจเชื่อหูตนเองในสิ่งที่กำลังได้ยินอยู่
“ไม่อะไร ก็แม่บอกว่าแม่ชอบหนูเพนนี เหมือนที่แม่ชอบหนูปริมนั่นแหละ รามจะสงสัยอะไร” เผื่อว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอจะลืมไปแล้วว่าเธอก็พยายามหาลูกสะใภ้สาวมาอยู่ในครอบครัวด้วยเหมือนกัน
“แม่ไม่...ไม่ชอบหรอก” เป็รามที่พยายามเถียงมารดา ทำไมแม่ถึงชอบปริม ชอบเพนนี แต่ไม่ชอบม่านหยี่
“ชอบสิ ทำไมแม่จะไม่ชอบ”
“ตอนปริมแม่ก็ไม่ชอบ แม่ไม่เคยชอบแฟนของผมหรือของไอ้อัส ไม่ว่าจะเป็ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“เวลาเปลี่ยนคนมันก็เปลี่ยน”
“ถ้าอย่างนั้น-...”
“ไม่ละ ฉันชอบแค่ผู้หญิง ลูกสะใภ้ของฉันจะต้องเป็ผู้หญิงเท่านั้น คนที่ท้องได้น่ะพวกเธอเข้าใจมั้ย” คุณนายรุ่งฤดีว่าพลางตักแกงที่เริ่มเย็นชืดเข้าปาก หญิงวัยกลางคนเริ่มลงมือรับประทานอาหารพร้อมทั้งฮัมเพลงไปด้วย ซึ่งผิดวิสัยที่คุณนายรุ่งฤดีควรจะเป็เมื่อรับรู้ว่าลูกชายพาแฟนเข้าบ้าน ใบหน้าเหี่ยวย่นที่มีรอยตีนกายิ้มแย้มแจ่มใสไม่ลืมที่จะตักแกงสองสามอย่างใส่จานข้าวของว่าที่ลูกสะใภ้คนโตอีกด้วย
“ขอบคุณค่ะคุณแม่” ทางด้านเพนนีเมื่อทุกอย่างกลับตาลปัตรเธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มเจื่อนรับเอากับข้าวตามมารยาทและนั่งสนทนากับว่าที่แม่ผัวหลอก ๆ ของเธอจนกระทั่งมื้อเช้าจบลง
“อ้อ...วันนี้ให้เพนนีอยู่กับแม่ ส่วนพวกแกมีอะไรทำก็ไปทำ”
“ไม่ได้!”
“หื้ม?...” หญิงแก่เลิกคิ้วเป็เชิงถามเมื่อลูกชายคนโตขัดขึ้นมาก่อน
“เราจะลงไปดูแปลนช่วยไอ้ราม เพนนีเป็นักออกแบบเผื่อจะช่วยได้”
“จริงค่ะคุณแม่” หญิงสาวรีบพยักหน้าเห็นด้วยเพราะเธอกลัวคุณนายรุ่งฤดีจะถามอะไรซอกแซกจนจับไต๋ได้ว่าเราสี่คนกำลังเล่นละครตบตาเธออยู่ ทั้งยังไม่ชอบบรรยากาศในตอนที่เธออยู่กับแม่ของอัสนีด้วย มันทั้งอึดอัดและน่ากลัวแปลก ๆ
“ไม่ต้อง ว่าที่ลูกสะใภ้ฉันเธอจะพาไปตากแดดตากลมได้ยังไง เดี๋ยวผิวเสียหมด อ้อ...เธอก็อยู่กับฉันด้วยสิ” ม่านหยี่เลิกคิ้วขึ้นด้วยเพราะใในประโยคนั้น
“วันนี้แม่บ้านลา ไม่มีคนทำความสะอาดห้องทำงานของฉันกับลูกชาย เผื่อเธอจะช่วยทำตัวให้มีประโยชน์ด้วยการเช็ดถูบ้านฉันก็ไม่ว่าอะไร ดีกว่าการเอาตัวเองลงไปเกะกะอยู่ที่ไซต์งานข้างล่างนะ ว่าอย่างนั้นมั้ย?” ทุก ๆ คำพูดที่เอ่ยออกมาจากปากของหญิงวัยกลางคนมันแหลมคมกว่ามีดหรือดาบอื่นใด คำพูดเ่าั้แทงทะลุร่างของม่านหยี่ตรงเข้ามาจนถึงหัวใจมันเจ็บจนไม่อาจปฏิเสธได้เลย
“แม่!”
“ไม่ต้องราม ม่านอยู่ได้” รามสูรคอยออกโรงปกป้องเขาตลอด ม่านหยี่ซึ้งใจในการกระทำนั้น แต่ศึกระหว่างแม่ผัวกับลูกสะใภ้อย่างเขามันจะไม่จบหากเราไม่สามารถหาคนแพ้ชนะได้สักที ถึงแม้ว่าวันนี้เขาเห็นเค้าลางความหายนะั้แ่เริ่มแล้วก็เถอะ
“ม่าน...”
“อาลัยอาวรณ์อะไรกันขนาดนั้น ตัวก็ตั้งใหญ่ ทั้งสองคนเป็ผู้ชายทั้งคู่ แค่ทำงานบ้านนิด ๆ หน่อย ๆ ทำไม่ได้หรือยังไง หรือเธอทำไม่เป็ ก็จะได้รู้กันว่ามันสมควรมั้ย มาอยู่บ้านท่านแต่นิ่งดูดาย วัวควายก็ไม่ปั้นให้ลูกท่านเล่น” หญิงแก่ยกสุภาษิตมาเปรียบเปรย
“ทำได้ครับ” ม่านหยี่คิดว่าชีวิตเขาจะเหมือนเ้าหญิงในนิทานตะวันตกขึ้นทุกวัน
“เดี๋ยวเพนช่วย...”
“โอ้ไม่ต้องหรอกจ้ะหนูเพน นั่งคุยกับแม่ก่อนเถอะนะ คนแก่ไม่มีคนคุยด้วยมันก็เหงา” เพนนีหัวเราะแห้ง ๆ พลางหันมาถลึงตาใส่อัสนีเพราะทุกอย่างที่วางเอาไว้ไม่เป็ไปตามแผน
ม่านหยี่มองผู้หญิงสองคนที่เริ่มบทสนทนาและหัวร่อต่อกระซิกกัน อดน้อยใจไม่ได้ที่เขาไม่มีอะไรดูเหมือนผู้หญิงเลยสักอย่าง ทำให้คุณแม่ของรามไม่อาจทำใจยอมรับในความรักครั้งนี้ของเขาและรามสูรได้ ม่านลุกขึ้นเดินเก็บถ้วยชามอาหารที่ทุกคนกินเสร็จแล้วเข้าไปไว้ในห้องครัว พร้อมกับแม่บ้านอีกสองสามคน ม่านหยี่กำลังจะลงมือล้างจานชามเ่าั้ก็ถูกแม่บ้านร่างท้วมอีกคนหยุดมือเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวค่ะคุณ ไม่เป็ไรค่ะ คุณออกไปนั่งข้างนอกเถอะ”
“ไม่ได้หรอกครับ ผมต้องช่วยนะ” เพราะถ้าเขากลับออกไปก็จะโดนไล่กลับมาอยู่ในนี้อีกอยู่ดี
“ม่าน...”
“หื้ม?...ว่า” ม่านหยี่ลงมือทำความสะอาดจานชามที่กินเสร็จแล้วโดยเทเศษอาหารออกใส่ถังขยะ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาล้างชามอย่างขะมักเขม้น ไม่สนใจกระทั่งว่าคนรักเดินเข้ามาในห้องครัว
“ม่าน โอเคมั้ย”
ร่างบางส่ายหน้าน้อย ๆ แต่รามสูรก็คงเห็น
“ม่านหยี่...มองหน้าราม” มือหนาทั้งสองข้างยกขึ้นมาประกบดวงหน้าสวยเอาไว้ ก่อนที่จะประคองหน้าม่านหยี่ให้ค่อย ๆ เงยขึ้นมาสบตากับเขา ั์ตากลมโตแดงเถือกรื้นไปด้วยน้ำตา ทว่ามันกลับไม่ได้ไหลรินระใบหน้าลงมา ม่านหยี่คงพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะไม่ร้องไห้ให้เขาเห็น
“...บางทีเราก็อยากเป็ผู้หญิงนะราม เผื่อว่ามันจะง่ายกว่านี้” สิ่งที่คุณนายรุ่งฤดีทำและพูดในวันนี้มันเป็ครั้งแรกที่ทำให้เขารู้สึกว่าเขาเกิดมาผิดเพศ ถ้าหากเขาเกิดมาเป็ผู้หญิง คุณนายรุ่งฤดีคงจะแค่ไม่ชอบหน้าแต่ต่อไปเธออาจทำใจยอมรับได้ เขาอาจมีลูกสักสองคนเพื่อเป็โซ่ทองคล้องใจ คุณย่าคงจะมีเด็ก ๆ เอาไว้วิ่งเล่นไปทั่วบ้าน จะได้ไม่เหงา อะไร ๆ มันคงจะง่ายกว่านี้ถ้าเขาไม่ใช่ผู้ชาย
“ม่านไม่เอา ไม่พูดอย่างนั้น”
“ก็มันจริง...รามก็จะมีลูก คุณแม่จะมีหลาน รามไม่อยากมีลูกเหรอ”
เราสองคนอยู่ด้วยกันมานานจนกระทั่งลืมถามถึงความจำเป็ในการใช้ชีวิตคู่ไปเสียแล้ว เขาไม่เคยถามรามสูรเลยว่ารามอยากมีลูกหรือไม่ ลูกที่เกิดจากเืเนื้อเชื้อไขของรามจริง ๆ ไม่ใช่ลูกที่ไปรับเลี้ยงเขามาอีกที
“ม่านอยากมีมั้ย”
...เรา มันไม่สำคัญว่าเราอยากมีมั้ย แต่รามล่ะอยากมีมั้ย”
“สำคัญสิ ทำไมจะไม่สำคัญ”
“ก็ต่อให้เราอยากมีมันก็มีไม่ได้ไงราม ม่านเป็ผู้ชาย!!!” นั่นล่ะคือเหตุผลของความไม่สำคัญนั้น ต่อให้เขาบอกว่าเขาอยากมีลูกแล้วจะอย่างไร เราไม่สามารถมีลูกกันได้
“รามก็เป็ผู้ชาย ถ้าเรามีไม่ได้ก็ไม่ต้องมีโอเคมั้ย”
“แสดงว่ารามอยากมี” ช่างเป็คำตอบที่คลุมเครือทว่าแสนเ็ปเสียจริง เขามีลูกไม่ได้และรามสูรก็อยากมีลูก แต่ไม่เคยบอกเขาเลย
“รามไม่อยากมี”
“เรา...ขอโทษนะ ขอโทษที่มีลูกให้ไม่ได้”
“ม่านอย่าพูดอย่างนั้น”
“หนูเพนนีอยากไปเที่ยวไหนมั้ยคะ คุณแม่มีฟาร์มไข่มุกอยู่ท้ายเกาะ เราไปดูกันได้นะ” ดูท่าว่าคุณนายรุ่งฤดีจะชอบใจว่าที่สะใภ้คนใหม่มากถึงขั้นเปลี่ยนสรรพนามตนเองเป็คุณแม่แล้วเรียกว่าที่ลูกสะใภ้ว่าหนู ม่านหยี่ที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็ได้แต่นั่งฟังอย่างเงียบ ๆ มันจะเป็การเสียมารยาทถ้าหากเขาหลบเข้าห้องนอนของตนเองไป คุณนายรุ่งฤดีคงอยากให้เขาได้รับรู้ว่าการถูกเลือกปฏิบัติมันเป็อย่างไร และเขาจะไม่ได้รับการปฏิบัติดี ๆ แบบนี้จากแม่ผัวอย่างแน่นอน
“หนูเพนนีสนใจไข่มุกเม็ดไหนเลือกได้เลยนะคะ คุณแม่เต็มใจยกให้” หญิงแก่เดินควงแขนกันกับว่าที่ลูกสะใภ้ชี้ไม้ชี้มือไปที่คลังเก็บมุกของลูกชายคนเล็กพร้อมกับบอกให้เพนนีเลือกได้ตามสบาย หญิงสาวยิ้มเกลื่อนพลางพยักหน้ารับ เธอรู้อยู่เต็มอกว่าสถานการณ์ตอนนี้มันแปลก ๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่ายอมตามน้ำคุณนายรุ่งฤดีไปเรื่อย ๆ น้ำเสียงและคำพูดที่แม่ของอัสนีพูดนั้นมันทำให้เธอขนลุก
ถ้าหากอัสนีบอกให้เธอเล่นละครฉากใหญ่ คุณนายรุ่งฤดีคงเป็หนึ่งในตัวละครและผู้กำกับกองละครนี้ เธอจัดแจงทุกอย่างให้สมจริงมากขึ้น ทั้งน้ำเสียง แววตา ท่าทาง การกระทำเ่าั้คงเพื่อพุ่งเป้าหมายไปที่ม่านหยี่โดยตรง
จากทีแรกที่ม่านหยี่เดินตามหลังคุณนายรุ่งฤดีอยู่ในโรงเก็บมุกเขาก็จำต้องเดินออกมาด้านนอกเพราะไม่มีวี่แววว่าแม่ผัวจะช้อปปิ้งมุกฟรีเสร็จเสียที เธอเดินไปสองสามก้าวแล้วก็หยุดแนะนำพันธุ์ไข่มุก บอกว่าที่นี่เราเลี้ยงมุกกันอย่างไร ถึงจะได้ผลผลิตที่ดีที่สุด เราส่งออกมุกไปยังตลาดที่ไหนทั้งไทยและต่างประเทศ เื่พวกนี้ม่านหยี่รู้มาจากปากรามสูรแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นว่าที่แม่ย่าคงไม่ได้อยากเล่าข้อมูลรายละเอียดเ่าั้ให้เขาฟังสักเท่าไหร่
ม่านหยี่ลอบมองเข้าไปในโรงเก็บมุกหลายต่อหลายครั้ง ่นี้รามให้คนมาเฝ้าตลอดทั้งเวลากลางวันและกลางคืน เมื่อไม่กี่วันมานี้ก็ได้รับการติดต่อจากนายตำรวจใหญ่ซึ่งเป็เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของคุณนายรุ่งฤดี หลังจากวันที่ไฟไหม้ก็มีนายตำรวจชั้นผู้น้อยหลายสิบคนขึ้นเกาะมาและสำรวจหาหลักฐานต่าง ๆ นานาเพื่อสรุปหาสาเหตุว่าไฟไหม้ครั้งนั้นเกิดจากอะไร มันเป็เื่ง่ายที่จะบอกว่าเป็การลอบวางเพลิงโดยใช้โจรขโมยไข่มุกที่ฟาร์มเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ หากแต่เื่ยากคือการหาหลักฐานมามัดตัวผู้กระทำความผิด
คำอธิบายของนายตำรวจชั้นกลางทำให้รามหัวเสียอีกรอบและโทษว่ามันเป็ความผิดของตนเองที่เขาไม่ได้ติดกล้องวงจรปิดเอาไว้ ถึงแม้ว่าตำรวจบอกว่าจะพยายามตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีให้เร็วที่สุดถึงอย่างนั้นรามสูรก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เขายังจัดเวรยามให้คนงานมาเฝ้าสถานที่สำคัญในเกาะตลอดทั้งตอนกลางวันและกลางคืน ให้คนเดินตรวจตรารอบหมู่บ้านเพื่อจับสังเกตสิ่งที่น่าสงสัย หลายวันมานี้รามนอนไม่เป็เวลา ที่ว่างข้างเตียงของม่านหยี่บ้างก็ยวบยาบมีน้ำหนักกดทับลงในตอนกลางดึกของวัน บ้างก็ไร้เงาคนรักใน่นั้นเนื่องจากรามสูรต้องออกไปตรวจตราที่โรงแรมและฟาร์มหอยมุกตลอด
“นายครับ ๆ ตรงนี้มีรอยเท้าอีกแล้วครับนาย!”
“ครับ?”
“ตามผมมาครับนาย!” ลุงพลวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาเขาพร้อมกับชี้ไม้ชี้มือไปทางอีกฟากหนึ่งของเกาะ ม่านจำได้ว่ารามเคยเล่าให้ฟังก่อนที่จะเกิดเื่เหมือนมีคนลอบขึ้นเกาะมา มีรอยเท้าของคนนับสิบเหยียบย่ำอยู่บนผืนทราย ตำรวจก็ใช้หลักฐานนั้นเป็ข้อสันนิษฐานว่านี่อาจเป็การลอบวางเพลิงและลอบวางยาฟาร์มหอยมุกเช่นเดียวกัน
ม่านหยี่รีบวิ่งลัดเลาะเส้นทางเล็ก ๆ ที่เชื่อมไปถึงท้ายเกาะ เนื่องจากระยะหลังมานี้มีคนเดินเข้าออกเป็ประจำจนทำให้เส้นทางที่เคยรกชัฏกลายเป็เพียงถนนเส้นเล็ก ๆ ที่ไร้ต้นหญ้าเติบโต
“ตรงไหนครับลุง...” ร่างบางวิ่งทะลุออกมายังหน้าหาดใน่สายของวันเช่นนี้จะต้องเห็นชาวบ้านเอาเรือออกทะเลเพื่อไปหากุ้งหอยปูปลา หรือหาอาหารทะเลมาขาย ทว่าภาพตรงหน้าของเขากลับไม่ใช่อย่างที่คิด ไม่มีเรือหางยาวของชาวบ้าน ไม่มีเสียงเครื่องยนต์เรือที่ดังกระหึ่ม น่านน้ำด้านหน้ายังคงเป็สีครามทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา มีเพียงโขดหินโสโครกและเรือสปีดโบ๊ทลำใหญ่คุ้นตาจอดอยู่เพียงเท่านั้น
“นี่มันอะไรกัน” เป็อีกครั้งที่ม่านหยี่ตกหลุมพราง เสียรู้ให้กับบิดาเ้าเล่ห์
“นายให้มา”
“นายพวกแกไปไหน”
“อย่าถามมาก เอานี่ไปดูซะ” ผู้ชายร่างใหญ่ที่เขาจำได้ว่าเป็ลูกน้องของบิดายื่นเครื่องมือสื่อสารราคาแพงมาตรงหน้า ม่านหยี่รับเอาโทรศัพท์เครื่องนั้นมาหากแต่ก็ไม่ไว้ใจสถานการณ์ในตอนนี้สักเท่าไหร่ หน้าจอโทรศัพท์เล่นค้างอยู่ที่วิดีโอความยาวสี่นาที เขาเหลือบมองลูกน้องของพ่ออีกครั้งก่อนที่จะกดเล่นคลิปวิดีโอนั้น
“ไงมึง จะตายแล้วเหรอ” เสียงผู้เป็พ่อดังขึ้นมาในขณะที่กำลังเดินเข้าไปหามารดาของเขาที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย
“ยังไม่ทันได้บอกลาลูกชายเลย”
“กูอยากรู้จริง ๆ ที่พวกมึงเจอกันล่าสุดนี่คุยอะไรกัน”
“ม่าน...มึงคุยอะไรกับแม่มึงวะ” พ่อของเขาหันกล้องเข้าหาตัวจากนั้นก็ถามเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่รู้สึกรู้สากับการที่แม่ของเขานอนหายใจรวยรินต้องสวมท่อช่วยหายใจอยู่บนเตียง ทั้งยังมีเสียงมอนิเตอร์ดังขึ้นมาเป็ระยะ ๆ ม่านหยี่ตัวสั่นเทาเมื่อเห็นว่าอาการแม่หนักขึ้นกว่าครั้งก่อนที่เราเจอกัน ครั้งนั้นแม่ยังสามารถตื่นลืมตาขึ้นมาพูดคุยกับเขาได้ แต่ตอนนี้แม่ไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมามองดูพ่อที่ยืนอยู่ข้างเตียงได้เลย
“ม่าน...”
“มึงกับแม่มึงนี่ชอบมีลับลมคมในกับกูนะ หลายทีแล้วพวกมึงน่ะ” ม่านหยี่สะดุ้งโหยงเมื่อบิดาทำท่าจับท่อช่วยหายใจขึ้นมาบีบบี้เล่น ไม่ต่างจากเด็ก ๆ ที่สงสัยใคร่รู้ นิ้วมือหยาบกร้านกดน้ำหนักลงไปที่ท่อสีใส การกระทำนั้นทำเอาม่านหยี่หยุดหายใจไปชั่วขณะ จากนั้นบิดาก็คลายมันออกราวกับรู้ว่านี่คือสิ่งที่จะทำให้ม่านหยี่สติแตกได้ง่าย ๆ
“แม่มึงน่าจะอยากเจอมึงนะม่าน ดูจากสภาพแล้ว เลือกเอาแล้วกันว่าจะกลับมาหรือไม่กลับ”
“...”
“เพราะถ้ามึงไม่กลับวันนี้ พรุ่งนี้กูจะส่งร่างแม่มึงลอยตามน้ำไปถึงเกาะผัวมึงเลย” บิดาแสยะยิ้มเหี้ยมก่อนที่จะกดหยุดบันทึกวิดีโอ หัวใจของม่านหยี่เต้นไม่เป็ส่ำเมื่อได้ยินบิดาพูดอย่างนั้น เขาต้องตัดสินใจเดี๋ยวนี้ว่าจะทำตัวมีพิรุธหายตัวไปอีกครั้งเพื่อกลับเกาะไปดูอาการป่วยของแม่ หรือจะยอมทิ้งแม่ไว้อย่างนั้นแล้ว...แล้วพรุ่งนี้ เขาเชื่อว่าพ่อทำแน่ พ่อจะฆ่าแม่ของเขาแน่ ๆ อย่างนั้นเขาจะนิ่งนอนใจไม่ได้ ม่านหยี่ะโขึ้นเรือสปีดโบ๊ททันที่ไม่นานหลังจากนั้นเรือก็ขับออกไปห่างไกลจากเกาะของรามสูรขึ้นเรื่อย ๆ เขามองเกาะขนาดใหญ่ที่มันค่อย ๆ เล็กลงจนกลายเป็เพียงยอดเขาเล็ก ๆ กลางทะเล ถึงแม้ว่าเกาะของบิดาและรามสูรจะอยู่ห่างกันไม่มากหากแต่พอเข้าใกล้เขตแดนของบิดาตนเองแล้วนั้นมันกลับให้บรรยากาศแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง ที่นี่ไร้ร่องรอยการอยู่อาศัยของผู้คน ไม่มีชาวบ้าน ไม่มีเด็กเล็ก ไม่มีแม้กระทั่งเรือหางยาวที่ไว้สำหรับออกหาปลา มีเพียงเสียงกระหึ่มของเรือยนต์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของเกาะ เขาไม่ได้กลับมาที่นี่นานมากแล้ว นานจนจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่อยู่ที่นี่คือตอนที่เขาอายุเท่าไหร่ ความทรงจำเกี่ยวกับเกาะแห่งนี้เลือนราง ยิ่งความทรงจำดี ๆ ด้วยแล้วนั้นยิ่งไม่มี
เรือค่อย ๆ ลดความเร็วลงแล้ววิ่งอ้อมมายังบริเวณด้านหน้าของเกาะ ม่านเห็นว่าเรือขนาดใหญ่อีกลำกำลังแล่นห่างออกไปจากเกาะ คงเป็เรือที่เอาไว้บรรจุสินค้าของบิดาเข้าไปส่งขายบนฝั่ง หลังจากเรือจอดเทียบท่าแล้วม่านหยี่ก็ะโลงแล้วรีบเดินตรงเข้าไปยังบ้านของนายหัวศิลา ลูกน้องนับร้อยที่กำลังยืนประจำที่ของตนต่างหันมองคนแปลกหน้าเป็ตาเดียวกัน เขาไม่กลัวหากว่าปืนทุกกระบอกจะหันมาหาเขา ยิ่งยินดียิ้มรับเสียด้วยซ้ำที่เื่ราวทั้งหมดมันกำลังจะจบลง
“แม่ล่ะ” ถามออกไปเพียงเท่านั้นทุกคนก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคือใคร ลูกน้องอีกคนของบิดาออกมาพาเขาเดินไปยังห้องนอนประจำของมารดาที่ซึ่งเธอใช้เป็ทั้งโรงพยาบาลและห้องสำหรับนอนพักั้แ่รู้ว่าป่วยเป็มะเร็ง แม่ถือว่าเป็ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีชีวิตอยู่นานกว่าคนทั่วไป คงด้วยเพราะได้รับการรักษาที่ดี แต่การรักษาเ่าั้มันก็ตามมาด้วยเงื่อนไขที่พันธนาการเขากับแม่เอาไว้ใช้เป็เครื่องมือ พ่อยอมจ่ายค่ารักษามะเร็งที่แพงหูฉีกเพื่อที่จะยื้อชีวิตแม่ และนำแม่มาเป็ข้อต่อรองให้เขาทำทุกอย่างเพื่อพ่อ
ซึ่งในความเป็จริงแล้ว บิดาสามารถจัดการเื่ทั้งหมดได้ด้วยตนเองแต่กลับไม่ทำ คงเพราะบิดาเป็คนโรคจิตวิตถารชอบเล่นเกมกับความรู้สึกของคนอื่น
“แม่!”
“แม่!”
“พ่อทำอะไรแม่!”
“กูต่างหากที่ต้องถามว่ามึงกับแม่มึงคุยอะไรกัน”
“ไม่ได้คุย”
ครั้งล่าสุดที่เจอ มารดาขอร้องว่าให้เขาปล่อยเธอไป ปล่อยที่หมายความว่าปล่อยให้เธอตายได้แล้ว...
“เหรอ งั้นกูก็ไม่รู้ คงจะตายแล้วละมั้ง ก็ยื้อมานานแล้วนี่”
“พ่อช่วย...ช่วยแม่อีกหน่อยได้มั้ย” สองมือเหี่ยวย่นของมารดาไร้สีคนเป็ มันซีดเซียวจนเกือบจะเป็สีม่วงช้ำ ทุก ๆ วินาทีที่เสียงเครื่องช่วยหายใจดังเป็จังหวะ มันทำให้เขากลัวว่าเสียงนั้นมันจะเงียบหายไปสักนาทีใดนาทีหนึ่งข้างหน้า
“เื่อะไรกูต้องช่วย”
“ต้องสิ เพราะถ้าไม่ช่วยม่านก็จะไม่...”
“ไม่อะไร”
“ไม่ทำตามคำสั่งของพ่อ”
“...”
“ถ้าแม่ไม่อยู่แล้วม่านก็ไม่มีความจำเป็ต้องทำตามคำสั่งของพ่ออีกต่อไป”
“มึงจะเล่นลิ้นอย่างนี้กับกูเหรอม่าน”
“ใช่” เพราะนี่เป็ทางเดียวที่หมาจนตรอกอย่างม่านหยี่จะต่อรองบิดาได้
“...”
“...”
“แต่กูรู้สึกว่าเรามาไกลกันมากแล้วนะ” จิ้งจอกเ้าเล่ห์ยิ้มอย่างมีเลศนัย
“พ่อหมายความว่ายังไง” นั่นทำให้ม่านหยี่กลัว
“ก็...กูว่าแค่นี้ก็สะใจกูมากแล้ว ถ้ามึงไม่ทำต่อไปก็ไม่เดือดร้อนอะไร เดี๋ยวกูจัดการเอง สายบนเกาะของกูก็เยอะแยะไม่จำเป็ต้องพึ่งมึงก็ได้”
“ไม่ได้!”
“ได้สิทำไมจะไม่ได้ อีแก่นี่ก็ปล่อยให้มันตายไป กูเบื่อจะตามหมอมาดูมันแล้ว”
“พ่อ!” เขาโกรธจนตัวสั่นเทา ม่านหยี่ะโก้องลั่นห้องนอนของแม่ แม่ที่ไม่รับรู้ว่าพ่อของเขากำลังจะทิ้งให้เธอตาย
“ทำไม มึงคิดว่ามึงมีประโยชน์กับกูมากขนาดนั้นเลยรึไง”
ยังไม่ทันที่นายหัวศิลาจะได้เอ่ยอะไรออกไปอีก บุตรชายก็พุ่งตัวเข้าประชิดเขาพร้อมกับซัดหมัดลุ่น ๆ ออกมาใส่หน้าชายวัยกลางคนทันที เกิดการชุลมุนวุ่นวายกันอยู่ในห้องคนป่วย ลูกน้องของนายหัวศิลาอีกสองสามคนเข้ามาดึงตัวม่านหยี่ที่ซัดหมัดใส่หน้าผู้เป็บิดาอย่างไม่ยั้งแรง ม่านถูกหิ้วปีกสองข้างขึ้นมาและถูกจับล็อกแขนเอาไว้
“นี่มึงกล้าต่อยกูเหรอ”
“กูกล้าทำยิ่งกว่านี้อีก!” เขาไม่สนแล้วว่าคนตรงหน้าจะเป็ใคร หากโหดร้ายได้ขนาดนี้ก็อย่าได้บังอาจเรียกตนเองว่าเป็พ่อคนเลย
เพียะ!!!
เสียงฝ่ามือหนากระทบกับข้างแก้มของม่าน กลิ่นคาวเืและกลิ่นสนิมคละคลุ้งอยู่ในปากทันทีที่แรงกระแทกจากฝ่ามือปะทะเข้ากับใบหน้า
“เดี๋ยวมึงเจอกู”
“...”
“เอามันไปขังไว้ที่ห้อง!!”