ใบหน้าน่ารักหันไปมองตามเสียงที่ดังขึ้นข้างตัว ก่อนจะพบเขากับผู้ชายที่ดูมีจริตจะก้านหน่อยคนหนึ่งตามหลังมาด้วยผู้หญิงที่ตัวเล็กอีกสองคนคนหนึ่งปล่อยผมยาวลงมาถึงสะโพกดวงตากลมโตใครเห็นเป็ต้องมองซ้ำไม่ก็ต้องมีใจสั่นกันบ้างกับความน่ารักของเธอ ส่วนอีกคนตัดผมสั้นซอยประบ่าดูเท่มีสไตล์
“เรียกเราว่าอะไรนะ”
“เพื่อนสะใภ้ไงคะ” ใครเพื่อนสะใภ้มึงวะ อยากจะสวนไปแบบนี้แต่ก็ดูจะล่อมือล่อตีนเกินไปเลยพูดคำพูดที่ดูซอฟหน่อยลงมาแทน
“เราว่านายเข้าใจผิดแล้วแหละ เราไม่ใช่เพื่อนสะใภ้นายหรอก”
“ไม่ผิดหรอกนายเป็ว่าที่แฟนไอ้ทิมมี่ไม่ใช่หรอ” ขิมเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มล้อๆ ทำเอาคนฟังถึงกลับต้องกลอกตามองบน
“ถ้าจะมาชงให้เพื่อนก็พอเถอะ เราไม่ชอบคนแบบนั้นหรอก” จีนตอบก่อนจะหันไปมองที่สนามฟุตบอลต่อเหมือนไม่อยากสนทนาต่อด้วย
“ถึงไอ้ทิมมี่มันจะกวนตีนไปหน่อย แต่มันก็ชอบนายจริงๆนะ ให้โอกาสเพื่อนเราได้ทำคะแนนหน่อยเถอะ” สกาวฟ้าเองก็ช่วยเชียร์เพื่อนอีกแรง
“...”
“โอเคเลิกคุยเื่นี้กันดีกว่านะคะ เข้าประเด็นสำคัญกันเลยดีกว่า” เจสซี่ตัดฉับเปลี่ยนเื่ทันทีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไป “รู้อะไรมาคะ” คำถามที่ถูกตั้งขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเรียกความสนใจจากคนตัวเล็กได้อีกครั้ง
“รู้อะไร” คิ้วสวยขมวดเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจ
“ปลื้มแทนมีซัมติงใช่หรือไม่” ขิมโผล่หน้ามาร่วมวงสนทนาด้วย
“ดูออกเหมือนกันหรอ” ดวงตากลมโตลุกวาว โอเมก้าตัวน้อยรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันทีเมื่อมีคนอื่นที่ดูออกเหมือนกัน
“กลิ่นแรงมากค่ะเพื่อนรัก” เพื่อนรักเลยนะ ชื่อแซ่ยังไม่เคยจะได้ถามไถ่แต่กลายเป็เพื่อนรักกันไปแล้วนะตอนนี้
“นี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฝั่งนี้น่าจะปลื้มอยู่ ฝั่งนั้นอะยังไง”
“ไม่รู้เหี้ยอะไรสักอย่างเลยค่ะ”
“พึ่งจะรู้ว่าสองคนนั้นไปเคลียร์กันนอกรอบก็วันนี้” สกาวฟ้าเอ่ยขึ้นพร้อมกับทำปากยื่นปากยาวไปทางสองคนที่เหมือนจะมีปากเสียงกันในสนามบอลเพราะปลื้มเอาแต่กันแทนจนแทบจะไม่ได้แตะลูกบอลเลย
“เคลียร์นอกรอบหรอ” อันนี้คือข้อมูลใหม่สำหรับจีนมากนะ ปลื้มไม่เคยเล่าให้พวกเขาฟังเลยเื่ที่ไปคุยกับแทนมาแล้ว หรือว่าแผลคิ้วแตกที่มันบอกว่านอนละเมอตกเตียงแล้วหัวไปฟาดกับขอบโต๊ะที่ตั้งโคมไฟไว้ข้างเตียงจะเป็เื่โกหก
ก็ว่าอยู่คนบ้าอะไรจะไปนอนละเมอได้ขนาดนั้น
“ใช่ แทนมันบอกว่าเื่ที่ต่อยกันคืนนั้นอะเป็เื่เข้าใจผิด”
“อ๋อ...ใช่่นั้นเพื่อนเราโดนทำของน่ะ” แต่ตอนนี้เหมือนจะมีคนมาแก้ของให้มันแล้ว นี่แหละน้าที่เขาบอกว่า อกไก่ต้องมีคนหมัก แต่ถ้าอกหักต้องมีคนใหม่
“สาระ?” อิเจสใมากนะ
“สาระแน”
“...” แรงมากแม่ พูดแบบนี้ตบกับอิเจสเลยเถอะ
“ล้อเล่นน่ะ” แต่พอใบหน้าน่ารักหันมายิ้มหวานจนยาหยีใส่ใจอิเจสก็ล่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มตีนทันที ก่อนหน้านี้คนตรงหน้าพูดอะไรนะรู้สึกเหมือนหูดับไปชั่วขณะ “แล้วนี่ชื่ออะไรกันหรอ เราชื่อจีนนะ”
“เจสค่ะเจสซี่ ส่วนนี่ขิม ทอมผมบ็อบนั่นฟ้าค่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“ไอ้ทิมชักตายแน่ถ้ารู้ว่าเราได้รู้จักจีนก่อน”
“ไอ้ประสาทแดกนั่นชื่อทิมหรอ”
“ทิมมี่ค่ะ ที่วิ่งไปกอดมันเมื่อกี้ชื่อบาส ส่วนคนนั้นที่มีประเด็น...”
“แทน”
“ใช่ค่ะ”
“แล้วเื่ที่ไปเคลียร์กันนอกรอบนี่คือยังไงหรอ” จีนเอ่ยเข้าประเด็นที่อยากรู้
“ทางนี้ก็ไม่มีรายละเอียดเหมือนกัน รู้แค่เคลียร์กันแล้ว”
“ทางนี้ไม่เห็นเล่าอะไรสักอย่าง”
จีนพึมพำขึ้นมาก่อนจะหันไปมองยังปลื้มที่กำลังเตะบอลอยู่ในสนาม
“ของแบบนี้มันต้องช่วยกันล้วงนะคะ”
“ล้วงอะไร” ใจคอไม่ดีเลยกู
“ล้วงความลับสิคะ แหมจะให้ล้วงอะไรล่ะ” แต่ถ้าได้ล้วงอย่างอื่นด้วยก็ไม่ติดนะ อุ๊ปซ์ “สนใจร่วมทีมด้วยกันมั้ยคะเพื่อนสะใภ้”
“จะไม่รับพิจารณาก็ตรงที่เรียกแบบนี้นี่แหละ”
“หยอกเอิ้นนะคะ”
โรงอาหารมักเป็สถานที่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายเสมอ ไม่ว่าจะเป็โรงอาหารของคณะไหนก็ไม่ได้รับการยกเว้นจากความวุ่นวายใน่พักกลางวันทั้งนั้น คนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มก้มหน้ากดโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นเหมือนมองหาใครแล้วก็ก้มลงกดมือถือใหม่อีกรอบ
“มึงคุยกับใครวะจีน” พีคที่ทนสงสัยไม่ไหวก้มหน้าลงไปมองหน้าจอแชทของเพื่อนตัวเล็กอย่างเสียมารยาท
“เพื่อนใหม่”
“ใครวะ” เก่งถามขึ้นก่อนจะหันหน้าไปมองปลื้มเหมือน้าจะถามว่ามึงรู้มั้ยเพื่อนใหม่ของจีนคือใคร ปลื้มที่ก็ไม่รู้เื่ด้วยเหมือนกันจึงได้แต่ส่ายหัวกลับมา
“เดี๋ยวเจอมึงก็รู้เองนั่นแหละ”
“จีน” เสียงน่ารักสดใสของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจของทั้งสี่สหายให้หันไปมองอย่างพร้อมเพรียง
“เชี่ยน่ารักสัด เพื่อนมึงรู้ยังว่ากูโสดอะ” เก่งถามขึ้นมาโดยที่สายตายังคงไม่ละออกไปจากใบหน้าของหญิงสาวที่เดินเข้ามาใกล้พวกเขาเรื่อยๆ
“รู้ไปก็เท่านั้น เขาไม่เอามึงหรอก”
“กับเพื่อนกับฝูงอะจีน เบาได้ก็เบา” แรงใส่ตลอดเลยไอ้ห่านี่ ปากแบบนี้ระวังจะหาผัวไม่ได้นะน้องนะ
“ไปกันจองโต๊ะไว้ให้แล้ว” หญิงสาวยิ้มทักทายให้กับทุกคนก่อนจะเดินเข้าไปคล้องแขนจีนอย่างสนิทสนมแล้วทั้งสองคนก็เดินนำออกไปทิ้งให้อัลฟ่าตัวโตทั้งสามคนต่างมองหน้ากันด้วยความงง
“จีนมันไปสนิทกับเด็กสินกำั้แ่เมื่อไรวะ” พีคที่ยังมองตามแผ่นหลังของเพื่อนตัวเล็กไปอย่างไม่คาดสายตาถามขึ้น
“ไม่รู้ดิ มันไม่เคยเล่าให้ฟัง”
“หรือเด็กสินกำที่ตามจีบมันจะจีบติดแล้ว”
“เร็วไปเปล่าวะ”
“รีบตามไปเถอะ อย่ามัวแต่ยืนคุยกันเลย” ปลื้มตบไหล่เพื่อนทั้งสองคนเบาๆก่อนจะรีบเดินตามหลังจีนและเพื่อนใหม่ของเ้าตัวไป
“มาแล้วค่า” เสียงของขิมดังขึ้นเมื่อมาถึงยังที่หมาย คนบนโต๊ะที่กำลังนั่งพูดคุยกันอยู่จึงเงยหน้าขึ้นไปให้ความสนใจทันที
“ก็คิดว่าใครที่ไหน แม่ของลูกในอนาคตนี่เอง”
“เก็บปากไว้แตกหน้าหนาวเถอะ อย่าให้มันต้องมาแตกเพราะตีนกูเลย”
“เก่งจังเลยนะครับ” ขนาดโดนตอกหน้าไปแบบนั้นทิมมี่ก็ยังคงสามารถลอยหน้าลอยตาอยู่ได้
“มานั่งค่ะ นั่งตรงนี้น้า โรงอาหารสินกำยินดีต้อนรับนะคะ” แต่ก่อนที่จะมีการวางมวยกันเกิดขึ้น จนทำให้ใครหลายคนอาจต้องอวสานอาหารกลางวัน เจสซี่คนดีศรีศิลปกรรมฯก็ได้เอ่ยขึ้นมาเพื่อขัดการยกทัพใส่กันเอาไว้ก่อน “ที่เหลือนั่งโต๊ะนั้นได้เลยนะคะ” บอกพลางผายมือไปยังโต๊ะตัวที่มีแทน บาสแล้วก็สกาวฟ้านั่งอยู่
“ไงมึง” เก่งทักทายบาสที่นั่งอยู่ตรงข้ามก่อนจะหันไปยิ้มให้กับสกาวฟ้าและแทน ส่วนพีคก็พยักหน้าให้บาสก่อนจะยิ้มจางๆให้กับอีกทั้งสองคนเช่นกัน หลังจากที่เตะบอลด้วยกันวันนั้นพีคกับเก่งเองก็พอจะได้พูดคุยกับบาสและทิมมี่อยู่บ้าง ส่วนแทนพวกเขาไม่ค่อยได้คุยด้วยเท่าไร เพราะไม่รู้จะไปขัดจังหวะเวลาที่เถียงกับปลื้มตอนไหน
ร่างบางปรายตามองคนที่มาใหม่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองยังแถวร้านอาหารตามสั่งที่เป็ร้านโปรดของตัวเองว่าคิวมันน้อยลงหรือยัง เขาไม่ชอบไปยืนรอหน้าร้านนานๆเวลาคนเดินผ่านไปผ่านมามันทำให้ทำตัวไม่ถูกยังไงก็ไม่รู้ เลยนั่งรอให้คนน้อยลงก่อนแล้วค่อยเดินไปสั่ง
“มึงกินข้าวยังอะ” ปลื้มที่ทิ้งตัวนั่งลงตรงข้ามกับแทนถามขึ้น
“กินก็เห็นดิ” แทนบอกก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปต่อแถวซื้อข้าวที่ร้านประจำ ปลื้มเองพอเห็นแบบนั้นก็รีบตามไปทันที
โดยที่ทั้งสองคนไม่รู้ตัวเลยว่าหลังจากที่เขาทั้งคู่ลุกออกไปจากโต๊ะได้เกิดการชุมนุมของสมาชิกที่เหลือขึ้น
“กะเพราหมูสับหนึ่งครับ” เมื่อถึงคิวเสียงใสก็เอ่ยสั่งเมนูโปรดออกไป
“เอาไข่ดาวด้วยดิ” ใบหน้าหล่อขยับเข้าไปใกล้กับไหล่บางของคนตรงหน้า ก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมา
“ทำไมกูต้องสั่ง”
“กินกะเพราก็ต้องมีไข่ดาวดิ เมนูคลาสสิก” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นโดยที่ยังไม่ยอมผละใบหน้าออกไป
“ตกลงเอาไข่ดาวด้วยมั้ยจ้ะ” แม่ค้าที่ยืนถือตะหลิวอยู่ถามขึ้นเมื่อลูกค้าเ้าประจำเหมือนจะยังลังเลอยู่
“เอาก็ได้ครับ”
“สองเลยนะครับ” ร่างบางหันไปมองใบหน้าหล่อที่อยู่่ไหล่ของตัวเองเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา “ขอลอกเมนูหน่อยนะ”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร” แค่แปลกใจที่เมนูสิ้นคิดแบบนี้ก็ยังมีคนที่ลอกกันอีก
“...” ปลื้มอมยิ้มให้กับคำตอบที่ได้รับ ก่อนจะขยับตัวกลับไปยืน
“เหลือหมูสับพอสำหรับจานเดียวจ้า”
“งั้นทำให้เขาก็ได้ครับผมสั่งอย่างอื่นดีกว่า” ร่างสูงชี้นิ้วไปที่ร่างบางก่อนจะหยิบเมนูอาหารขึ้นมาดูเพื่อสั่งเมนูใหม่
“แทน” แค่ได้ยินเสียงไม่ต้องหันไปมองปลื้มก็รู้แล้วว่าเป็เสียงของใคร “อ้าว ปลื้มก็อยู่ด้วยหรอ”
“อือ” ร่างสูงขานรับในลำคอ
“มากินข้าวกันหรอ” คนตัวเล็กหันไปถามร่างบางที่ยืนหน้านิ่งอยู่
“ใช่ เรนก็มากินข้าวเหมือนกันหรอ”
“ใช่ เราอยากกินผัดกะเพราหมูสับไข่ดาว จำได้ว่าแทนเคยบอกว่าร้านนี้อร่อย” ปลื้มที่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็คนนอกได้แต่มองทั้งสองคนสลับกันไปมา
“มันเหลือแค่จานเดียวเองอะ”
“หรอ เสียดายจัง” โอเมก้ามีสีหน้าหงอยลงทันทีเมื่อรู้ว่าเมนูที่ตัวเองอยากกินหมดไปแล้ว
“เรนเอาไปเลย เดี๋ยวเราสั่งอย่างอื่นก็ได้”
ปลื้มหันมองที่แทนด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ เขาอุตส่าห์เสียสละข้าวที่เหลือจานเดียวให้กับแทนแต่อีกคนดันยกมันให้กับเรนอย่างง่ายดาย ไหนจะสายตาที่ใช้มองกันอีกทำไมมันถึงได้น่าหงุดหงิดขนาดนี้วะ ร่างสูงพยายามตีสีหน้าให้เรียบเฉยที่สุดเพื่อซ่อนอารมณ์คุกรุ่นในใจเอาไว้
“ปลื้มเป็อะไรหรือเปล่า” คนตัวเล็กที่เห็นสีหน้าที่ดูไม่พอใจของคนตัวสูงทักขึ้น ใบหน้าน่ารักพอเอียงมองแบบนั้นยิ่งดูน่ารักเข้าไปใหญ่ ถ้าเป็ปลื้มเมื่อก่อนเจอแบบนี้ไปคงใจสั่นไม่ไหวเป็แน่ แต่พอเป็ปลื้มในตอนนี้มันกลับดูน่าหงุดหงิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เอียงคอเพื่ออะไรอะ ปวดคอหรอ
“เปล่า” ร่างสูงเอ่ยตอบไปแบบเสียงนิ่งๆ “ผมเอาข้าวไข่เจียวครับ” เมนูนี้ก็โคตรจะสิ้นคิด ทำไมกูต้องมายืนสั่งข้าวไข่เจียวที่ร้านอาหารตามสั่งทำไมไม่ไปสั่งที่ร้านขายข้าวไข่เจียว
แต่ช่างแม่งเถอะสั่งๆไปก่อนไม่ค่อยอยากยืนอยู่ตรงนี้เท่าไร
“ไข่เจียวแครอทหมูยอสองจานครับ” แทนหันไปบอกกับแม่ค้าในตอนแรกเธอมีสีหน้างงนิดหน่อยก่อนจะพยักหน้าเข้าใจว่าแทนสั่งเผื่อพ่อหนุ่มอีกคนด้วย
“คนเดียวกินสองจานเลยหรอ”
“เราสั่งให้ปลื้มด้วยน่ะ” พอได้ยินแบบนั้นอยู่ดีๆมุมปากหยักมันก็กระตุกขึ้นมา
ทีแบบนี้ทำไมกูถึงใจสั่นได้วะ
“กะเพราไข่ดาวได้แล้วจ้ะ” อาหารที่ทำเสร็จใหม่ๆมีควันลอยฉุยออกมาพร้อมกับกลิ่นหอมยั่วน้ำย่อยถูกวางลงตรงหน้าแทน มือเรียวหยิบมันขึ้นมาก่อนจะส่งให้กับเรน
“ยังไม่ไปผุดไปเกิดอีกหรอ” ยังไม่ทันที่คนตัวเล็กจะได้รับจานข้าวมาจากอัลฟ่าตรงหน้าเสียงของจีนก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“เรารอจีนไปเกิดก่อนน่ะ” เรนบอกพร้อมกับรอยยิ้มใสซื่อขัดกับประโยคที่พึ่งพูดออกมา
“ไอ้แทน” เสียงของทิมมี่ฟังดูจะกดต่ำกว่าปกติ
“แค่บังเอิญเจอน่ะ” แทนหันไปตอบก่อนจะหันไปมองแม่ค้าที่กำลังทำข้าวไข่เจียวให้เขาต่อไม่ได้สนใจอะไรเรนอีก
“ก็บาปหนักอะเน๊าะคงไปเกิดช้าหน่อย”
“อันนี้หมายถึงเราหรือหมายถึงจีน”
“ถ้ากูบาปหนักแล้วมึงนี่จะบาปขนาดไหนอะ แต่ถึงขั้นต้องรอกูไปเกิดก่อนก็น่าจะบาปหนักกว่ากูมากอยู่นะ” ยิ้มมาก็ยิ้มกลับไปเลยสิ ยอมที่ไหน
“เราขอตัวก่อนนะ” ฝ่ามือขาวกำเข้าหากันจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อด้วยความโมโหที่ไม่สามารถเถียงให้ชนะคนตรงหน้าได้
“เดี๋ยวเรน...” แต่ยังไม่ทันที่เรนจะได้เดินจากไปเสียงทุ้มของปลื้มก็ดังขึ้นเพื่อรั้งอีกคนเอาไว้เสียก่อน
“ไอ้ปลื้ม” จีนกัดฟันพูดพร้อมกับหันไปมองเพื่อนสนิทจนตาแทบจะหลุดออกมาจากเบ้าพร้อมกับมือเรียวที่ถูกยกขึ้นมาหยิกสีข้างของเพื่อนสนิทตัวเอง
ไหนว่าจะตัดใจแล้วทำไมถึงยังได้อาลัยอาวรณ์มันอีก
“ลืมจ่ายเงินค่าข้าวอะ” แรงหยิกที่สีข้างเบาลงทันทีเมื่อร่างสูงเอ่ยออกมาจนจบประโยค
คนตัวเล็กหันไปมองตาขวางใส่ปลื้มด้วยความไม่พอใจ ใบหน้าของเขาแดงซ่านไปทั่วจนลามไปถึงใบหูไม่รู้ว่าเกิดจากความอับอายหรือความโกรธ
“สี่สิบห้าบาทจ้ะ”
“เร็วดิเดี๋ยวป้าเขารอนาน เขาต้องทำข้าวให้คนอื่นอีก” ทิมมี่เอ่ยเร่ง ใบหน้าหล่อเผยรอยยิ้มชอบใจออกมาอย่างที่ไม่คิดจะปิดเอาไว้แม้แต่น้อย
เรนควักเงินออกมาจากในกระเป๋ายื่นส่งให้กับแม่ค้า พอได้รับเงินทอนมาก็รีบเดินแยกออกไปทันที
“กูคิดว่าจะกลับไปเป็ควายอีก”
“คิดว่าจะกลับไปเป็ควายอีกรอบ”
จีนกับทิมมี่หันมามองหน้ากันอย่างรวดเร็วเมื่อประโยคที่เขาทั้งคู่พึ่งพูดออกไปนั้นคล้ายกันโดยไม่ได้นัดหมาย ดูท่าแล้วพวกเขาน่าจะต้องได้จับเข่าคุยกันเื่อื่นอีกนอกจากเื่ปลื้มแทนแล้วล่ะ
“เย็นนี้ไปร้านหมูปะทะกันป่ะ” หลังจากที่นั่งกินข้าวไปคุยกันไปได้สักพักจีนก็เอ่ยชวนขึ้นมา พร้อมกับปลายเท้าเรียวที่เตะไปที่หน้าแข้งของทิมมี่ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามเขาพอดีเป็การส่งซิกเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่คนกวนตีนก็คือคนกวนตีน
ทิมมี่ยิ้มเ้าเล่ห์ส่งไปให้คนตัวเล็กก่อนจะแกล้งเขี่ยเท้าขึ้นไปตามเรียวขาสวยภายใต้กางเกงนักศึกษาที่อีกคนใส่ขึ้นไปได้ถึงแค่หัวเข่าก็ต้องหยุดไว้เพราะคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามถลึงตาใส่จนกลัวว่าตาจะหลุดออกมาจากเบ้า
“เออไปดิ กูไม่ได้กินหมูกระทะนานละ” ร่างสูงเอ่ยขึ้นสมทบก่อนจะผละปลายเท้าออกไปจากขาของอีกคน
ร้านหมูปะทะที่จีนพูดถึงคือร้านหมูกระทะที่อยู่ไม่ไกลจากรั้วของมหาวิทยาลัยมากนัก เป็หนึ่งในร้านยอดฮิตของนิสิตนักศึกษาหลายคน สายรหัสของปลื้มเองก็เคยนัดเลี้ยงกันที่นี่อยู่หลายครั้งเหมือนกัน
“แหมเกิดอยากจะกินขึ้นมาเลยนะคะ” เจสซี่ที่กำลังซดน้ำก๋วยเตี๋ยวด้วยความเอร็ดอร่อยอยู่ถึงกับต้องหยุดทุกอย่างลงเพื่อมาพูดกระแนะกระแหนทิมมี่โดยเฉพาะ
“จะว่าไปก็ไม่ได้นั่งกินหมูกระทะด้วยกันนานแล้วนะ” พีคเสริมขึ้น
“เออจริง”
“ไปก็ไปค่าสาว เพื่อนไปเจสไปอยู่แล้ว”
“เริ่ดดดดด”
“กูขอบายนะ” แทนที่จัดการกับข้าวไข่เจียวตรงหน้าหมดแล้วพูดขึ้นมา
“เพื่อนไปกันหมดมึงจะไม่ไปได้อย่างไง” ปลื้มแย้ง
“กินหมูกระทะแล้วหัวเหม็น กูพึ่งสระผมมา” มือบางยกขึ้นจับที่เส้นผมของตัวเอง “ี้เีสระอีก”
“มันจะอะไรกันนักหนาหรอคะกะอิแค่สระผมอีกสักรอบ”
“ก็กูี้เี” ก็คนมันี้เีสระผมใหม่ไม่เข้าใจกันหรือไง
“งั้นเดี๋ยวกูสระให้” คำพูดของปลื้มที่โพล่งขึ้นมาทำเอาทุกคนต่างหันมามองเป็ตาเดียว แต่เ้าตัวกลับตักข้าวเข้าปากหน้าตาเฉยเหมือนเื่ที่พึ่งพูดออกไปนั่นเป็เื่ปกติธรรมดาทั่วไป
เขาก็แค่พูดออกไปอย่างนั้นไม่ได้คิดอะไร เพราะรู้ดีว่าอย่างไงแทนก็คงจะต้องปฏิเสธกลับมาอยู่แล้ว
“มึงพูดเองนะ”
“?”
“งั้นกูไป แต่มึง” นิ้วชี้เรียวยาวชี้มายังใบหน้าของปลื้ม “ต้องสระผมให้กูด้วย”
“ดีลค่า” ขิมพูดขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มกว้างไม่ได้มองหน้าของปลื้มเลยว่าแปลกใจแค่ไหนที่แทนยอมตกลงง่ายดายขนาดนี้
จีนกับเจสซี่หันหน้ามองกันอัตโนมัติ เขาทั้งคู่ส่งยิ้มให้กันก่อนที่ใบหน้าของทั้งสองคนจะพยักลงช้าๆ
“มึงกับอิเจสแม่งโคตรน่ากลัว” ทิมมี่กระซิบบอกกับคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“หุบปากแล้วแดกไป” จีนเองก็สวนกลับด้วยเสียงที่เบาลงจากปกติเช่นกัน ดวงตากลมจับจ้องไปยังใบหน้าหล่อกวนของคนตรงหน้าก่อนจะกดสายตาลงต่ำมองไปยังจานข้าวที่ถูกทานไปไม่ถึงครึ่ง
ร่างสูงยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือหัวเหมือนยอมแพ้ก่อนจะตั้งใจกินอาหารตรงหน้าต่อไป
“แววกลัวเมียออกั้แ่ยังไม่ได้คบ” บาสที่นั่งอยู่ข้างๆเก่งแล้วมองเห็นการกระทำของทิมมี่ั้แ่ต้นโน้มตัวไปกระซิบกระซาบกับสกาวฟ้าที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายของเขา
“โบ้แน่ๆแบบไม่ต้องเสียเวลาเดา”
“ชิ้นนี้ของกู ไอ้ทิมมี่!” เสียงโวยวายของจีนดังขึ้นอย่างไม่อายคนอื่นในร้านเมื่อหมูที่เขาย่างไว้ถูกฉกฉวยไปต่อหน้าต่อตาด้วยฝีมือของคนคนเดิม จีนจะไม่อะไรเลยถ้าหากว่านี่เป็ชิ้นแรกแต่นี่มันชิ้นที่ห้าแล้วที่โดนแย่งถ้าจะให้จีนยอมอยู่เฉยๆก็อย่ามาเรียกเขาว่าลูกคนเลย
“อยากได้คืนก็มาเอาดิ” ทั้งที่เคี้ยวหมูอยู่เต็มปากแต่ก็ยังพยายามที่จะพูดออกมา สุดท้ายก็ได้ฝ่ามือบางมาเป็รางวัล
เพียะ
เต็มๆเน้นๆที่ปากหยัก คิ้วคมขมวดเข้าหากันอย่างรวดเร็วเมื่อความเจ็บแผ่ซ่านไปทั่วทั้งริมฝีปากของเขา
“ขออนุญาตสมน้ำหน้านะคะ”
“เดี๋ยวเถอะอิเจส”
“ทางนั้นก็แย่งกันแดกไปสิ ส่วนทางนี้ไม่คิดจะเก็บไว้แดกเองบ้างเลยหรอคะ”สกาวฟ้าที่นั่งอยู่ทางด้านขวาของแทนพูดขึ้นพร้อมกับวางตะเกียบลงบนจานแล้วเท้าคางมองหน้าของปลื้ม หลังจากที่เธอเห็นว่าหมูที่เต็มอยู่ในจานของแทนเป็ฝีมือของปลื้ม ในขณะที่จานของเ้าตัวนั้นมีแต่ผัก หรือว่าปลื้มมันเป็มังสวิรัติวะ
“ก็แค่ไม่ชอบหมูติดมัน” เลยคีบๆให้ไปอย่างนั้นจะปล่อยไว้บนกระทะก็กลัวจะไหม้ไม่มีคนกิน
“ถามกูบ้างก็ดีว่ากูชอบมั้ย” แทนสวนขึ้นมา
คีบให้จนพูนจานไม่ถามกูสักคำว่าอยากกินมั้ย สามชั้นทั้งนั้นแดกไปไม่เลี่ยนมันตายห่าเลยหรอ
“มึงไม่ชอบหรอ” ปลื้มถามออกมาเสียงหงอยๆ
“เออ” คนฟังหูลู่หางตกลงในทันตา “แต่ก็กินได้” แล้วก็ยิ้มออกมาจนลักยิ้มโผล่
มันจะดีใจอะไรขนาดนั้นวะปลื้มกับอีแค่เขาบอกว่ายอมกินหมูที่มึงปิ้งให้ก็ได้น่ะ
“ปลื้มไม่ไหวแล้วแต่น่าจะยังไม่รู้ตัว” พีคหันไปกระซิบกับเก่ง
“เมื่อไรเพื่อนกูจะรู้ตัวสักทีนะ”
ปาร์ตี้หมูกระทะผ่านไปอย่างครึกครื้น หลังจากที่ทิมมี่แย่งหมูจีนไปสิบกว่าชิ้นในตอนหลังเ้าตัวก็ผันตัวเองมานั่งย่างหมูให้คนตัวเล็กกินแทน แถมมีบริการเสริมเป็การลุกเดินไปเติมน้ำให้ตลอด ส่วนทางด้านปลื้มกับแทนก็ผลัดกันย่างหมูให้อีกคนถ้าปลื้มกินอยู่แทนก็จะย่างถ้าแทนกินอยู่ปลื้มก็จะย่าง ส่วนหมูสามชั้นที่เคยพูนอยู่ในจานแทนก็ถูกกระจายไปให้เพื่อนคนอื่นช่วยกิน
และผักในจานของปลื้มก็มักจะถูกคีบเติมให้อยู่ตลอดด้วยฝีมือของร่างบางที่นั่งอยู่ข้างเขานั่นเองโดยเฉพาะผักกาดขาวที่เ้าตัวดูจะชอบกินมากเป็พิเศษ แทนเอื้อมมือไปหยิบผักในตะกร้าขึ้นมาเขาเลือกเด็ดเอาเฉพาะแค่่ใบของผักกาดขาวเติมลงไปหลังจากที่สังเกตคนที่นั่งอยู่ข้างเขามาได้สักพักก็พบว่าเ้าตัวนั้นไม่แตะก้านของมันเลยน่าจะเพราะไม่ชอบดังนั้นการที่ไม่ใส่ก้านลงไปแต่แรกคงเป็ทางเลือกที่ดีที่สุด
ทุกอย่างผ่านเกิดขึ้นเหมือนเื่ธรรมดาทั่วไปไม่ได้พิเศษอะไร เหมือนเื่ที่เพื่อนคนหนึ่งทำให้กัน แต่ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันแสดงออกถึงการใส่ใจเล็กๆน้อยๆที่ต่างฝ่ายต่างมีให้กัน
“สระดีๆอย่าให้น้ำเข้าตากู”
หลังจากที่กินหมูกระทะกันจนอิ่มทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนเพราะพรุ่งนี้ยังต้องตื่นมารบรากับวิชาที่ต้องเรียบนอีก ส่วนปลื้มก็แยกมากับแทนเขาขับรถยนต์ตามบิ๊กไบค์คันสีดำสนิทจนมาถึงบ้านหลังเดิมที่เคยมาแล้วสองครั้ง และนี่ก็เป็อีกครั้งที่เขาได้เข้ามาด้านในแถมยังได้ขึ้นมาถึงชั้นสองของบ้านซึ่งเป็พื้นที่ของห้องนอนร่างบางอีกด้วย
“มึงก้มหน้าอยู่มันจะไปเข้าตามึงได้ยังไง” ร่างสูงเถียงกลับไป
“ก็มันเปียกมาถึงหน้าผากกูแล้วเนี่ย”
“มึงก็ระวังสิ”
“คนระวังก็ต้องมึงสิ”
ปลื้มแอบกลอกตามองบนเขาล่ะเหนื่อยจะต่อปากต่อคำกับคนคนนี้จริงๆ
พอศีรษะของอีกคนเริ่มเปียกพอประมาณแล้วฝักบัวก็ถูกปิดลง แชมพูสระผมถูกบีบลงบนฝ่ามือหนาเขาถูฝ่ามือหนาก่อนจะถูกลงบนเส้นผมสีดำขลับนุ่มลื่นมือและเริ่มขยี้เบาๆให้มันมีฟอง ก่อนจะออกแรงนวดให้อีกคนรู้สึกสบายหัวมากขึ้น
“มีคนสระผมให้ก็ดีเหมือนกันว่ะ” ร่างบางที่รู้สึกสบายหัวเพราะน้ำหนักมือที่อีกคนใช้นวดให้ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเอ่ยพึมพำออกมา
“มึงก็ไปสระที่ร้านดิ”
“เปลืองตังค์ ให้มึงสระให้ดีกว่า”
“...”
“ฟรี”
ถึงแม้ว่าจะเป็เหตุผลนี้แต่ก็พอให้อภัยได้
นวดไปสักพักปลื้มก็เปิดฝักบัวอีกครั้งเพื่อล้างฟองออกไป เขาบีบแชมพูเพื่อสระผมให้แทนอีกรอบและในรอบที่สามเขาก็เปลี่ยนมาใช้ครีมนวดเพื่อนวดผมให้อีกคนแทนก่อนจะล้างออกจนมั่นใจว่าผมของอีกคนสะอาดแล้วจริงๆเขาจึงปิดน้ำ แล้วเอี้ยวตัวไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาเช็ดผมให้กับร่างบาง
ใบหน้าหล่อก้มต่ำลงไปจนปลายจมูกชิดกับกลางศีรษะของร่างบางที่ยังเปียกอยู่ เขาสูดกลิ่นหอมของแชมพูและครีมนวดเข้าไปเต็มปอดก่อนจะผละออกมา ซึ่งเป็จังหวะเดียวกับที่ร่างบางเงยหน้าขึ้นมาพอดีหลังจากที่ก้มหัวให้อีกคนสระผมให้อยู่นานพอสมควร
“หอมแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยบอกโดยที่สายตาของทั้งคู่ยังคงสบประสานกันอยู่
“อือ” แทนขานรับในลำคอ แต่กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอก็นานเอาเื่อยู่เหมือนกัน “กูไปรอข้างนอกนะ”
เมื่อเดินพ้นออกมาจากเขตประตูของห้องน้ำร่างบางก็ถอนหายใจยาวๆออกมาหนึ่งที มือเรียวข้างหนึ่งยกขึ้นไปจับผ้าเช็ดตัวที่คุมหัวอยู่ ส่วนอีกข้างถูกยกขึ้นมาทาบไว้ที่อก
ทำไมใจต้องเต้นแรงขนาดนี้ด้วยวะ
“ยืนทำไรอะ” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นด้านหลังเรียกสติของแทนให้กลับมาเขารีบยกมือขึ้นไปจับผ้าเช็ดตัวบนหัวไว้ทั้งสองมือทันที
“น้ำมันหยดกูเลยจะเช็ดให้มันหมาดก่อน” เสียงใสเอ่ยตอบกลับไปพร้อมกับขายาวที่เริ่มขยับเดินตรงไปที่เตียง
ปลื้มเดินตามร่างบางไปนั่งลงบนเตียงอย่างช้าๆ มือหนาวางทับลงบนฝ่ามือขาวที่กำลังจับผ้าเช็ดผมตัวเองอยู่ ก่อนจะออกแรงขยับมันเบาๆ
“เช็ดแรงขนาดนั้นเดี๋ยวผมมึงก็ร่วงหมดหรอก”
“...” เมื่อเห็นว่าอีกคนมีน้ำใจจะเช็ดผมให้ปรรณกรจึงละมือออกมาแล้วหยิบมือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเล่นแทน
“มึงมีไดร์เป่าผมมั้ย”
“มีแต่อยู่ในห้องน้องี้เีเดินไปเอา เช็ดแค่เท่าที่มันจะเช็ดให้แห้งได้ก็พอ”
“รังแคจะได้กินหัวมึง”
“อย่าบ่นน่า” ร่างบางเอ่ยขึ้นอย่างปัดๆเมื่อความสนใจทั้งหมดในตอนนี้ย้ายมาอยู่ที่โทรศัพท์ที่อยู่ในมือของตัวเองแทน “ปลื้ม”
“อะไร”
“ตอนนี้เราเป็เพื่อนกันแล้วใช่ป่ะ”
“ใช่มั้ง ก็มึงบอกเอง”
“แล้วถ้ากูถามเื่เรนมันจะดูเป็การละลาบละล้วงชีวิตมึงไปมั้ยวะ”
ตอนแรกก็ไม่ได้คิดจะพูดหรือถามถึงเื่นี้ขึ้นมาหรอก แต่มือมันดันเลื่อนไปเจอรูปของเรนเข้าพอดีเลยอดที่จะอยากรู้ขึ้นมาไม่ได้
“ขึ้นอยู่กับว่ามึงจะถามเื่อะไร”
“มึงสองคนชอบเอากันท่าไหน” พอได้ยินในสิ่งที่อีกคนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ฝ่ามือหนาที่บรรจงเช็ดเส้นผมสีเข้มนุ่มมืออยู่ก็ผลักเข้าที่ศีรษะของอีกคนอย่างแรง “โอ๊ย...กูล้อเล่นไอ้สัด”
“กวนส้นตีน”
“ถามจริงๆละ มึงสองคนก็ดูรักกันดี ทำไมถึงเลิกกันวะ”
“...” ปลื้มเงียบไปเมื่อถูกตั้งคำถามนี้มันเป็เพราะเขาเองก็ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร
“เรนมีคนอื่นหรือว่ามึงนอกใจเขา” แทนเริ่มตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่เงียบไม่พูดอะไร “เพราะมึงเข้าใจว่ากูกิ๊กกับเรนมึงเลยเลิกกับเขาหรอ”
“ไม่ใช่ สาเหตุที่คนเราเลิกกันมันไม่จำเป็ต้องเป็การนอกใจเสมอไปหรอก”
“ถ้าไม่สะดวกใจจะเล่าก็ไม่เป็ไรนะ กูเข้าใจว่าเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น” บางทีเื่แบบนี้การที่จะเล่าให้คนอื่นฟังมันอาจจะไม่สะดวกใจสักเท่าไร แทนเองก็พอจะเข้าใจ
“ที่จริงกูก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกว่ากูกับเขาเลิกกันเพราะอะไร”
“...”
“แต่การที่คนเราจะเลิกกัน รู้สึกต่อกันไม่เหมือนเดิมหรือหมดรักกันไปบางครั้งมันก็เป็เื่ของการละเลย การลืมเอาใจใส่กับเื่เล็กๆน้อยๆแต่สำหรับอีกคนมันอาจจะไม่ใช่แค่นั้น ไม่มีเวลาให้กัน การโดนทำร้ายความรู้สึกซ้ำๆ หรือบางครั้งก็อาจจะเป็เพราะมือของเราที่จับกันไว้ไม่แน่นพอ” หรือว่ามีแค่เราที่จับอยู่คนเดียวแต่อีกคนไม่ได้จับมือเราไว้ั้แ่แรก สารพัดเหตุผลมากมายที่ทำให้ความรู้สึกของเราเปลี่ยนไปจนไม่เหมือนกับวันแรกที่รู้สึก
“...”
“ชีวิตคู่มันมีอะไรที่มากกว่าแค่คำว่ารัก และการเลิกกันมันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่รักกันแล้ว”
“แสดงว่ามึงยังรักเขาอยู่”
“อือ ยังรักและมีความหวังดีให้เขาเสมอ” แม้ว่าจะเสียใจในหลายๆเื่ที่ตัวเองเอากลับมานั่งคิดก็ตาม
ความผิดหวังมันยังคงตกตะกอนอยู่ในใจของเขา แต่ความรักและความหวังดีที่เขามีให้เรนนั้นก็ยังคงมีอยู่ในฐานะคนที่เคยรักกัน เพียงแต่มันไม่มากเท่าเดิมอีกแล้วตัวปลื้มเองรู้สึกได้
แทนค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของคนที่กำลังเช็ดผมให้เขาอยู่จนในที่สุดดวงตาของทั้งคู่ก็สบเข้าหากัน ต่างฝ่ายต่างจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกคนที่มีเงาสะท้อนของตัวเองอยู่บนนั้น
ทีปกรเริ่มรู้สึกว่าใจของเขามันไม่เป็ของตัวเองอีกต่อไป