รถม้าค่อยๆ วิ่งไปข้างหน้าไม่มีท่าทีแห่งความวิตกกังวลหรือเร่งรีบแม้แต่น้อยคนทั้งสองที่อยู่บนรถม้ายิ่งมีท่าทีนิ่งสงบ คนหนึ่งปิดตาลงพักผ่อนสายตาอีกคนหนึ่งกำลังเหม่อลอย
ซูฉีฉีมองออกไปด้านนอกผ่านทางผ้าม่าน เพราะการออกวิ่งของรถม้าทำให้ร่างของนางโยกไปมาแต่ถึงกระนั้นบนใบหน้านางก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมามิได้เคร่งเครียดและก็มิได้ยินดี เสมือนว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกผิดหรือกล่าวโทษตัวเองแม้แต่น้อย
และก็ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองด้วยเช่นกัน
นางรู้ว่าต่อให้ตนไม่ลงมาม่อเวิ่นเฉินก็มีวิธีทำให้คนผู้นั้นเอ่ยออกมา
เขาในตอนนี้เพียงแค่เปลี่ยนความคิดที่มีต่อนางเห็นนางมีตัวตนแล้วก็เท่านั้น
ตลอดทางที่ผ่านมาการเปลี่ยนแปลงของม่อเวิ่นเฉินนั้นนางสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ความอบอุ่นการเอาใจใส่และความห่วงใย สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ขาดแม้แต่น้อยแม้ว่าเขาจะไม่อาจดีได้เหมือนบุรุษธรรมดาทั่วไปแต่ก็ถือว่าพัฒนาขึ้นเยอะแล้ว
หากเป็เมื่อก่อนในใจของนางคงจะควบคุมความรู้สึกยินดีไว้ไม่อยู่แต่หลังจากที่เซี่ยเสี่ยวเตี๋ยต้องเสียชีวิตลงในกองเพลิงแล้วนั้น นางมักจะรู้สึกว่าม่อเวิ่นเฉินดีต่อนางเช่นนี้เพราะมีสาเหตุ
บางทีนี่อาจจะเป็การชดเชยอย่างหนึ่งก็เป็ได้
เพราะอย่างไรเสียเื่ทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นเพราะเขา
เื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอดีตเป็เพียงแค่ตัวชักนำก็เท่านั้น
แม้ว่าม่อเวิ่นเฉินจะหลับตาพักผ่อนแต่บางครั้งเขาก็จะลืมตาขึ้นมองซูฉีฉีแวบหนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าของนางแล้วในใจเขาก็รู้สึกจมดิ่งลงไป ความสงสารและเ็ปในหัวใจนั้นค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
สตรีผู้นี้บางครั้งก็แข็งแกร่งเสียจนทำให้คนอดรู้สึกปวดใจมิได้
ั้แ่นางฝังศพของมารดาแล้วก็ไม่ได้เห็นน้ำตาของนางไหลออกมาอีกแม้แต่หยดเดียวและยิ่งไม่ได้ยินนางเอ่ยสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับชื่อของมารดาตนอีกเลย
นางแบกรับทุกสิ่งอย่างเอาไว้อย่างนั้น
รถม้าวิ่งไปอย่างช้าๆ โยกเยกไปมาเบาๆทำให้ซูฉีฉีที่พิงอยู่ในพนังรถม้าด้านในค่อยๆ หลับลงในที่สุดในตอนที่นางสะลึมสะลืออยู่นั้นก็รู้สึกเหมือนมีคนกำลังเข้าใกล้ตนเมื่อนางค่อยๆ ลืมตาขึ้นก็เห็นว่าม่อเวิ่นเฉินได้ถอดเอาเสื้อคลุมตัวนอกของเขามาคลุมไว้บนตัวนางอีกทั้งยังใช้มือรวบลูกผมที่มาปรกอยู่บนหน้าของนางให้เข้าที่
การกระทำที่เป็ไปอย่างเรียบง่ายนี้กลับทำให้ภายในใจของซูฉีฉีรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด
นางเพียงแต่ถอดถอนใจเบาๆ ลึกๆในใจพร้อมกับคิดว่า ม่อเวิ่นเฉิน ท่านอย่าดีกับข้าให้มากนัก ข้าจะถือเป็จริงไปได้
เื่ราวในอดีตที่พวกเขาเผชิญมาด้วยกันทั้งหลายนั้นทำให้นางไม่กล้าที่จะหวั่นไหวและถึงแม้ว่าตอนนั้นจะหวั่นไหวแล้ว เมื่อนางมีสติขึ้นมาก็ยังคงบังคับให้ตนเองลืมความดีของบุรุษผู้นี้
ระหว่างพวกเขามีเพียงความสัมพันธ์ของเ้านายกับบ่าวถ้าหากว่าตนไม่มีประโยชน์คงจะตายเสียแต่ตอนแรกแล้วอีกทั้งเขาคงจะไม่สนใจแม้แต่น้อย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใจนางก็ยิ่งเจ็บมากขึ้น
ดวงตาทั้งสองคู่ประสานกันม่อเวิ่นเฉินนั้นไม่ได้มีสีหน้าใหรืออ้ำอึ้งแต่อย่างใดเขาเพียงแค่กระตุกยิ้มมุมปากขึ้น เผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้าซูฉีฉีเห็นดังนั้นก็นิ่งอึ้งไปก่อนจะรีบปิดตาของตนเองลง
ท่าทางเช่นนี้ของนางกลับทำให้ม่อเวิ่นเฉินต้องฉีกยิ้มออกมามากขึ้น
ต่อให้นางจะฉลาดปราดเปรื่องเสียแค่ไหนแต่ยังไงเสียนางก็เป็กุลสตรีในเรือนที่ยังไม่เคยเผชิญโลกภายนอกสำหรับเื่ของหนุ่มสาวแล้วนั้น นางก็ยังคงไร้เดียงสาอยู่มากนัก
ม่อเวิ่นเฉินส่ายศีรษะเบาๆเขาไม่ได้กลั่นแกล้งซูฉีฉีอีกต่อไป เขาจ้องมองไปที่ซูฉีฉีอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่งก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวถอยออกไปทว่าในใจของเขาในตอนนี้กลับรู้สึกว้าวุ่นขึ้นมาเบาๆ
เขาหวั่นไหวแล้วจริงๆ หรือแค่เป็เพียงเพราะการพนันกับเหลยอวี๊เฟิงเท่านั้น?
เื่นี้แม้แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจเขาก็สับสนยิ่งนัก
“หยุด”
ม่อเวิ่นเฉินะโสั่งคนคุมม้าขึ้นอย่างกะทันหันก่อนจะพุ่งทะยานออกจากรถม้าไปเขาแย่งเอาม้าตัวหนึ่งมาจากมือขององครักษ์คนหนึ่งก่อนจะขึ้นขี่มันและวิ่งทะยานไปข้างหน้า
ให้ลมพัดผ่านดึงสติของตนกลับมา
เขารู้ว่าตนเองหวั่นไหวแล้วความห่วงใยที่มีต่อซูฉีฉีนั้นทำให้เขาแสดงท่าทางออกมาโดยธรรมชาติสิ่งเ่าั้ไม่ได้เป็การแสดงละคร
เขาคือม่อเวิ่นเฉินสักวันหนึ่งเขาก็ต้องยอมรับมัน แต่ว่าตอนนี้เขาอยากให้ตนเองมีสติมากกว่านี้ลมหนาวเย็นพัดผ่านหน้าเขาสร้างความเ็ปไม่น้อย เสมือนมีมีดคมๆ กรีดลงมาก็ไม่ปาน
แต่ถึงอย่างนั้นม่อเวิ่นเฉินก็ไม่ได้หยุดชะลอแม้แต่น้อยเขายังคงบังคับม้าให้พุ่งทะยานไปข้างหน้า
ซูฉีฉีที่อยู่ในรถม้าก็ตกตะลึงเช่นกันนางลืมตาขึ้นนางไม่ได้หันไปมองม่อเวิ่นเฉินที่คลุ้มคลั่งขึ้นมาอย่างกะทันหันแต่กลับขยับตัวเข้าใกล้มุมของรถม้ามากขึ้นหาท่าที่รู้สึกสบายและหลับตาพักผ่อนต่อ
บุรุษเช่นนี้ นางไม่กล้าไปยั่วอารมณ์เขาด้วยเหตุนี้นางจึงไม่อยากไปสนใจ
ให้ทุกอย่างเป็ไปตามธรรมชาติเถิด
นางรู้แต่เพียงว่าเพื่อมารดาของตนแล้วนางจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อล้างแค้นให้กับมารดา นางจะต้องยืนอยู่ฝั่งม่อเวิ่นเฉิน
ม่อเวิ่นเฉินที่อยู่ด้านหน้าหยุดลงกะทันหันม้าของเขาเปล่งเสียงร้องออกมายาวๆ พร้อมยกขาหน้าของมันขึ้น
เสียงร้องยาวนี้ทำให้คนที่อยู่ด้านหลังทั้งหมดก็หยุดลงเช่นกัน
เพราะว่าการหยุดรถม้าอย่างกะทันหันปลุกซูฉีฉีที่อยู่ในรถม้าให้ตื่นขึ้น
นางมิได้รีบชะเง้อออกไปดูด้านนอกแต่กลับเงี่ยหูฟังว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น
มุมปากกระดกขึ้นพร้อมแฝงไปด้วยความเ็าแผ่นหลังที่อยู่บนม้านั้นทำให้เขาดูสง่าผ่าเผยบารมีกระจายออกมาประหนึ่งอยู่เหนือคนทั้งปวง
“มาแล้ว”ม่อเวิ่นเฉินเอ่ยออกมาเสียงต่ำประโยคหนึ่ง
ห่างไปไม่ไกลนักแม้ซูฉีฉีจะไม่รู้ว่าด้านหน้าเกิดเหตุอันใดขึ้นแต่นางก็รู้ว่าม่อเวิ่นเสวียนอดทนต่อไปไม่ได้แล้ว เขาจะลงมือจริงๆ เสียแล้ว
แต่ว่าเขาไม่อาจทนรอได้ขนาดนี้เชียวหรือ
อยากจะรีบฆ่าม่อเวิ่นเฉินขนาดนั้นเลยหรือ?
ซูฉีฉีส่ายศีรษะเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงนางกลับไปนั่งพิงบนรถม้าและหลับตาพักผ่อนต่อ
นางต้องเก็บแรงเอาไว้ให้เพียงพอ
ม่อเวิ่นเสวียนลงมือด้วยตนเองมิใช่อะไรที่จะรับมือได้ง่ายๆ
แน่นอนว่าซูฉีฉีก็ยังคงเชื่อม่อเวิ่นเฉินเหมือนเดิมว่าบนโลกนี้ไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้การที่ม่อเวิ่นเสวียนลงมือด้วยตนเองนั้นก็เป็เพียงแค่ความลำบากที่มากขึ้นเท่านั้น
อย่างมากก็แค่ใช้เวลาอยู่ที่นี่นานขึ้น
พวกเขาเองก็ไม่ได้รีบกลับเมืองอ้าว ทว่านางกลับนึกสงสัยว่าด้วยฝีมือของเหลยอวี๊เฟิงนั้นทำอย่างไรถึงถูกจับไปได้
เมื่อคิดถึงว่าเขาต้องถูกศัตรูจับไปเพราะว่าคุ้มครองมารดาของตนนั้นในใจของซูฉีฉีก็สั่นไหวเล็กน้อย
ตรงข้ามม่อเวิ่นเฉินคือม่อเวิ่นเสวียนเขาก็นั่งอยู่บนม้าตัวใหญ่สีแดงพุทราตัวหนึ่งเช่นกันม่อเวิ่นเสวียนสวมใส่ชุดคลุมัสีเหลือง ท่วงท่าสง่างามขณะที่ดวงตาจับจ้องไปที่ม่อเวิ่นเฉิน “ให้น้องข้ารอนานเสียแล้ว”
“ไม่หรอก” ม่อเวิ่นเฉินยิ้มน้อยๆเขาไม่ได้รอม่อเวิ่นเสวียนจริงๆ
เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ
ท่าทางเช่นนี้ทำให้สีหน้าของม่อเวิ่นเสวียนคล้ำขึ้นไม่น้อยดวงตาหรี่ลงอย่างเอาเื่ ในแววตาปรากฏไอสังหารออกมาแวบหนึ่ง
แน่นอนว่าเขามาที่นี่เพื่อฆ่าม่อเวิ่นเฉิน
“เมื่อครู่เ้าได้ฆ่าทหารหมื่นนายของข้าไปจะอธิบายเื่นี้ว่าอย่างไร?” ม่อเวิ่นเสวียนเงยหน้าขึ้นเขาหรี่ตาทั้งสองข้างลง ดวงตาที่ดำสนิทนั้นไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
ยังไงเสียพวกเขาก็เป็พี่น้องกันใบหน้าทั้งสองคล้ายคลึงกันเป็อย่างมากกระทั่งไอแห่งความอันตรายที่กระจายออกมาก็ยังเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
ม่อเวิ่นเฉินส่งเสียงหึในลำคอออกมาเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเช่นกัน “นอกเมืองหลวงนั้นมีคนจะลอบสังหารข้า มิรู้ว่าเสด็จพี่จะอธิบายเื่นี้อย่างไรดี?”
เขาไม่มีท่าทีอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย
ก็คงมีเพียงแต่ม่อเวิ่นเฉินเท่านั้นถึงจะกล้าต่อกรกับม่อเวิ่นเสวียนเช่นนี้
ท่าทางประหนึ่งไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
มุมปากของม่อเวิ่นเสวียนบิดจนเสียรูปไป่หนึ่งใบหน้าของเขาเขียวจนขาวและก็กลับมาเขียวอีกครั้ง
เขาสะบัดเสื้อคลุมตัวยาวของตนแรงๆ “มีเื่เช่นนี้ด้วยงั้นหรือ”
เมื่อซูฉีฉีที่อยู่ในรถม้าได้ยินประโยคเมื่อครู่มุมปากของนางก็กระตุกขึ้นเบาๆ
สำหรับการแสดงละครอย่างเห็นได้ชัดของม่อเวิ่นเสวียนนั้นม่อเวิ่นเฉินมิได้สนใจมองและไม่คิดจะเอ่ยตอบประโยคเมื่อครู่ของม่อเวิ่นเสวียน
“ในเมื่อทุกคนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจแล้ววันนี้ก็จะไม่ทำให้เ้าลำบากใจมอบป้ายคุมทหารมาแล้วข้าจะคืนเพื่อนของเ้าให้กลับไปอย่างปลอดภัย” ม่อเวิ่นเสวียนเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยพยายามดึงเอาบารมีขึ้นมาข่มม่อเวิ่นเฉิน
หลายปีมานี้เขาพยายามต่อกรกับม่อเวิ่นเฉินมาโดยตลอดแต่ก็ไม่เคยชนะได้สมใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว
มือที่จับบังเหียนอยู่นั้นขยับเบาๆก่อนที่ม่อเวิ่นเฉินจะทำเพียงยิ้มออกมา “ได้สิ”
เมื่อเห็นท่าทีของเขา ไม่เดือดเนื้อร้อนใจไม่โมโหไม่ร้อนรนเช่นนี้ โทสะที่อยู่ในใจของม่อเวิ่นเสวียนก็พุ่งทะยานขึ้นมันค่อยๆ โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงเขากัดฟันอย่างเคียดแค้นพร้อมกำเชือกที่อยู่ในมือของตนไว้แน่น
ท่าทางเช่นนี้เสมือน้าจะสื่อว่าแล้วแต่เ้าเลยว่าจะทำเช่นไรจะลงมือวิธีใดข้าก็จะรับมือเช่นนั้น
“เอาออกมา”ม่อเวิ่นเสวียนฟาดแส้ลงไปบนม้าอย่างแรงก่อนที่มันจะก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง เสื้อคลุมัสีทองสว่างขยับเล็กน้อยท่าทางประหนึ่งว่าพร้อมจะลงมือได้ทุกเมื่อ
วันนี้เขาจะต้องบีบให้ม่อเวิ่นเฉินยอมแพ้อยู่ที่นี่ให้ได้