ในห่อสัมภาระมีสิ่งของต่างๆ เช่น แป้งย่างใส่ไข่สิบแปดชิ้น ชุดสำหรับฤดูใบไม้ร่วงที่ซักจนสะอาดทั้งยังเจือไปด้วยกลิ่นแดดอ่อนๆ อีกสองชุด รองเท้าผ้าใหม่เอี่ยมอีกสองชุด เป็ต้น ของเหล่านี้รวมกันแล้วหนักราวเจ็ดแปดชั่ง
ครอบครัวหลี่กลัวว่าสวี่เจิ้งจะแบกของเหนื่อย จึงไม่กล้าฝากสัมภาระมามากนัก จ้าวซื่อเขียนจดหมายมาถึงหลี่ซานด้วย เนื้อความในจดหมายคือ ให้พวกเขาพี่น้องกลับบ้าน
หลี่สือกินแป้งย่างใส่ไข่ที่มีน้ำมันเหลืองนวล เขาชอบจนเคี้ยวไม่หยุด แป้งย่างใส่ไข่นี้อร่อยมากจนแทบหยุดกินไม่ได้ หลังจากทำงานมาทั้งวันจนเหนื่อยแทบตาย ในที่สุดก็ถึงเวลาเติมพลังแล้ว มีทั้งแป้งขาวและไข่ไก่ให้กิน ช่างมีความสุขจริงๆ
“พี่สวี่ ท่านก็กินแป้งย่างด้วยสิ” หลี่ซานรู้อยู่แก่ใจว่า บ้านสวี่ยากจนกว่าบ้านหลี่ หม่าซื่อก็ขี้เหนียว ดังนั้นต้องเป็หม่าซื่อที่บอกให้สวี่เจิ้งกลับมาทำงานหาเงินเป็แน่
สวี่เจิ้งเพิ่งเคยได้กินแป้งย่างใส่ไข่เป็ครั้งแรก เขากินอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งยังกล่าวขอบคุณไม่ขาดปาก
“สถานการณ์ที่บ้านข้าเป็อย่างไรบ้างหรือ” หลี่ซานเป็ห่วงสถานการณ์ในครอบครัวยิ่งนัก คำพูดคราวที่แล้วของบุตรชายคนโตและบุตรชายคนรองดูไม่น่าเชื่อถือเลย คราวนี้จึงอยากจะฟังจากปากของสวี่เจิ้ง
สายตาของสวี่เจิ้งไร้ซึ่งความอิจฉา กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “น้องหลี่ บ้านของเ้าเปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆ!” จากนั้นก็บรรยายให้หลี่ซานฟัง
หลี่ซานถูกข้อมูลแต่ละอย่างทำเอาสั่นสะท้านจนไร้ซึ่งปฏิกิริยาใดๆ สวี่เจิ้งจึงอดที่จะถามไม่ได้ว่า “น้องหลี่ เหตุใดเ้าไม่เชื่อคำพูดของเจี้ยนอันและฝูคังเล่า?”
ในใจของหลี่ซานทั้งรู้สึกยินดีและน้อยเนื้อต่ำใจ กล่าวเจือรอยยิ้มว่า “ข้าคิดไม่ถึงว่าลูกๆ ทั้งห้าของข้าจะมีความสามารถเพียงนี้ จะดูแลบ้านได้ดีเพียงนี้”
สวี่เจิ้งกินแป้งย่างหมดก็แลบลิ้นออกมาเลียน้ำมันที่ติดอยู่บนนิ้วจนสะอาดเอี่ยม แต่หากจะให้ขออีกสักแผ่นก็รู้สึกไม่ค่อยดี หลี่ซานจึงยัดแป้งย่างใส่มือให้เขาอีกแผ่นหนึ่ง ทั้งยังกล่าวย้ำว่า “แป้งย่างมากมายเพียงนี้พวกข้าพี่น้องจะกินหมดที่ไหนกัน ท่านรีบช่วยพวกข้ากินอีกเถิด!”
“หลายวันก่อนบ้านข้าได้รับการดูแลจากบ้านของเ้าจนทำเงินได้หนึ่งตำลึง” สวี่เจิ้งมีนิสัยซื่อสัตย์จริงใจ จึงบอกเื่ที่บ้านหลี่จ้างบ้านสวี่ทำอาหารให้คนงานทั้งสิบสองคนที่มาปรับปรุงบ้านไปตามจริง จากนั้นจึงก้มหน้าพูดว่า “น้องจ้าวกลัวคนในหมู่บ้านจะพูดจาให้ร้ายภรรยาของข้า ตอนกลางวันนางจึงไปอยู่เป็เพื่อนภรรยาของข้าที่บ้าน ข้าช่างโง่ยิ่งนักที่ไม่รู้เื่นี้เลย เกือบเชื่อขี้ปากคนในหมู่บ้านจนจะทำให้ภรรยาของข้าไม่ได้รับความเป็ธรรมเสียแล้ว”
หลี่ซานเห็นสวี่เจิ้งมีสีหน้ารู้สึกผิด จึงรีบพูดว่า “ภรรยาข้าพูดอยู่ตลอดว่า ภรรยาของท่านเป็คนดี คราวหน้าหากมีคนพูดจาว่าร้ายนาง ท่านก็อย่าเชื่ออีกเลย”
“ในห่อสัมภาระมีจดหมายที่น้องจ้าวเขียนถึงเ้าด้วย เ้ารีบอ่านเร็วเข้า” สวี่เจิ้งพูดต่อ “น้องจ้าวเป็ห่วงพวกเ้าพี่น้องจึงเขียนจดหมายบอกให้พวกเ้ารีบกลับบ้าน ทั้งยังวานข้ามาบอกด้วยตนเองอีกด้วย”
หลี่สือเอาศีรษะมาถูบนไหล่ของพี่ชายหลายครั้ง กล่าวเจือเสียงหัวเราะว่า “พี่ใหญ่ พวกเรากลับบ้านไปกินข้าวสามมื้อกันเถอะ”
สวี่เจิ้งกล่าวด้วยความรู้สึกน้อยใจในชะตาชีวิตของตน “ชีวิตของครอบครัวเ้าดียิ่งนัก น้องจ้าวก็ใกล้คลอดแล้ว พวกเ้าพี่น้องยังจะมาแบกหินอยู่ที่นี่อีกทำไม พรุ่งนี้ก็กลับหมู่บ้านไปเถิด”
“ปรับปรุงบ้าน ขุดบ่อน้ำ พวกนี้ต้องใช้เงินเท่าใดกัน” หลี่ซานคิดคร่าวๆ ในใจ คงใช้เงินสิบกว่าตำลึงกระมัง เมื่ออ่านจดหมายที่ได้รับจากภรรยา ในจดหมายบอกว่า บุตรชายทั้งสี่ผลัดกันไปขายแป้งย่าง หลังจากใคร่ครวญแล้วจึงพูดว่า “ถ้าพวกเราพี่น้องกลับไปก็ต้องออกไปขายแป้งย่าง เช่นนั้นอยู่ทำงานที่นี่เพื่อหาเงินเพิ่มดีกว่า จะได้เพิ่มอีกวันละห้าสิบทองแดง”
ดวงตาของสวี่เจิ้งปรากฏแววหวั่นไหว ทว่าไม่นานก็เปลี่ยนเป็ชื่นชม “ภรรยาข้าพูดถูกจริงๆ นางกล่าวว่า เ้าต้องไม่ยอมกลับไปใช้ชีวิตมีความสุขแน่นอน จะต้องอยู่สร้างกำแพงเมืองต่อไปแน่”
หลี่สือน้ำตาคลอเบ้าแทบจะร้องไห้ออกมา เอ่ยถามไปว่า “พวกเราไม่กลับบ้านหรือ”
หลี่ซานอธิบายอย่างอดทน “ไม่กลับ พี่สะใภ้เ้าทำรองเท้าใหม่ให้พวกเราคนละคู่ แล้วยังมีเสื้อผ้าชุดใหม่คนละชุดด้วย พวกเราก็อยู่ที่เมืองเยี่ยน ทำงานด้วยกันกับพี่สวี่เถิด รอให้พี่สะใภ้เ้าใกล้คลอดก่อนค่อยกลับบ้าน”
หลี่สือบ่นพึมพำ “แต่ท่านไม่มีหมวกนิรภัยแล้ว?”
“เ้าก้อนหิน วางใจเถิด ทางการให้คนมาทำหมวกนิรภัยแล้ว อีกเดี๋ยวจะนำมาแจกให้คนงานคนละใบ ถึงตอนนั้นข้าก็มีหมวกนิรภัยแล้ว”
ได้ยินดังนั้นสวี่เจิ้งจึงอดชมเชยไม่ได้ “หรูอี้ของบ้านเ้าฉลาดจริงๆ เอาหวายมาทำเป็หมวกนิรภัยได้ แถมยังทำแป้งไข่ที่อร่อยขนาดนี้ได้ด้วย”
หลี่สือรีบพูดแก้ “แป้งย่างใส่ไข่”
จ้าวซื่อรออยู่หลายวัน เฝ้ารอมานานก็ยังไม่เห็นแม้เงาของสามีและอาเล็ก ทำให้นางโกรธจนด่าสามีในใจว่าเป็ลาดื้อ
เมืองเยี่ยน จวนเยี่ยนหวัง
“เ้ากับข้าสองศิษย์พี่น้องลองกันมาหนึ่งเดือนแล้ว แต่ก็ยังทำแป้งย่างใส่ไข่ไม่ได้เลย”
“ใช่แล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็ยอดคนจากที่ใด ใช้วิธีมหัศจรรย์อันใดจึงใส่ไข่ไก่เข้าไปในแป้งย่างได้”
“กลางวันวันนี้เหล่าจางกับเหล่าอวี๋หัวเราะเยาะพวกเราอีกแล้ว ถามว่าเมื่อไรพวกเราจะทำแป้งย่างใส่ไข่ให้พวกเขากิน พวกเขาพูดจาเข้ากันเป็ปี่เป็ขลุ่ย พูดจนข้าอับอายอยากจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนีแล้ว”
“เมื่อวานพ่อบ้านก็แอบมาถามเื่แป้งย่างใส่กับข้าด้วย ทั้งยังบอกด้วยว่า คนที่ทำแป้งย่างใส่ไข่ได้อยู่ที่ตำบลจินจี”
ชายวัยกลางคนสองคน คนหนึ่งอ้วนคนหนึ่งผอม นั่งหันหน้าเข้าหากันบริเวณม้านั่งหินอันเย็นเยียบข้างูเาจำลอง เบิกตาตี่ๆ จนกว้าง คิ้วขมวดแน่นอย่างกลัดกลุ้ม
ทั้งสองคือ พ่อครัวของจวนเยี่ยนหวัง เป็พ่อครัวที่มีชื่อเสียงของทางเหนือ พวกเขาเป็ศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน คนอ้วนชื่อหูเอ้อร์ คนผอมชื่อเหอซาน ต่างก็เป็เด็กกำพร้าทั้งคู่ ซึ่งพ่อครัวใหญ่ที่ไม่มีบุตรได้รับเลี้ยงพวกเขาไว้ สุดท้ายก็ฝึกฝนจนมีฝีมือด้านการครัวที่ยอดเยี่ยม ถนัดอาหารจานแป้งที่เป็อาหารเด่นของทางภาคเหนือ
เมื่อหูเอ้อร์และเหอซานได้กินแป้งย่างใส่ไข่เข้าไป ก็เริ่มใช้เวลาศึกษาวิธีทำวันละครึ่งชั่วยาม นี่ก็ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วแต่ยังไม่สำเร็จ
พวกเขาเคยเดิมพันกับทุกคนว่า จะทำแป้งย่างใส่ไข่ออกมาได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน พูดจาโอ้อวดไปเพียงนั้น แต่หนึ่งเดือนแล้วกลับยังทำไม่สำเร็จ
ทั้งสองสบตากัน กล่าวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “ไม่ได้ ต้องหาวิธีทำออกมาให้ได้!”
ั้แ่มีจวนเยี่ยนหวังก็มีกฎเกณฑ์เคร่งครัดมากมาย และห้ามคนในจวนใช้อำนาจของจวนอ๋องไปรังแกหรือกดดันชาวบ้านอย่างเด็ดขาด หากทั้งสองอยากได้วิธีทำแป้งย่างใส่ไข่ก็ไม่อาจกดดันผู้อื่น จะต้องใช้วิธีขอซื้อมาเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงไหว้วานให้คนไปสืบเื่แป้งย่างใส่ไข่จากตำบลจินจีมาให้ชัดเจน สุดท้ายจึงรู้ว่าแป้งย่างใส่ไข่มาจากครอบครัวแซ่หลี่ที่อยู่ในหมู่บ้านหลี่นั่นเอง จึงตัดสินใจว่าจะต้องไปหาทางซื้อมาให้ได้
วันนี้ฝนตกตอนกลางวัน เมื่อฟ้าใสอากาศก็เย็นสบายขึ้นมาก หมู่บ้านหลี่มีบุรุษสองคนควบม้าเข้ามา
“บ้านหลี่อยู่ในหมู่บ้านขอรับ พวกเขาเพิ่งปรับปรุงบ้านใหม่ อิฐดำกำแพงขาว หาง่ายมากขอรับ” ชาวบ้านเห็นทั้งสองคนมีบุคลิกไม่ธรรมดา เพียงมองก็รู้ว่าไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป ในใจจึงอิจฉาบ้านหลี่ที่รู้จักคนใหญ่คนโต
สองคนนี้ก็คือ หูเอ้อร์และเหอซานนั่นเอง
บ้านหลี่ไม่มีผู้ใหญ่ผู้ชายอยู่ด้วย จ้าวซื่อก็กำลังท้องกำลังไส้จึงไม่สะดวกต้อนรับแขก ส่วนหลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังก็ไปขายแป้งย่างที่ตำบลจินจีแล้ว ดังนั้นหลี่อิงฮว๋า หลี่ิ่หาน และหลี่หรูอี้ จึงรับรองแขกกันเอง
หูเอ้อร์มีนิสัยใจร้อนโผงผาง เมื่อเข้ามาที่ห้องโถงของบ้านหลี่แล้ว เพิ่งนั่งลงก็เปิดประเด็นพูดอย่างตรงไปตรงมาทันที “ข้าแซ่หู น้องชายข้าแซ่เหอ พวกเราพี่น้องเป็คนนอกพื้นที่ ได้ยินว่าครอบครัวของพวกเ้าทำแป้งย่างใส่ไข่ได้ จึงอยากจะซื้อกลับไปเปิดร้านขายแป้งย่างที่บ้านเกิดเสียหน่อย พวกเ้าบอกราคามาเถิด หากเหมาะสมพวกเราพี่น้องจะควักเงินซื้อ”
หลี่อิงฮว๋าสีหน้าเปลี่ยนไป “นี่…”
.......................................