สุดเขตแดนสมุทร
ตอนที่ 22
"เอาละ เรามาเลิกเล่นละครกันเถอะ..." หญิงวัยกลางคนหยุดเดินแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับตัวละครที่ลูกชายของเธอเพิ่งลากเข้ามาพัวพันกับเื่ราวยุ่งเหยิงนี้อีกหนึ่งคน ระยะเวลาเกือบครึ่งค่อนชีวิตของคุณนายรุ่งฤดี เธอต้องทำงานร่วมกับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็คนงานชนชั้นล่างหาเช้ากินค่ำ คนที่อยู่ใน่หัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต หากก้าวพลาดเพียงก้าวเดียวชีวิตก็จะดิ่งลงเหวทันที คนมีอำนาจล้นมือหรือกระทั่งคนที่รวยล้นฟ้า ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่พบเจอเ่าั้มันสอนเธอให้ "อ่านคนออก"
คุณหญิงรุ่งฤดีรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็หนึ่งในตัวละครที่ลูกชายคนโตของเธอพึ่งดึงเข้ามาเอี่ยวในเกมชีวิตครั้งนี้ อัสนีคงทำเพื่อให้เธอรู้สึกร้อนใจและไม่อาจทำตัวให้อยู่เป็สุขได้เมื่อเห็นว่าลูกชายทั้งสองคนกำลังพาคนรักเข้าบ้าน ดังนั้นสิ่งที่เธอจะทำเพื่อแก้เกมครั้งนี้ได้คือไม่ยอมเล่นตามเกมลูกชาย คุณหญิงรุ่งฤดีก้ำกลืนฝืนทนความไม่ชอบใจเอาไว้ในอกแล้วทำทีเป็ว่าชอบว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้หนักหนา เธอพลิกเกมให้ลูกชายทั้งสองเป็ฝ่ายแปลกใจบ้าง แสร้งทำเป็ว่าถูกใจหญิงสาวคนนี้ทั้ง ๆ ที่เธอรู้ดีว่าลูกชายของเธอนั้นไม่ได้ชอบผู้หญิง
"คะ?"
"เธอกับอัสนีไม่ใช่คนรักกันจริง ๆ ใช่มั้ย"
"...เรารักกันค่ะ เพน กับ...กับอัส เรารักกัน" เพนนีไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรเมื่อโดนว่าที่แม่ผัวปลอม ๆ ของเธอนั้นจับได้ไล่ทัน
"ไม่จริงหรอก"
"คะ?"
"ตาอัสไม่ได้ชอบผู้หญิง ยิ่งผู้หญิงแบบเธอแล้วนั้น..." คุณนายรุ่งฤดีใช้สายตาอ่านไม่ออกไล่สำรวจหญิงสาวั้แ่หัวจรดเท้า ผมยาวสลวยสีดำขลับกับเครื่องหน้าคมเข้มที่แต่งแต้มเครื่องสำอางจัดจ้าน เสื้อผ้าเปิดเผยเนื้อหนังเห็นทะลุถึงไส้พุง ผิวสีแทน กับส่วนสูงขนาดเล็กกะทัดรัดแล้วนั้น ดูห่างไกลจากคำว่าสเปกของลูกชายเธอมากเลยทีเดียว แต่ก็นั่นละเพนนีผิดั้แ่เป็ผู้หญิงแล้ว
"อัสชอบผู้หญิงค่ะ" เพนนียืนกระต่ายขาเดียวถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะเริ่มมองหาทางหนีทีไล่แล้วก็ตาม
"เด็กน้อย นี่เธอยังไม่รู้อีกเหรอว่าฉันรู้แล้วว่าพวกเธอกำลังเล่นละครตบตาฉัน"
"..."
"ที่พวกเธอกำลังพยายามทำอยู่น่ะมันไร้ค่า ฉันรู้หมดแล้วว่าพวกเธอไม่ได้รักกันจริง ๆ รู้หมดแล้วว่าพวกเธอกุเื่ทั้งหมดขึ้นมาเพื่อตบตาฉัน ๆ คิดว่าฉันโง่จนอ่านไม่ออกรึยังไงว่าที่ทำกันอยู่ตอนนี้มันไม่มีอะไรจริงเลย..."
"..."
"ลูกชายฉันไม่ได้ชอบผู้หญิง หรือถ้าตาอัสชอบจริง ๆ คนคนนั้นมันจะไม่ใช่เธอ ฉันรู้ว่าเธอก็รู้ด้วย"
"..."
"เอาละ ฉันไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว กลับกันเถอะ"
"...ตะ แต่ว่า" เพนนีพยายามมองหาม่านหยี่ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหายไปไหน
"ช่างหัวมัน ใครจะหายไปก็ช่างมัน หรือถ้าเธอจะไม่กลับกับฉันตอนนี้ก็อยู่รอมันไปแล้วกัน...อ้อ ถ้าจะอยู่คนเดียวก็ระวังตัวดี ๆ แล้วกัน"
ว่าแล้วคุณหญิงรุ่งฤดีก็เดินออกไปจากโรงเก็บมุก ทิ้งให้หญิงสาวหันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่ง เสียงหวีดหวิวของลมพัดลมทำให้เธอขนลุก ราวกับว่ามีคนเดินอยู่รอบ ๆ อาคารนี้ตลอดเวลา มันมีเสียงสวบสาบของฝีเท้าและเสียงคลื่นทะเลกระทบฝั่งเป็ระลอก
"ดะ...เดี๋ยวค่ะ!!!" ขอโทษนะอัสนี แต่เธอไม่อาจเสแสร้งแกล้งทำเพื่อให้แผนการของพวกเราสำเร็จลุล่วงไปได้อีกแล้ว คุณนายรุ่งฤดีรู้เื่ทั้งหมดถึงแม้ว่าเธอไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวก็ตาม เพนนีวิ่งหน้าตั้งออกจากโรงเก็บมุกตามหลังคุณนายรุ่งฤดีออกมา ถึงแม้ว่าเธอจะชินชากับวัฒนธรรมฝรั่งแต่สิ่งหนึ่งที่เธอไม่อาจชินได้เลยคือการถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในที่เปลี่ยว ๆ หรือสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้
"ออกรถ!" คุณนายรุ่งฤดีออกคำสั่งประกาศิต คนขับรถของเธออึกอักอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะทำใจกล้าถามเ้านายที่นั่งอยู่ด้านหลัง
"ตะ...แต่ว่า คุณนายครับ คนยัง...ยังไม่-..."
"แล้วฉันได้บอกให้รอคนอื่นมั้ย? ออกรถ!" หญิงวัยกลางคนนั่งกอดอกทำหน้าเหี้ยม รู้สึกอารมณ์เสียมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อลูกน้องยังยักแย่ยักยันไม่ยอมทำตามคำสั่งของเธอ
"ไอ้ชาติ มึงจะออกรถดี ๆ หรือให้กูไล่มึงออก!" ครานี้เ้าของชื่อไอ้ชาติรีบสตาร์ทเครื่องยนต์อย่างไว วางมือสั่นเทาของตนไว้ที่เกียร์รถยนต์และสับเกียร์อย่างเร็วรี่ สายตาเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนเมื่อเช้าที่นั่งเป็ผู้โดยสารรถมาพร้อมกับเธอกำลังวิ่งสับกลับมายังรถยนต์คันใหญ่พร้อมทั้งทำสีหน้าท่าทางไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่โรงเก็บมุกแต่ที่รู้ตอนนี้ก็คือผู้โดยสารขาดไปหนึ่งคน
"ไม่ต้องไปรอมัน"
"ตะ...แต่ว่า" ชาติจำได้ว่าคุณผู้หญิงคนนี้ที่แนะนำกันเมื่อเช้าคือคนรักของคุณอัสนี ถ้าเกิดว่าเขาไม่รอเธออย่างนี้นายหัวอัสได้เอาเขาตาย
"กูบอกให้ออกรถไอ้ชาติ!!!"
"เดี๋ยวค่ะ รอก่อน รอด้วย!" เพนนีทั้งวิ่งทั้งะโมาตลอดทางด้วยเพราะกลัวว่าเธอจะถูกทิ้ง ร่างบางเหงื่อซกท่วมตัว หอบหายใจออกมาเสียงดังด้วยเพราะปกติแล้วเธอไม่ได้ออกกำลังกายแบบนี้
"เดี๋ยวคุณแม่ รอก่อนค่ะ!!! รอด้วย!!!" รถยนต์คันใหญ่กำลังวิ่งจากไปทิ้งให้เธอต้องวิ่งตาม หญิงสาวเพิ่มความเร็วขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าความหวังสุดท้ายกำลังจะหลุดลอยไป
"คุณแม๊!!!" แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่อาจก้าวข้ามความเหนื่อยหอบของตนเองได้ เพนนีกรีดร้องออกมาเมื่อเห็นว่ารถยนต์สีดำคันนี้วิ่งจากไปแล้ว คุณนายรุ่งฤดีปล่อยให้เธอต้องเดินจากท้ายเกาะกลับไปยังบ้าน บางทีเธอเริ่มจะรู้แล้วว่าทำไมหญิงแก่ถึงชวนเธอมาดูหอยมุกที่ท้ายเกาะนี่ คงเพราะ้าจะแก้เผ็ดเธอโดยการทิ้งให้เดินกลับบ้านแบบนี้ ร้ายกาจมาก
"คุณแม่!!!" แต่แล้วเื่ดี ๆ ก็เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อรถยนต์ที่เพนนีคิดว่าจะทิ้งเธอไปแล้วกลับจอดนิ่งสนิทไม่ยอมเคลื่อนตัวออกไปสักที หญิงสาวกระเสือกกระสนวิ่งไปยังรถคันนั้นด้วยความกระหืดกระหอบ ในใจคิดเพียงแต่ว่าเธอจะไม่ยอมถูกทิ้งที่นี่เป็อันขาด!
"คุณแม่ คุณแม่คะ! ขอบ คุณค่ะ" ทันทีที่ะโขึ้นรถได้หญิงสาวก็ไหว้ขอบคุณมารดาของรามสูรยกใหญ่ ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมเผ้าของเธอจะกระเซอะกระเซิงดูไม่ได้เลยก็ตาม หญิงวัยกลางคนไม่รับหากแต่ชายตามองเธอเพียงเสี้ยววินาทีจากนั้นก็หันหน้าหนี รถยนต์คันใหญ่เคลื่อนที่กลับบ้านพักโดยไร้เงาม่านหยี่คนรักของรามสูร
"มึงเก่งนักเหรอ!" นายหัวศิลาเตะเท้าลงไปยังแผ่นหลังของลูกชาย ปลายรองเท้าแหลม ๆ กระทบจัง ๆ เข้าไปยังผิวเนื้อของเขา ม่านหยี่คิดว่าตอนนี้แผ่นหลังและหน้าท้องของเขาคงช้ำไปหมดแล้ว เพราะเขาเองก็รู้สึกระบมไปทั้งตัว
บิดาให้คนของตนลากเขากลับมายังห้องนอนเมื่อสมัยยังเด็กของเขา และจากนั้นบิดาก็เดินตามมาและลงเท้าเตะเขาอยู่นานหลายนาที พ่อเลือกจุดเตะเฉพาะในร่มผ้าเท่านั้น ใบหน้าของเขาไม่เคยได้เฉียดมือของพ่อทว่าร่างกายท่อนบนภายใต้เสื้อนั้นมันโดนทั้งเตะทั้งตีจนช้ำระบมไปหมด
"มึงกล้าต่อยกูเหรอ ฮะ!? มึงคิดว่ามึงเป็ใคร?"
"..."
"ตอบกู!!!" นายหัวศิลากระชากศีรษะลูกชายขึ้นมาถามเค้นเอาคำตอบ หากแต่ม่านหยี่ก็ไม่ตอบอะไรทำเพียงแค่จ้องมองบิดาด้วยสายตาอาฆาต
"อย่างมึงจะทำอะไรได้!"
"..."
"ถ้ามึงตายไปซักคน ก็ไม่มีใครเสียดาย"
"..."
"มึงไม่น่าเกิดมาเลยมึงรู้ตัวมั้ย เลี้ยงเสียข้าวสุก"
ม่านหยี่เองไม่รู้ว่าบิดาหมายถึงเขาจริง ๆ ใช่ไหม ที่บอกว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก ก็เพราะว่าข้าวทุกคำ เงินทุกบาทที่บิดามอบให้เขา เขาก็ตอบแทนโดยการทำตามคำสั่งที่บิดาสั่งให้ทำ ไม่แม้แต่จะขัดขืน ไม่ว่าคำสั่งนั้นมันจะระยำตำบอนหรือเขาต้องทำร้ายคนที่เขารัก ม่านหยี่ก็ยอมตอบแทนข้าวสุกและเงินพวกนั้นด้วยการก้มหน้าก้มตาทำมันต่อไป
คนอย่างเขานี่น่ะเหรอที่พ่อบอกว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก
เขาคิดได้ั้แ่เด็กแล้วว่าไม่มีคำตอบไหนที่สามารถทำให้บิดาพอใจได้เลย ไม่ว่าเขาจะตอบหรือไม่พ่อก็จะหาทางลงโทษเขาอยู่ดี ทุกครั้งที่เขาทำอะไรไม่ได้ดั่งใจพ่อก็จะทรมานเขาโดยใช้แม่เป็เครื่องมือ พ่อมักจะปล่อยให้อาการแม่กำเริบโดยที่เขาที่อยู่ห่างไกลไม่สามารถช่วยเหลือแม่ได้เลย แม่คือจุดอ่อนถึงตายของม่านหยี่ ครั้งนี้เขาเลยเลือกที่จะเงียบถ้าหากบิดาอยากลงโทษเขาก็ให้บิดาทำให้สมใจอยากและไม่ต้องไปยุ่งกับแม่ของเขา
"มึงคิดว่ามึงจะเงียบได้อีกนานซักเท่าไหร่"
"..."
"ดี"
"..."
"ดีถ้าอย่างนั้น...ก็ช่วยไม่ได้..." นายหัวศิลาผลักหัวลูกชายให้ออกห่าง จากนั้นก็เดินกลับไปยังมุมห้องที่ซึ่งเขาวางของบางอย่างเอาไว้ มันเป็ไม้เบสบอลขนาดมาตรฐานที่พันผ้าขี้ริ้วอย่างหนาเอาไว้ เขาทำมันขึ้นมาเพื่อการนี้ และคิดว่าครั้งนี้คงได้ใช้สมใจอยากสักที...
"นาย! นายครับ!"
"...อะไร" มือแกร่งของผู้เป็พ่อกำรวบอยู่ที่ที่จับของอาวุธพร้อมแล้วที่จะทำการหวดลูกชายให้สมใจอยาก
"นาย!"
"กูถามว่ามีอะไร!!!" ดูเหมือนว่าอาการอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ของลูกน้องจะทำให้นายหัวศิลาอารมณ์เสียเกินควบคุมจนถึงขั้นทำให้ต้องกระชากเสียงถามย้ำ
"ตำรวจนาย ตำรวจมา!"
"..."
"มึงจะตื่นเต้นอะไร คนของ____"
"ไม่นาย! ไม่ใช่ ไม่ใช่นาย"
นายหัวศิลานิ่งเงียบไป ก่อนที่จะหันกลับมามองหน้าลูกชายที่นอนหอบหายใจอยู่แทบเท้า เขาใช้ไม้เบสบอลกระแทกไปยังหน้าผากของม่านหยี่เบา ๆ
"ครั้งนี้ถือว่ามึงยังดวงดีนะ กูจะปล่อยมึงไป แต่ถ้าครั้งหน้ามึงกล้าแม้แต่จะมองหน้ากู กูจะเล่นแม่มึงให้ตาย จากนั้นก็จะเป็คิวมึง จำใส่หัวมึงไว้!!!" บิดากระแทกไม้เบสบอลที่พันผ้าหนา ๆ นั่นลงที่หน้าผากของเขามันรุนแรงพอที่จะทำให้หัวเขาเกิดรอยช้ำแต่ยังดีที่ได้ผ้าหนาพันมันเอาไว้ เลยไม่ทำให้เกิดรอยใด ๆ บนใบหน้าของเขา
"เอามันไปส่งที่เกาะอีคุณนายรุ่งฤดี!!!"
"..."
"ไปเงียบ ๆ นะมึง" นายหัวศิลากำชับลูกน้องก่อนที่จะปาไม้เบสบอลลงพื้นแล้วเดินออกไปจากห้อง
ม่านหยี่ถอนหายใจเมื่อพ่อเดินพ้นไปแล้ว ถ้าหากเขาโดนไม้นั่นหวดไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าตนเองจะอาการหนักปางตายเลยหรือไม่ แววตาของบิดาที่มองเขามันไร้ซึ่งเยื่อใย พ่อไม่เคยมองเขาด้วยสายตาแห่งความรักหากแต่ครั้งนี้มันหนักกว่านั้น บิดาไม่ได้มองเขาเหมือนที่คนอื่นมองด้วยซ้ำ แววตาคมดุนั่นเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย เหมือนจ้องจะเอาให้ถึงตายอย่างที่พ่อขู่เอาไว้จริง ๆ
"แม่ม่านล่ะ"
"..."
"แม่...ม่านหยี่ล่ะ"
"..."
"ม่านหยี่ล่ะแม่"
รามสูรถอนหายใจเมื่อเขาถามอะไรแม่ไปก็ได้แต่ความเงียบกลับมา
"กลับมาถึงบ้านก็ถามหามันเลยนะ ขาดกันซักวินาทีมันจะตายเลยรึไง"
ครั้งนี้กลายเป็เขาเองที่ไม่มีคำตอบให้มารดา เพราะถ้าหากพูดไปแม่ก็คงจะโกรธเป็ฟืนเป็ไฟแล้วเราก็จะเริ่มทะเลาะกันอีกครั้ง
"ตอนนี้มันเย็นแล้วแม่ ฟ้าข้างนอกก็กำลังจะมืดแล้ว แล้วแฟนผมเขาก็ไม่ใช่คนพื้นที่ ถ้าเกิดม่านหยี่หลงทางขึ้นมาจะทำยังไง แล้วแม่ก็ไปกับม่านเมื่อเช้านี้แต่ตอนนี้แม่กลับบ้านมาคนเดียว"
"มาคนเดียวอะไร!" คุณนายรุ่งฤดีเถียงตาลีตาเหลือกราวกับเด็กน้อย
"ก็ม่านไม่กลับมาด้วยอย่างนี้จะให้ผมทำยังไง ม่านก็เป็คนนะแม่ ม่านมีเืเนื้อ มีหัวใจ ทุกครั้งที่แม่พูดทำร้ายจิตใจ ม่านหยี่เขาก็คิดว่าตัวเองผิดตลอด ทั้ง ๆ ที่การเป็เขามันไม่ผิดอะไรเลย ถ้าแม่ยังมีความเป็คนอยู่แม่ก็ช่วยอย่าใจร้ายกับม่านหยี่ขนาดนี้ได้มั้ย"
"...แกเชื่ออย่างนั้นเหรอรามสูร" คุณนายรุ่งฤดีถามบุตรชายด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ รามสูรรักและบูชาความรักครั้งนี้อย่างสุดหัวใจ ไม่แปลกที่จะถูกหลอก แต่ลูกชายเธอมันโง่จนถึงขั้นทำให้ตนเองต้องถูกหลอกอยู่นานสี่ปี อย่างนี้เธอเลยชักสงสัยว่ารามสูรโง่จริงหรือแกล้งโง่
"...แม่มีอะไร"
"เปล่า ฉันแค่ถามว่าแกแน่ใจใช่มั้ยว่าผู้ชายคนนั้นที่แกบอกว่ามีหัวใจมีความรู้สึกมันมีจริง ๆ มันรู้สึกรักแกจริง ๆ แกเชื่ออย่างนั้นใช่มั้ย"
"..."
"เชื่อว่าฉันใจร้ายกับคนรักของแก ฉันใจร้ายมากเลย อย่างนั้นใช่มั้ย"
"ใช่ ผมเชื่ออย่างนั้น ม่านรักผม และผมก็รักม่าน เราสองคนรักกัน แต่แม่ก็ยังเอาแต่ทำร้ายเราสองคน แม่ทำผมได้ผมไม่ว่าอะไร แต่ทำไมต้องลามไปทำร้ายม่านด้วยผมไม่เข้าใจ ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้เหรอ"
"แกเห็นมันดีกว่าแม่อย่างนั้นเหรอราม"
"เปล่า ผมไม่ได้เห็นใครดีกว่าใครทั้งนั้น แต่ผมแค่เหนื่อยที่จะต้องเป็คนกลางระหว่างแม่กับแฟนผม ม่านเขาไม่ได้ทำอะไรผิด แต่แม่ก็ยังเอาแต่ทำแบบนั้น ใจร้ายกับเราอยู่เรื่อยเลย"
"..."
"..."
"ดี ดี อย่างนั้นก็ดี"
".."
"แกรักมันมากสินะ รักมันจนโงหัวไม่ขึ้น ไม่สนใจแล้วว่าฉันคือแม่ แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้ ถ้าเกิดว่ามันทำอะไรผิดแกจะทำยังไง แกยังจะให้อภัยมันมั้ย" แล้วถ้าเกิดว่าต้องเลือกแกจะเลือกใครราม ระหว่างแม่กับมัน?...
"..."
"เหอะ...ดีจริง ๆ เลี้ยงลูกมาให้เก่งทุกอย่าง แต่กับเื่ความรักมันกลับโง่จนมองเห็นกงจักรเป็ดอกบัว"
"..."
"แม่มีอะไรก็พูดมาเลยดีกว่า"
ปังงง!
"เอาไปอ่านซะ ถ้าอยากรู้ว่าฉันพูดถึงอะไร" คุณหญิงรุ่งฤดีโยนซองเอกสารสีน้ำตาลลงไปกระทบกับโต๊ะกระจกเสียงดังลั่นไปทั่วห้อง ด้านในบรรจุทั้งรูปภาพและเอกสารต่าง ๆ เอาไว้ ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่ได้เปิดอ่าน หากแต่ก็พอรู้เื่ทั้งหมดจากปากทนายและนักสืบเอกชนที่จ้างไปสืบมาแล้ว
"แม่ทำอะไร"
"ไม่รู้สิ พูดตามตรงคือฉันก็ยังไม่ได้อ่านหรอกนะ ฉันอยากให้แกได้อ่านก่อน ก่อนที่ฉันจะอ่าน เพราะฉันน่ะอ่านเมื่อไหร่ก็ได้"
"ผมไม่อ่าน"
"แกไม่อยากรู้ความจริงทั้งหมดรึยังไง"
"ความจริงอะไร...แม่พูดมาเลยดีกว่า"
"ก็ฉันไม่รู้ไง ฉันเลยรอแกเปิดอ่านอยู่" เธอยิ้มอย่างผู้มีชัย เชื่อว่าเอกสารและรูปภาพต่าง ๆ ที่บรรจุอยู่ข้างในนั้นคงมากพอที่จะบอกรามสูรได้ ว่าม่านหยี่เป็ใคร
"ผมไม่อยากรู้"
"ได้ ฉันจะรอดูว่าแกจะอดทนได้ซักกี่น้ำ" ซองเอกสารยังนอนนิ่งอยู่บนโต๊ะตามเดิม รามสูรไม่แม้แต่จะแตะต้องมันราวกับกลัวว่ามันจะเคลือบยาพิษหรือมีโรคประหลาดติดมาด้วย แต่ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เขาไม่ได้กลัวว่ามันจะอาบไปด้วยยาพิษหรือเป็ของเน่าเหม็น เขากลัวว่าถ้าหากเขาหยิบมันขึ้นมาแล้วเปิดดูทุกอย่างที่อยู่ข้างในนั้น ฝันที่เขาร่วมสร้างกับม่านหยี่มามันจะต้องพังลงกับมือของเขาเอง อย่างนั้นเขาเลยขอทิ้งมันเอาไว้อย่างนั้น ไม่แตะต้อง ไม่อยากรู้ พอใจกับในตอนนี้ที่มีม่านหยี่อยู่ในชีวิต เพราะเขาคงทนไม่ได้หากจะต้องรับรู้ถึงความจริงที่แสนเ็ป
"ผมจะไปตามม่านหยี่ ไม่ต้องรอ" ร่างสูงพูดแค่นั้นก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องทำงานผู้เป็แม่ เย็นนี้เขากลับบ้านมาพร้อมกับรับรู้จากปากพี่เพนนีเพื่อนของไอ้อัสว่าแม่ของเขารู้เื่ทุกอย่างที่พวกเราพยายามโกหก ไม่เพียงเท่านั้น แฟนหลอก ๆ ของไอ้อัสนีเกือบถูกทิ้งเอาไว้ที่ฟาร์มไข่มุกท้ายเกาะอีกด้วย ไอ้อัสโกรธแม่มาก มันขอโทษขอโพยเพื่อนสาวคนนั้นก่อนที่จะส่งเธอกลับเข้าฝั่งพร้อมกับเรือที่ไปส่งนักท่องเที่ยวเที่ยวสุดท้ายของวัน อัสไล่ให้เขาเข้ามาคุยกับแม่แทนที่จะเป็มัน รามพยายามตามหาม่านหยี่ก็พบว่าคนรักไม่ได้ขึ้นรถกลับบ้านมาพร้อมกับมารดา เมื่อรู้อย่างนั้นมันเลยทำให้เขาหัวเสียขึ้นไปใหญ่
ยังไม่ทันที่เขาจะเดินพ้นประตูบ้านออกไป คนที่รามสูรเร่า ๆ จะไปตามหาก็ยืนยิ้มให้เขาอยู่หน้าบ้านแล้ว
"ม่าน..." สภาพคนรักของเขาตอนนี้ดูไม่ดี ไม่รู้เพราะเขารู้สึกไปเองหรือเพราะดวงหน้าสวยที่พยายามฝืนยิ้มเหนื่อย ๆ ให้เขากันแน่
"ม่านไปไหนมา รามกำลังจะออกไปตามหาเลย แม่ทิ้งม่านไว้ที่ฟาร์มไข่มุกเหรอ แม่ทำอย่างนั้นกับม่านได้ยังไง ม่านหิวมั้ย ม่านเป็อะไรรึเปล่า ม่าน-..." รามสูรจับตัวคนรักพลิกซ้ายพลิกขวาเพื่อสำรวจดูว่าม่านหยี่มีส่วนที่สึกหรอไปหรือไม่
"ราม รามม่านไม่...ไม่เป็อะไร" แรงมือของรามสูรกระตุ้นความเ็ปจากการโดนพ่อซ้อม รามจับเขาพลิกซ้ายทีขวาทีมันก็ระบมไปหมดทั้งร่าง ม่านหยี่เลยพยายามแกะมือของคนรักออกจากไหล่มนทั้งสองข้าง
"ม่าน"
"เราโอเค ไม่ได้หลงทาง แม่คงไม่ได้ตั้งใจจะทำอย่างนั้น"
"แล้วม่านกลับมายังไง"
"ลุงพลมาส่งน่ะ แกเจอเราที่ฟาร์มมุกพอดีเลยขอติดรถกลับบ้านมาด้วย"
"ม่านหิวมั้ย"
ม่านหยี่ทำเพียงส่ายหน้า มีเพียงความเจ็บช้ำของร่างกายเท่านั้นที่เขารู้สึก
"สงสัยจะเพลียแดด เราง่วง ๆ น่ะ ขอไปอาบน้ำนอนได้มั้ย"
"ได้สิ ม่านเอายาแก้ไข้มั้ย เดี๋ยวรามไปเอาให้"
"อื้ม ยาแก้ปวดหัวด้วยก็ดีนะ ขอบคุณรามมาก" ม่านหยี่ทำตัวแปลกไปจนคนรักอาจสังเกตได้ แต่เขาไม่สามารถยืนอยู่อย่างนี้ได้อีกซักวินาทีแล้ว มันปวดระบมจนรู้สึกเหมือนกับจะทรุดลงพื้นได้ทุกเมื่อ ม่านหยี่ปัดมือของรามสูรทิ้งไปจากนั้นก็เดินเข้าห้องนอนของตนเอง ทิ้งให้นายหัวรามสูรมองตามด้วยความสงสัย
เช้าวันต่อมาม่านหยี่ไม่สามารถลุกจากเตียงได้เพราะพิษไข้โจมตีเข้าอย่างจัง ร่างบางนอนซมอยู่ภายใต้ผ้านวมผืนหนา เมื่อคืนที่ผ่านมาไร้เงาของรามสูรจะแอบย่องเข้ามานอนกอดเขาดังเช่นหลาย ๆ คืนที่ผ่านมา มีเพียงม่านหยี่ที่นอนเพ้อพกเพราะพิษไข้ เหงื่อกาฬซึมออกมาจากขมับและเนื้อตัวร่างกายของเขา หากแต่คนป่วยก็ยังไม่ได้สติ
"ม่าน ม่าน! ไม่สบายเหรอ ม่านตัวร้อนมากเลย ไปหาหมอมั้ย ม่านหยี่ ม่านครับ" นายหัวรามสูรเข้ามาปลุกคนรักเมื่อเห็นว่าวันนี้ม่านหยี่ตื่นสาย แต่กลับต้องพบว่าคนรักของเขานอนซมพิษไข้ไม่มีสติแม้กระทั่งตื่นขึ้นมาพูดคุยกันได้
"ม่าน! ไปหาหมอกันนะ ม่าน"
"อย่า..."
"ม่านไปหาหมอกับรามนะม่าน" รามสูรขอร้องด้วยเพราะเป็ห่วงคนรักจับใจ ดวงหน้าสวยซีดเผือดไร้สีเื ม่านหยี่ตัวสั่นจนน่ากลัว
"อย่า...พ่ออย่า"
"ม่าน ม่านว่ายังไงนะ"
"พ่ออย่า...."
คำว่าพ่อทำให้รามสูรชะงัก บางทีมันอาจไม่มีอะไรก็ได้ อาจเป็แค่ความฝังใจในวัยเด็กของม่านหยี่เพียงเท่านั้น
ทว่ามันกลับทำให้เขาคิดถึงเื่ซองเอกสารของมารดาอย่างช่วยไม่ได้...
"ม่านหยี่ ม่าน..."
"ราม" คนรักเรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เมื่อม่านหยี่ได้สติแล้วว่าคนที่อยู่ตรงนี้ด้วยกันคือรามสูรไม่ใช่บิดาของตนที่กำลังซ้อมเขาปางตาย
"ม่าน ม่านไม่สบายตัวร้อนอย่างกับไฟเลย ไปหาหมอกับรามมั้ย ปะ...รามพาไปหมอนะ" รามสูรทำท่าจะพยุงร่างคนรักขึ้นทว่าม่านหยี่กลับหยีหน้าด้วยความเ็ป
"ม่าน"
"เราโอเค ไม่ต้องไปหาหมอหรอก ขอยาแก้ปวดได้มั้ย"
"ม่านเจ็บตรงไหน ม่านปวดตรงไหน ไปหาหมอกับรามนะ"
"ราม ม่านโอเค แค่กินยาก็หายแล้วนะ"
"ไม่ม่าน ไปหาหมอ..."
"นะราม...นะครับ" ม่านหยี่เป็คนสุขภาพร่างกายแข็งแรงและไม่ค่อยป่วย แต่ยิ่งไปกว่านั้นตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันมาม่านหยี่ไม่เคยทำกิริยาออดอ้อนเหมือนแมวน้อยตาดำ ๆ กับเขาเลยสักครั้ง ทุกครั้งจะเป็รามสูรที่คอยเฝ้าเข้าไปคลอเคลียเอาแต่ใจและพยายามลักเต้าหู้ม่านหยี่ตลอดเวลา ดังนั้นรามสูรเลยเสียอาการเมื่อเห็นว่าคนรักที่เคยเ็ากับเขาพยายามใช้แก้มร้อน ๆ ของตนคลอเคลียอยู่ที่ลำแขนแกร่ง
"ครับได้ แต่ม่านต้องกินข้าวด้วยนะ"
"ไม่กิน ไม่อยากกิน"
"ไม่กินเดี๋ยวไม่หายนะ" ราวกับได้รับน้ำเย็นชโลมจิตใจ เพียงแค่ม่านหยี่ถูไถแก้มของตนไปที่แขนแกร่งและหน้าอกของคนรัก รามสูรก็อ่อนลง มือหนายกขึ้นมาลูบหัวม่านเบา ๆ ััได้ถึงไอร้อนที่มันพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของคนรัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจขัดใจม่านหยี่ได้ ถึงแม้ว่าการดื้อไม่ไปหาหมอจะขัดใจเขามากก็ตาม
"ไม่อยากหาย อยากอยู่แบบนี้" ม่านหยี่พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนถึงแม้ว่ามันจะแหบแห้งไปสักหน่อย
"ไม่ได้นะ รามเป็ห่วงม่านนะครับ" รามสูรลูบหัวม่านหยี่เบา ๆ กว่าที่เขาจะผละจากคนป่วยไปจัดข้าวจัดยาให้ได้ก็เล่นเอาเสียเหนื่อยหอบ เขากลับเข้าห้องมาอีกครั้งพร้อมกับข้าวต้มและยานานาชนิด
"ม่านครับ กินข้าวกินยานะ"
"ไม่เอา"
"ม่านครับ..."
"ไม่อยากกิน"
"รามป้อน"
"กินก็ได้" รามสูรอมยิ้มจนแก้มแทบแตก อดไม่ได้จนต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายวิดีโอเก็บไว้
"ม่านอย่าอมข้าว" ม่านหยี่เวอร์ชันเจ็บป่วยทำเอาเขาเหงื่อตก กว่าจะหลอกล่อให้อ้าปากรับเอาข้าวเข้าไปแล้วก็ต้องเหนื่อยยิ่งขึ้นเมื่อพบว่าคนรักไม่ยอมเคี้ยวข้าว ม่านอมข้าวจนแก้มพองตุ๊บป่อง
"อื้อออ" ม่านหยี่ส่ายหน้าไปมา
"เดี๋ยวเวียนหัว กินข้าวดี ๆ ก่อนครับ" รามสูรพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"ราม"
"ครับ"
"รามสูร"
"ครับ"
"นายหัวราม"
"ครับ"
"นายหัวรามสูร"
"...ครับ"
"กอดหน่อย"
"เฮ้อ!...กอดก็กอด"
"ไม่อยากกอดม่านเหรอ"
"ไม่อยากกอด ถ้าม่านยังไม่กินข้าวกินยา รามสูรก็ไม่กอด"
"ฮึก...ไม่รักม่านเหรอ"
"รักครับ ใครบอกว่าไม่รัก แต่แค่ ม่านต้องกินข้าวกินยาก่อนนะ"
"ฮึก ถ้าไม่กินก็จะไม่รักเหรอ"
"รักครับ รามรักม่านนะ"
"ฮึก" หน่วยตาใสเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ม่านหยี่เบะปากร้องไห้อย่างน่าสงสารจนรามสูรอดไม่ได้ต้องคว้าตัวคนรักเข้ามากอดเอาไว้
"ชู่ววว รามรักม่าน ไม่เอาไม่ร้องนะครับ รามขอโทษนะ"
"ถ้าม่านทำตัวไม่ดีรามจะยังรักม่านอยู่มั้ย"
"...รักครับ"
บางทีนั่นอาจเป็เพียงคำตอบที่ทำให้คนป่วยสบายใจ หรืออาจเป็เพียงแค่คำถามที่คนป่วยสงสัย ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้นเลย