“จะให้เอาออกมาให้นั้นย่อมได้แต่เสด็จพี่ก็ควรให้ข้าเห็นคนก่อนจริงหรือไม่” ม่อเวิ่นเฉินยังคงมีท่วงท่าเสมือนไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา
เขาเอ่ยถามออกมาอย่างสบายๆ
ท่าทางเช่นนั้นของเขาทำให้คนคิดอยากจะยกดาบขึ้นแทงเสียให้ตายอยู่ตรงนั้น
แต่พวกเขาก็ไม่มีความสามารถพอจะทำได้
เื้ัของม่อเวิ่นเสวียนนั้นมีคนกลุ่มใหญ่ยืนอยู่เช่นเดิมทุกคนนั้นล้วนเป็ยอดฝีมือคอยคุ้มกันเขาทั้งทางซ้ายและขวา
“แน่นอน...ว่าย่อมได้...”ม่อเวิ่นเสวียนกัดฟันเอ่ยออกมา ตอนนี้พวกเขาได้หักหน้ากันแล้วไม่จำเป็ต้องพะวงใดๆ อีก
ซูฉีฉีในตอนนี้ก็เลิกผ้าม่านในรถม้าขึ้นมองไปด้านหน้าเช่นกัน
นางกำลังคิดว่าม่อเวิ่นเฉินจะทำเช่นไร
จะใช้ป้ายคุมทหารแลกกับตัวของเหลยอวี๊เฟิงจริงหรือ? นางดูอย่างไรก็ไม่เหมือนจะเป็เช่นนั้นเสมือนว่าม่อเวิ่นเฉินนั้นกำลังหยอกล้อม่อเวิ่นเสวียนอยู่เสียมากกว่า
ด้านหน้ากำลังพูดคุยตกลงกันอยู่ทว่าเหลิ่งเหยียนนั้นกลับเดินมาที่ด้านข้างของรถม้าที่ซูฉีฉีนั่งอยู่ในแววตามีความจนใจฉายออกมาเล็กน้อย “พระชายาท่านต้องระวังหน่อย บริเวณรอบๆ ได้ถูกฮ่องเต้สั่งให้คนมาล้อมไว้จนหมดแล้ว”
ความหมายของเขาคืออีกเดี๋ยวนางต้องดูแลตนเองให้ดีๆ
ในเวลาคับขันเช่นนี้พวกเขาต้องคุ้มครองเพียงม่อเวิ่นเฉินเท่านั้น
ซูฉีฉีพยักหน้าสำหรับการกระทำเช่นนี้นั้นนางรู้ดีอยู่แก่ใจ
ยังดีที่นางไม่ได้คิดว่าตนมีความสัมพันธ์พิเศษอันใดกับม่อเวิ่นเฉิน
นางยกมือขึ้นทาบลงตรงตำแหน่งหัวใจจะบอกว่าไม่เจ็บตรงหัวใจนั้นเป็เื่โกหก นางหวั่นไหวแล้วแท้ๆ จะแสดงท่าทีนิ่งเฉยไม่รู้สึกอันใดได้เช่นใดกัน
แต่นางก็มีเพียงแต่ใช้ความนิ่งเฉยปกปิดทุกสิ่งอย่างเอาไว้เท่านั้น
“รู้แล้ว”นางปล่อยผ้าม่านในมือลงก่อนจะตอบรับออกไปสั้นๆ ท่าทางของนางทำให้เหลิ่งเหยียนเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมาเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำเช่นนี้เหมือนกันแต่ว่าเขาจะคุ้มครองซูฉีฉีได้ก็ต่อเมื่อม่อเวิ่นเฉินปลอดภัยแล้วเท่านั้น
ลมหนาวเย็นพัดผ่านใบหน้าและร่างกายอย่างแรงทำให้ปลายของเสื้อคลุมตัวยาวสะบัดไปมาจนเกิดเสียงพึบพับๆ ดังขึ้น
คนหนึ่งสวมชุดดำสนิทท่วงท่าเคร่งขรึมอีกคนหนึ่งสวมชุดเหลืองสว่างดูสูงศักดิ์ พวกเขาทั้งสองจับจ้องกันและกันนิ่งๆอยู่เช่นนั้น
ต่างฝ่ายต่างไม่ขยับก่อนทว่าในทางลับนั้นกลับวางแผนทั้งหมดเอาไว้เรียบร้อยแล้วครั้งนี้จะต้องเป็านองเือย่างแน่นอน
ห่างไปไม่ไกลนักก็เห็นองครักษ์ฝ่ายในสองคนกำลังพยุงเหลยอวี๊เฟิงก้าวเดินมาทางนี้เหลยอวี๊เฟิงในตอนนี้าแเต็มร่างกายเห็นได้ชัดว่าได้รับการทรมานมาอย่างรุนแรงแต่บนใบหน้าอันหล่อเหลานั้นกลับกำลังยิ้มอยู่พลางใช้สายตาทักทายม่อเวิ่นเฉิน
เมื่อเห็นสภาพของเหลยอวี๊เฟิงแล้วม่อเวิ่นเฉินก็กำเชือกในมือของตนแน่นขึ้นไอสังหารกระจายออกไปรอบพื้นที่อย่างไม่ปกปิดกระทั่งอาชาที่เขาขี่อยู่ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากไอสังหารของเขามันส่งเสียงร้องต่ำๆ ออกมาไม่หยุด
บรรยากาศเช่นนี้ทำให้ฝ่ายศัตรูขวัญเสียไปจนหมดแล้ว
ม่อเวิ่นเสวียนที่รับรู้ได้ถึงสัญญาณอันตรายตรงหน้าก็ค่อยๆยกมือขึ้นเพื่อเป็การแจ้งทุกคนให้พร้อมลงมือได้ทุกเมื่อ
แม้ว่าเขาจะไม่เคยยอมรับว่าม่อเวิ่นเฉินนั้นเก่งกาจกว่าตนแต่เขาก็ไม่อยากใช้ชีวิตของตนมาเสี่ยง เขายังต้องรวมแผ่นดินนี้ให้เป็หนึ่งและเอาทุกสิ่งที่้ามาเป็ของตน
ขอเพียงม่อเวิ่นเฉินเริ่มกระทำการใดๆก็แล้วแต่ เขาก็จะหลบออกจากคนกลุ่มนี้และให้พวกยอดฝีมือทั้งหลายจัดการกับเขาแทน
คนต่อให้เก่งกาจแค่ไหนก็ไม่อาจเป็คู่ต่อสู้ของยอดฝีมือนับพันได้หรอก
ต้องรู้ว่าเพื่อวันนี้ เขาได้จ้างยอดฝีมือในยุทธภพไปหลายพันคนแล้ว
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศโดยรอบนั้นไม่ปกตินักม่อเวิ่นเฉินก็มีสีหน้าจริงจัง เวลานี้เขาหันกลับไปมองรถม้าที่อยู่ด้านหลังของตนคนที่นั่งอยู่บนรถม้าก็คือซูฉีฉี
สำหรับท่าทีที่นิ่งสงบของนางนั้นเขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจใดๆ
ซ้ำเขายังรู้สึกชื่นชมในความเยือกเย็นและฉลาดหลักแหลมของนางอีกด้วย
ทว่าซูฉีฉีที่อยู่ในรถม้าตอนนี้กลับกำลังคิดว่าจะช่วยตนเองให้รอดพ้นอย่างไรดีนางเย้ยหยันตัวเองพลางหยิบเอาเข็มทองที่อยู่ในแขนเสื้อของตนขึ้นมาหนีบไว้ระหว่างนิ้วมืออีกทั้งยังเอาไปคาบไว้ในปากอีกดอกหนึ่งอาวุธเพียงอย่างเดียวของนางก็คือเข็มทองเหล่านี้
นางไม่เป็วรยุทธ์นางมิอาจปกป้องตนเองในสนามรบได้เลย
ตอนนี้ ขอเพียงแค่พวกยอดฝีมือไม่ได้จับจ้องมาทางนางซูฉีฉีก็เชื่อว่านางจะต้องรอดพ้นจากเหตุการณ์ตรงหน้าไปได้อย่างแน่นอน
การดูแลที่นางได้รับระหว่างทางมานั้นได้ทำให้นางรู้สึกเฉยชาไม่คาดหวังว่าจะมีผู้ใดมาช่วยชีวิตตนอีก
ม่อเวิ่นเฉินรู้ว่าเหลยอวี๊เฟิงครั้งนี้จะไม่ใช่ตัวปลอมอีกแน่เขาหยิบเอากล่องผ้าในอกเสื้อของตนออกมาก่อนจะกระดกยิ้มมุมปากขึ้นรอยยิ้มนั้นเป็ยิ้มที่แข็งกระด้างแอบแฝงไปด้วยไอสังหาร
ม่อเวิ่นเสวียนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมิได้ขยับตัวเขายังคงจับจ้องไปที่ม่อเวิ่นเฉิน ไม่ปล่อยให้ท่าทางใดๆ ของเขาเล็ดลอดผ่านสายตากล่องผ้านั้นเป็ของที่เขาอยากได้ ขอเพียงปลดอำนาจทหารของม่อเวิ่นเฉินได้การจะฆ่าเขานั้นก็ถือเป็เื่ง่ายดายยิ่งแล้ว
เมื่อเห็นม่อเวิ่นเฉินยื่นมือออกมาทำให้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องมาบนกล่องผ้านั้นดึงดูดสายตาของผู้คนโดยทั่ว
เหลยอวี๊เฟิงเดิมมีสีหน้ายิ้มแย้มไม่สนใจสิ่งใดแต่เมื่อได้เห็นการกระทำเบื้องหน้าของม่อเวิ่นเฉินแล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที “ม่อเวิ่นเฉิน คนอย่างข้าไม่ต้องให้เ้ามาช่วยเหลือรีบสั่งให้คนของเ้าไสหัวออกไปเสีย”
เห็นได้ชัดว่าเขามีโทสะเสียแล้ว
“หุบปาก”ม่อเวิ่นเสวียนสะบัดแส้ในมือลงไปบนใบหน้าของเหลยอวี๊เฟิงทันทีใบหน้าหล่อเหลาที่ขาวสะอาดดุจหยกนั้นมีรอยเืปรากฏออกมาเส้นหนึ่ง
นั่นทำให้ดวงตาที่แต่เดิมเยือกเย็นอยู่แล้วของเหลยอวี๊เฟิงในตอนนี้เต็มไปด้วยไอสังหารอันแรงกล้า
แม้จะเป็ดุจพยัคฆ์ที่ไร้เขี้ยวเล็บแล้วแต่ก็ยังคงหยิ่งผยองทะนงตน
ไม่มีท่าทียอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย
ม่อเวิ่นเฉินดึงมือที่ถือกล่องของตนกลับทันที “เสด็จพี่”
เพียงแค่เอ่ยสองคำนี้ออกมากลับทำให้ผู้คนโดยรอบรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่บุกทะลวงเข้ามาอย่างกะทันหันเป็การเปิดาเย็นขึ้นในทันที
ดวงตาทั้งสองแม้ไม่มีโทสะปรากฏขึ้นแต่กลับดูน่าเกรงขามริมฝีปากเม้มแน่นเข้าหากันทำให้เขาดูโหดร้ายมากยิ่งขึ้น
ม่อเวิ่นเสวียนหันไปจ้องเหลยอวี๊เฟิงก่อนจะดึงแส้ในมือกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์แล้วจึงค่อยหันไปมองม่อเวิ่นเฉิน “น้องข้า เ้าจะยังยืนยิ้มอยู่ทำไมมือหนึ่งมอบคนมือหนึ่งส่งของ”
เขาพูดพลางมองไปที่กล่องผ้านั้นเขาทนรอไม่ไหวอีกแล้ว
ม่อเวิ่นเฉินส่งเสียงหึออกมาในลำคอก่อนจะพยักหน้าลง “ได้สิ”
ทางม่อเวิ่นเสวียนก็ได้ส่งสัญญาณให้องครักษ์สองคนเดินพยุงเหลยอวี๊เฟิงไปด้านหน้าแต่กลับคาดไม่ถึงว่าเหลยอวี๊เฟิงจะดื้อดึงไม่ยอมเดินไป เขาจ้องไปที่ม่อเวิ่นเฉินโทสะของเขาลุกฮือจนแทบจะสามารถเผาที่นี่จนราบเป็หน้ากองได้อยู่แล้ว
“ม่อเวิ่นเฉินถ้าหากเ้าเอาป้ายคุมทหารมาแลกกับตัวข้า จากนี้ไปพวกเราจะต่างคนต่างอยู่ไม่เกี่ยวข้องอันใดกันอีก”
เหลยอวี๊เฟิงพูดทุกคำออกมาอย่างชัดเจนท่าทีของเขาจริงจังเป็อย่างมาก
นี่ทำให้ผู้คนด้านหลังของม่อเวิ่นเฉินนั้นล้วนแต่รู้สึกซาบซึ้งใจเป็อย่างยิ่งเช่นนี้ถึงจะเรียกได้ว่าเป็สหายที่ยอมร่วมเป็ร่วมตายต่อกันแม้กระทั่งซูฉีฉีที่อยู่ในรถม้าก็รู้สึกซึ้งใจไปกับคำพูดของเขา ช่างเป็คนที่ยึดมั่นในคุณธรรมเสียจริงๆ
ทว่าม่อเวิ่นเฉินกลับไม่สนใจแม้แต่น้อยเขายังคงยื่นกล่องผ้าออกไปนิ่งๆ เช่นเดิมเพื่อรอให้ฝ่ายตรงข้ามมาหยิบเอาไป
เขาไม่มองไปที่เหลยอวี๊เฟิงหรือไม่แม้แต่จะสนใจในคำข่มขู่เมื่อครู่
ความนิ่งสงบของม่อเวิ่นเฉิน โทสะของเหลยอวี๊เฟิงความนับถือจากซูฉีฉี อีกทั้งรอยยิ้มเย้ยหยันของม่อเวิ่นเสวียน ทุกสิ่งอย่างที่ผสานกันนี้กลับทำให้สถานการณ์ตรงหน้าหยุดนิ่งชั่วขณะ
จากนั้นเหลยอวี๊เฟิงก็ถูกแรงผลักให้ก้าวไปข้างหน้า
เหลิ่งเหยียนพร้อมกองทหารโลหิตเตรียมพร้อมที่จะบุกโจมตีทุกเมื่อ
ในเวลาเช่นนี้ การบุกโจมตีเท่านั้นถึงจะเป็การป้องกันที่ดีที่สุด
เพราะว่าคนที่ม่อเวิ่นเสวียนพามานั้นไม่เพียงแต่จำนวนที่มีเยอะกระทั่งความสามารถก็ยังไม่ด้อยอีกด้วย
เหลิ่งเหยียนและคนอื่นๆรับรู้ได้ถึงสภาวะกดดันที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นบริเวณรอบๆ
ความจริงแล้วเหลยอวี๊เฟิงก็รู้สึกได้เช่นกันเพียงแต่ว่าตอนนี้เขาไม่อยากจะทำให้ม่อเวิ่นเฉินเดือดร้อนไปด้วยแต่เดิมเขาก็ไม่สามารถคุ้มครองมารดาของซูฉีฉีให้ปลอดภัยได้แล้วตอนนี้เขากลับมาเป็ตัวถ่วงให้กับม่อเวิ่นเฉินอีกเื่นี้ทำให้เขาเกลียดชังตนเองนัก
เกลียดตนเองที่ไร้ความสามารถ
เหลยอวี๊เฟิงค่อยๆเข้าใกล้ม่อเวิ่นเฉินขึ้นเรื่อยๆ ห่างกันเพียงแค่สิบก้าว...แปดก้าว...
ลมเย็นพัดผ่านทำให้เสื้อคลุมตัวยาวสีดำกระพือเป็เสียงดังพึบพับๆโครงหน้าที่งดงามดั่งรูปปั้นแกะสลักนั้นยิ่งดูเยือกเย็นมากยิ่งขึ้นเมื่อประกอบกับท่วงท่าอันเ็าของเขายิ่งทำให้องครักษ์สองคนที่ผลักเหลยอวี๊เฟิงอยู่นั้นกลับลังเลไม่กล้าก้าวเท้าไปข้างหน้าต่อ
แม้ไม่ได้ขยับแต่ก็สามารถสร้างความกดดันให้กับฝั่งตรงข้ามได้แล้ว
เมื่อเห็นเหลยอวี๊เฟิงถูกผลักไปด้านหน้าอีกเพียงสองก้าวม่อเวิ่นเสวียนที่นั่งอยู่บนอาชานั้นก็หรี่ตาทั้งสองลงก่อนจะกำสายบังเหียนในมือแน่นจากนั้นเขาก็ถีบตัวเองให้ลอยขึ้นอย่างมีโทสะ ก่อนจะพุ่งไปหากล่องผ้าที่อยู่ในมือของม่อเวิ่นเฉิน...
แสงสว่างหลายเส้นพุ่งผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ม่อเวิ่นเสวียนที่อยู่กลางอากาศเอียงตัวหลบในชั่วพริบตาลูกศรเย็นสามดอกทะลุผ่ากลางอากาศ ยิงตรงไปโดนองครักษ์สองคนที่อยู่ด้านหลังของเขา โลหิตได้ทะลักออกมาจากโพรงจมูกและปากของคนทั้งสองก่อนที่พวกเขาจะล้มลงบนพื้น
การเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันเช่นนี้กลับทำให้ใจของม่อเวิ่นเสวียนบีบแน่นมากขึ้นสายตาของเขายังไม่ได้ละออกจากตัวของม่อเวิ่นเฉินตอนนี้เขารู้แล้วว่าในมือของม่อเวิ่นเฉินนั้นเป็ป้ายคุมทหารจริงๆแต่เป็ป้ายคุมทหารที่แฝงไปด้วยศรพิษ
แค่ม่อเวิ่นเฉินขยับเพียงนิดเดียวธนูในกล่องผ้านั้นก็จะพุ่งตัวออกมาทันที
ถ้าหากว่าเมื่อครู่เขาขยับตัวช้าอีกเพียงแค่นิดเดียวคนที่ล้มอยู่ที่พื้นในตอนนี้จะต้องเป็เขา ม่อเวิ่นเสวียนอย่างแน่นอน!