เ้าสำนักเหลยอยู่ที่ใด?
ทันทีที่ม่อเวิ่นเฉินเอ่ยเสร็จกระบี่ยาวของเขาก็ทาบขนานกับลำคอของเหลยอวี๊เฟิงตัวปลอมเป็ที่เรียบร้อยแล้วมีดบินกว่าสิบดอกตีกระทบลงบนกระบี่ยาวและกระเด็นกลับไปทันที ถ้าหากมิใช่เพราะว่าวรยุทธ์ของเหลยอวี๊เฟิงตัวปลอมนั้นเก่งกาจเกรงว่าเขาคงจะต้องตายในมีดบินของตนเสียแล้ว
ทว่าต่อให้วรยุทธ์จะเก่งกาจล้ำเลิศเพียงใดตอนนี้ก็ได้ถูกกระบี่ปักลงไปในอก ใกล้สิ้นชีพเต็มทีแล้ว
เมื่อเห็นแววตาอันเยือกเย็นของม่อเวิ่นเฉินและความเ็าที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาในที่สุดเหลยอวี๊เฟิงตัวปลอมก็ถอนหายใจออกมาอย่างอับจนหนทางทว่าเขากลับส่ายศีรษะด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่รู้”
ตอนนี้ถ้าหากเขาพูดความจริงออกมาทั้งหมดเกรงว่าจะต้องตายอย่างแน่นอน
นิสัยและการกระทำของม่อเวิ่นเฉินนั้นทุกคนล้วนรู้ดี
โหด ดุร้าย ไร้ความปรานี
ถ้าหากตกอยู่ในมือของเขาแล้วไม่มีทางมีชีวิตรอดอย่างแน่นอน
“หาเื่ตาย”ดวงตาของม่อเวิ่นเฉินหรี่ลง มุมปากกระตุกยิ้มที่ดูแสนจะโหดร้ายขึ้น
จากนั้นก็หันไปมองซูฉีฉีที่อยู่ในอ้อมอกของตน “ฉีฉี เ้าน่าจะมีวิธีทำให้เขานึกขึ้นมาได้ว่าเหลยอวี๊เฟิงอยู่ที่ไหนกระมัง”
เห็นสีหน้ายิ้มๆของเขาแล้วก็ทำให้ซูฉีฉีรู้สึกปวดหนึบบนศีรษะขึ้นมาในทันทีนางมองไปที่คนเบื้องหน้าด้วยสายตาสงสารเล็กน้อยก่อนจะดันตัวเองออกจากอ้อมอกของม่อเวิ่นเฉินนางยืนตรงด้วยสีหน้าราบเรียบก่อนจะคว้าเอาเข็มทองออกมาจากแขนเสื้อของตนอย่างช้าๆ
นางรอบรู้ด้านการแพทย์ซ้ำยังเชี่ยวชาญด้านการฝังเข็มเป้นอย่างยิ่งจุดชีพจรของร่างกายมนุษย์นั้นยิ่งแม่นยำกว่าใครๆ
หมอที่ดีสามารถรักษาคนได้แต่ก็สามารถทำร้ายคนได้อย่างง่ายดายเช่นกัน
ตอนนี้สิ่งที่นางต้องทำก็คือการทำร้ายคนนางมิได้มีอาชีพเป็หมอ เช่นนั้นนางจึงมิต้องเคารพจรรยาบรรณของแพทย์
โดยเฉพาะเมื่อคนตรงหน้านี้เป็คนที่ม่อเวิ่นเสวียนส่งมาตอนนี้นางจงเกลียดจงชังฮ่องเต้ชั่วผู้นั้นเป็อย่างมากแน่นอนว่านางเกลียดบิดาของตนมากกว่า ตอนนี้นางไม่มีทางใจอ่อนเป็แน่
เข็มทองสะท้อนกับแสงอาทิตย์ระยิบระยับแสบตาผู้คน
นางหนีบเข็มทองไว้ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วนางของตนก่อนจะโบกมันไปมาตรงหน้าของเหลยอวี๊เฟิงตัวปลอมซูฉีฉีแสดงสีหน้าจริงจังออกมา “จะไม่พูดจริงหรือ?”
น้ำเสียงของนางมิได้บีบคั้นแต่กลับเหมือนกำลังเจรจากับเขาอยู่ท่าทางที่สงบนิ่งเรียบเฉยของนางนั้นกลับทำให้คนมิกล้าเสมองไปทางอื่น
สตรีผู้นี้ใช้เพียงเข็มเล่มเดียวก็ทำให้หัวหน้าพรรคเด็ดบุปผานั้นต้องพ่ายแพ้กลับไปเื่นี้ได้กระจายออกไปทั่วยุทธภพแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนในยุทธภพแต่ก็ได้ยินข่าวคราวมาบ้าง
หญิงสาวที่ดูบอบบางอ่อนแอไม่เป็ที่สะดุดตาเช่นนี้กลับสามารถเอาชนะหัวหน้าพรรคเด็ดบุปผาฮวาฉือแน่นอนว่ามิอาจดูเบานางได้
แต่ว่าเพียงเพราะประโยคเดียวก็ให้เขายอมรับออกมาเขาทำไม่ได้จริงๆ
เขาสะบัดหน้าไปทางอื่น ไม่มองตรงไปที่ซูฉีฉี “จะฆ่าจะแกงก็แล้วแต่ท่าน ข้าจะไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย”
ท่าทีของเขาดื้อดึงไม่น้อยเลย
ซูฉีฉีเองก็มิได้แสดงท่าทีไม่พอใจทว่ารอยยิ้มของนางได้หายไปแล้ว ตอนนี้นางนิ่งสงบมากไม่อาจคาดเดาได้เลยว่านางรู้สึกเช่นใดอยู่ทวงท่าที่เฉยชาของนางกลับทำให้คนรู้สึกเหมือนนางเป็เทพศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจแสดงท่าทีล่วงเกินได้
ซูฉีฉีมิได้พูดอะไรกับเขาอีกนางมิได้ชอบเอ่ยวาจามากมายเป็เดิมอยู่แล้วด้วยเหตุนี้เข็มในมือของนางจึงทิ่มแทงเข้าไปที่จุดด้านหลังลำคอของเหลยอวี๊เฟิงตัวปลอมเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
จุดนั้นเป็เพียงแค่จุดธรรมดาของร่างกายมนุษย์โดยทั่วไปแล้วผู้คนไม่ค่อยใส่ใจนักทว่าจุดนั้นก็เป็จุดที่พรากชีวิตของคนได้เช่นกัน
เข็มทองทิ่มลงไปโดยไม่ต้องออกแรงแม้แต่น้อยซูฉีฉีค่อยๆ ก้าวถอยออกมา สีหน้าของนางสงบนิ่ง
ม่อเวิ่นเฉินในตอนนี้ก็มีสีหน้าเช่นเดียวกับนางสงบนิ่งและเรียบเฉยมาก
เข็มทองแทงเข้าไปในจุดแล้วเหลยอวี๊เฟิงตัวปลอมเพียงแค่ขมวดคิ้วของตนเล็กน้อย เขาหันกลับมามองด้วยสีหน้าประหลาดใจเพราะว่าตนนั้นไม่ได้รู้สึกเ็ปหรือไม่สบายตัวแม้แต่น้อยมุมปากของเขาค่อยๆ กระตุกยิ้มเย็นขึ้น “ข่าวลือนั้นก็ยังคงเป็ข่าว...”
คำสุดท้ายกลับเอ่ยออกมาไม่ได้ทั่วทั้งร่างของเขาเกร็งขึ้นกะทันหัน เขารู้สึกราวกลับมีสิ่งของบางอย่างกระแทกที่หัวใจของตนอย่างแรงเจ็บจนมิอาจจะทนได้
“อ๊า...”
เสียงร้องครางออกมาอย่างเ็ปก่อนที่เขาจะขดตัวลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
ความรู้สึกเหมือนถูกกระแทกอย่างแรงผ่านพ้นไปตามมาด้วยความรู้สึกเสมือนถูกคนควักหัวใจไปบีบไว้ในกำมือออกแรงบีบอย่างแรงแต่กลับไม่บีบจนมันแตกสลายเหมือนกับกำลังบีบเล่นของเล่นอยู่ก็มิปาน ความทรมานเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทนได้ไหว
ทว่าความเ็ปทรมานเช่นนี้กลับไม่อาจทำให้คนสลบลงไปได้
เหลยอวี๊เฟิงตัวปลอมเจ็บจนกลิ้งดิ้นไปมาอยู่บนพื้นเสียงร้องแห่งความเ็ปดังอย่างต่อเนื่องท่าทีหยิ่งพยองทะนงตนเมื่อครู่ได้หายไปจนหมดแล้ว
ม่อเวิ่นเฉินและซูฉีฉีที่อยู่ด้านข้างยืนดูเขาอยู่นิ่งๆสีหน้านิ่งเรียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ กระทั่งจะสูดหายใจเข้าลึกๆขณะมองคนกลิ้งไปมาบนพื้นอย่างเ็ปนั้นพวกเขาก็ไม่ทำ เสมือนว่าเบื้องหน้าไม่ใช่คนแต่คือภาพของมดตัวเล็กที่กำลังจะสิ้นชีวิตลงได้ทุกเมื่อ
พวกเขาไม่ขยับแม้แต่น้อย
ความเ็ปต่อเนื่องเป็เวลากว่าครึ่งชั่วยามเหลยอวี๊เฟิงตัวปลอมเดิมคิดจะกลับไปรักษาทวงท่าอันสง่างามของตนทว่าเขากลับพบว่าความเ็ปนี้ยากจะทนได้ไหวเขาร้องะโอย่างเ็ปพลางร้องขอความเมตตา “ข้าพูด...พระชายา...ขอท่านโปรดเมตตา...ให้ข้า...ตายไปเสียเถิด...”
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าอะไรคือการอยู่ก็มิสู้การตายแล้ว
ตอนนี้แม้แต่การจะตายนั้นเขายังทำมิได้เลย
“เ้าสำนักเหลยอยู่ที่ใด?”ซูฉีฉีไม่ได้ขยับตัว ในขณะที่ม่อเวิ่นเฉินเอ่ยถามอีกครั้งน้ำเสียงของเขานิ่งเรียบ ฟังไม่ออกว่าเขากำลังมีอารมณ์เช่นใดอยู่เหมือนว่าจะไม่มีโทสะอีกแล้ว
มีเพียงแววตาที่เยือกเย็นสะท้อนไอแห่งความอันตรายออกมา
“ข้าพูดข้าพูดแน่นอน” เหลยอวี๊เฟิงตัวปลอมคิดอยากจะดันตัวเองให้คุกเข่าทว่าความเ็ปนั้นทำให้เขาทำได้เพียงกลิ้งอยู่ที่พื้นไปมามือทั้งสองยกขึ้นเกาบริเวณหัวใจจนเป็บริเวณนั้นมีเืไหลซึมออกมาไม่หยุดตอนนี้เขาเพียงอยากจะตายเท่านั้น
“อยากตายงั้นหรือ ย่อมได้ ขอเพียงบอกมาว่าเหลยอวี๊เฟิงอยู่ที่ใด” ซูฉีฉีขมวดคิ้วเบาๆ ก่อนจะก้าวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
ความจริงแล้วในใจของนางก็ทนไม่ค่อยได้กับภาพตรงหน้าทว่ากับลูกน้องของม่อเวิ่นเสวียนแล้ว นางบอกกับตัวเองว่าต้องอดทนให้ได้นางจะต้องเด็ดเดี่ยว เมื่อคิดถึงมารดาของตนที่ตายไปหัวใจของนางก็นิ่งเย็นมากขึ้น
มุมปากของเหลยอวี๊เฟิงตัวปลอมเริ่มจะบิดเบี้ยวจากความเ็ปก่อนที่เขาจะหันไปจ้องซูฉีฉีในแววตาเหมือนแฝงไปด้วยความรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจเมื่อครู่ของตนเขารู้แล้วว่าตนเองได้ทำผิดไปแล้วสตรีที่จะยืนอยู่ข้างม่อเวิ่นเฉินได้นั้นย่อมไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน
แต่ว่าจะเสียใจตอนนี้ก็เกรงว่าจะสายไปเสียแล้ว “เขาอยู่ในมือของฮ่องเต้”
แม้ว่าเขาจะเ็ปปางตายแต่เขากลับพบว่าตนนั้นยังมีเรี่ยวแรงพอที่จะพูดออกมาได้
ซูฉีฉีและม่อเวิ่นเฉินหันมาสบตากันแวบหนึ่งก่อนที่ต่างฝ่ายต่างมองไปทางอื่น
ม่อเวิ่นเฉินเดินไปข้างหน้าก่อนจะยกมือขึ้นอย่างไม่ลังเลทำให้กระบี่นั้นผ่ากลางร่างของเหลยอวี๊เฟิงตัวปลอมร่างกายของเขาแยกออกจากกันโดยทันที และก็เป็การยุติความเ็ปที่ไร้จุดจบของเขาเช่นกัน
ตอนที่ม่อเวิ่นเฉินฟันกระบี่ลงไปนั้นซูฉีฉีก็ปิดตาทั้งสองของตนแน่น
นางรู้ว่าม่อเวิ่นเฉินโหดร้ายแต่ว่าเมื่อเห็นกับตาของตนเองนั้นนางก็ยังคงรู้สึกเสียวสันหลังวาบหนาวเย็นไปทั่วร่างกาย
คนผู้นี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่าคำล่ำลือเสียอีก
มิมีผู้ใดรู้เลยว่าเขาจะกระทำเช่นใดต่อ
หลังจากที่เหลยอวี๊เฟิงตัวปลอมตายไปแล้วนั้นกองทหารของเขาก็แตกกระจาย ขวัญกำลังใจหายสิ้นอีกทั้งยังเผชิญหน้ากับความน่าเกรงขามของกองทหารโลหิตยิ่งทำให้ทหารหลายคนทิ้งอาวุธโล่กำบังในมือตนบ้างก็ยกมือยอมแพ้ บ้างก็วิ่งหลบหนีไป เพียงแต่ว่ากลุ่มทหารที่หลบหนีไปนั้นไม่มีผู้ใดรอดชีวิตจากดาบของกองทหารโลหิตแม้แต่คนเดียว
ร่างของพวกเขาล้วนขาดกระจายไม่เป็สัดส่วน
นี่เป็วิธีการต่อสู้ของม่อเวิ่นเฉินมาโดยตลอด
หลังจากที่เหลิ่งเหยียนจัดการซากศพของทหารจนเรียบร้อยแล้วเขาก็ขอตัวลาไปก่อน พวกเขาจะต้องดำเนินการตามแผนเดิน เมื่อครู่เป็เพียงแค่ละครสั้นคั่นระหว่างเื่เท่านั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินการต่อไปของพวกเขา
สีหน้าของซูฉีฉีขาวซีดลงเล็กน้อยนางมองซากศพที่กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ ในใจก็มิอาจรับกับภาพเบื้องหน้าได้เท่าใดนักจวบจนนางเข้ามานั่งในรถม้าอีกครั้ง สีหน้าถึงจะกลับมาสงบนิ่งดั่งเดิม
สำหรับม่อเวิ่นเฉินแล้วปฏิกิริยาเมื่อครู่ของซูฉีฉีถือว่าดีมากแล้วคุณหนูผู้ดีคนหนึ่งสามารถมีความกล้าหาญได้ถึงเพียงนี้ก็ทำให้เขานับถือไม่น้อยแล้ว
โดยเฉพาะการลงมือของนางที่เด็ดเดี่ยวมั่นคง และสงบนิ่งตลอดเวลา การพูดจาที่ไร้ช่องโหว่ มีแบบแผนและองอาจกล้าหาญ
ความจริงแล้วความกล้าของซูฉีฉีนั้นได้ฝึกฝนมาั้แ่่ที่เดินทางมาเมืองหลวงแล้วเมื่อก่อนนางหาได้เจอสถานการณ์เช่นนี้ไม่
รถม้ามิได้หมุนเปลี่ยนทิศทางการเดินมันยังคงมุ่งหน้าไปทางเมืองอ้าว
เสมือนว่าเมื่อครู่เหลยอวี๊เฟิงตัวปลอมไม่ได้กล่าวอะไรกับเขาทุกอย่างยังคงสงบนิ่งเช่นเดิม
ซูฉีฉีเงยหน้าขึ้นมองไปด้านนอกนางรู้ว่าม่อเวิ่นเฉินคิดจะทำสิ่งใดแม้ว่าเหลยอวี๊เฟิงจะอยู่ในมือของม่อเวิ่นเสวียน แต่ว่าเขากลับไม่กล้าฆ่าคนปิดปากครั้งนี้ก็รอเพียงแค่ให้เขามาติดกับก็เท่านั้น
คนที่ตกเป็รองครั้งหนึ่งอย่างม่อเวิ่นเฉินนั้นจะต้องเอาคืนจากครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน