“ไง” เสียงของเก่งที่ดังขึ้นเรียกความสนใจจากปลื้มที่กำลังเหม่อมองวิวยามค่ำคืนอยู่ให้หันไปมอง อีกอาทิตย์เดียวก็จะเข้าสู่สัปดาห์แห่งการสอบมิดเทอมแล้ววันนี้พวกเขาทั้งสี่คนเลยมารวมตัวกันที่ห้องของปลื้ม เพื่ออ่านหนังสือ? เปล่าเลย แค่ทำเป็อ่านเท่านั้นเองให้พอมีทรงว่าตั้งใจเรียน
“ไงอะไรมึง” เ้าของห้องหันไปมองคนที่เดินตามเข้าออกมายังระเบียงด้านนอกห้อง
“่นี้ดูดีขึ้นนะ ดูไม่เหมือนคนอกหักแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยบอกโดยที่ปลายหางตาก็แอบมองไปยังเพื่อนสองคนที่กำลังพยายามทำตัวเล็กตัวน้อยยืนแอบฟังอยู่
จีนก็ยังพอได้นะแต่พีคอะมึงอย่าพยายามเลย
“หรอวะ”
“เออดิ ดูเหมือนมึงไม่ค่อยเสียใจเื่เรนเท่าไรเเล้ว” พอตไฟฟ้าที่มักพกติดตัวเองไว้เสมอถูกหยิบขึ้นมาจ่อที่ปาก เขาอัดนิโคตินเข้าไปในปอดตัวเองแล้วพ่นออกมาก่อนจะยื่นมันไปตรงหน้าปลื้ม
“ไม่อะ” ร่างสูงส่ายหัวปฏิเสธ
“เลิกขาดเลยดิ เห็นปกตินานๆที่ยังดูดบ้าง” ปลื้มไม่ใช่คนสูบบุหรี่แต่มันเป็โรคชอบพกไฟแช็กหนักถึงขั้นมีสะสมไว้เป็คอลเลคชั่น ส่วนพอตไฟฟ้าก็เคยดูดบ้างแต่นานๆครั้งเท่านั้น
“เออ ว่าจะเลิกขาดแล้ว”
“ทำไมหน้ามึงชอบเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาเลยว่ะ” เก่งอดจะถามขึ้นมาด้วยความสงสัยไม่ได้ “เครียดเื่อะไรคุยกับพวกกูได้นะเว้ย”
สองสามวันมานี้ปลื้มทำตัวแปลกไปจนพวกเพื่อนรู้สึกได้ เขาชอบนั่งเหม่ออยู่บ่อยครั้งและทำเหมือนกำลังคิดมากเื่อะไรสักอย่างอยู่ตลอดเวลาแต่เ้าตัวกลับไม่ยอมปริบอกใครเลยแม้แต่จีนเองก็ยังไม่รู้ พวกเขาสามคนเลยรวมหัวกันแล้วก็ตั้งข้อสมมติฐานขึ้นมาว่าการที่ปลื้มไม่พูดมันออกมาอาจเป็เพราะไม่มีคนไปถามก็เป็ได้
ปลื้มเป็คนประเภทที่ถ้าเพื่อนไม่ถามเขาก็ไม่อยากจะเล่าเื่ของตัวเองออกมาเพราะกลัวว่าเพื่อนจะไม่ได้อยากรู้เื่ของเขาหรือถ้าเขาพูดไปแล้วเพื่อนเอาเื่ของเขาไปเครียดต่อปลื้มก็จะรู้สึกไม่ค่อยโอเคสักเท่าไร แต่ถ้าเื่ไหนที่สำคัญๆแล้วคิดว่าเพื่อนควรจะรู้ปลื้มก็จะบอกมันออกมาเองเหมือนอย่างตอนที่เลิกกับเรน
พวกเขาทั้งสามคนจึงตัดสินใจที่จะจับไม้สั้นไม้ยาวกันเพื่อหาตัวแทนเข้าไปคุยเื่นี้กลับปลื้มซึ่งหวยก็มาออกที่เก่งอย่างที่เห็น แต่ก็ได้ตกลงกันว่าถ้าถามแล้วปลื้มไม่เล่าก็จะไม่เร้าหรือให้ปลื้มต้องลำบากใจ อย่างไรซะพวกเขาก็เป็เพื่อนของปลื้ม
เพื่อนไม่จำเป็ต้องรู้ทุกอย่างในชีวิตของเพื่อนแต่ควรจะคอยซัพพอร์ทและให้กำลังใจในทุกเื่ที่เพื่อนของเราต้องเจอ เป็คนที่ไม่ว่าจะหันหลังมากี่ครั้งก็จะเห็นอยู่ตลอดมันควรจะเป็แบบนั้นมากกว่า
“ก็คิดอยู่จริงๆนั่นแหละ” ดวงตาคมย้ายจากภาพวิวเยื้องหน้าที่แสนวุ่นวายมามองมือหนาของตัวเองที่จับผสานกันอยู่
“กูถามได้มั้ยว่าเื่อะไร” เก่งลองหยั่งเชิง “แต่ถ้ามึงไม่สะดวกใจจะเล่าไม่เล่าก็ได้นะ กูเข้าใจ” เขาบีบมือลงบนบ่ากว้างของคนตรงหน้าเหมือนการให้กำลังใจ ก่อนจะยกพอตไฟฟ้าขึ้นมาดูดอีกรอบ
“กูแค่กำลังสงสัยตัวเอง” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง “มีหลายเื่ที่กูทำมันลงไปแบบไม่มีเหตุผลเลยว่ะ”
“อย่างไงวะ”
“การกระทำของกูหลายอย่างๆมันไม่มีเหตุผลเลยว่ะ ว่าทำไมกูถึงต้องทำแบบนั้น ทั้งที่คนเราเวลาจะทำอะไรมันควรจะมีเหตุผลมารองรับไม่ใช่หรอวะ”
คณะรัฐศาสตร์สอนให้เขาเป็คนใช้เหตุผล รู้จักชั่งน้ำหนักทั้งในการกระทำและคำพูด แต่ตอนนี้เหมือนเขากลับหาเหตุผลให้กับการกระทำของเขาไม่ได้เลย
“เช่น?” เก่งเอนตัวไปพิงกับราวระเบียงเพื่อให้ตัวเองได้ยืนในท่าที่สบายขึ้น เพราะดูจากรูปการณ์แล้วเื่อาจจะยาว
“กูอยากให้ฝนตก”
“ทั้งที่มึงไม่ชอบฝน”
ใช่ปลื้มไม่ชอบฝนขนาดตอนที่กำลังตามจีบเรนอยู่แล้วรู้ว่ากลิ่นฟีโรโมนของอีกคนเป็กลิ่นฝนมันยังทำให้ปลื้มหนักใจขึ้นมาเลยว่าเขาควรที่จะไปต่อหรือพอดี ก็ในเมื่อเขาไม่ชอบหน้าฝนแล้วจะให้ทนได้กลิ่นฝนตลอดไปได้อย่างไร แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจขอเรนคบเพราะคิดว่าเขาไม่ชอบหน้าฝนแต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ชอบกลิ่นฝน และไม่แน่ว่าเขาอาจจะรู้สึกดีกับหน้าฝนขึ้นมาบ้างก็ได้ คบกันมาได้สักพักเขาก็เริ่มชินกับกลิ่นของเรนมากขึ้นแต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามันหอมแบบฉุนจมูกเกินไปแล้วเขาก็ยังไม่ได้รู้สึกดีกับหน้าฝนขึ้นมาอยู่ดี
“อือ”
“ทำไมวะ”
“กูเริ่มชอบกลิ่นเย็นๆที่มันมากับฝนแล้วว่ะ”
เก่งถึงกับต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ทำไมถึงชอบวะ”
“กูก็…ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ะ” มันอาจจะเป็เพราะพอได้กลิ่นนั้นแล้วมันรู้สึกสบายใจขึ้นมาเหมือนตอนที่ได้อยู่ใกล้ใครบางคน ทั้งที่คนคนนั้นไม่เคยทำอะไรให้แถมชอบทำหน้าเหมือนไม่พอใจเขาอยู่ตลอด
“ถ้าไม่แน่ใจ แสดงว่ามึงก็พอจะเดาได้ว่าเป็เพราะอะไรแค่ยังไม่กล้าฟันธงในคำตอบ”
“แล้วบางครั้งกูก็รู้สึกเหมือนไม่ชอบใจในการกระทำของเรนขึ้นมา” ทั้งที่เมื่อก่อนเขาไม่เคยเป็แบบนี้เลย
“อันนี้น่าจะมีเหตุอยู่นะกูว่า”
“เหตุผลอะไร”
“ก็มึงไม่พอใจที่เขาทิ้งมึงไปไง” เก่งพลิกตัวกลับมายืนท่าเดิมอีกครั้ง “ใครจะไปชอบคนที่เคยทำให้เราเจ็บวะ”
“…” แต่ทำไมตัวเขากลับรู้สึกว่าไม่ใช่แค่เื่นี้เื่เดียวล่ะ เพราะทุกครั้งที่ความรู้สึกไม่พอใจเรนผุดขึ้นมา มันจะต้องมีคนอื่นอยู่ในสถานการณ์นั้นด้วย
“แต่ลึกๆมึงอาจจะยังฝังใจว่ารักเรนอยู่ เลยไม่อยากจะยอมรับว่าความรู้สึกของมึงที่มีให้เรนมันเปลี่ยนไปแล้ว”
“…”
“กูว่าทุกการกระทำของมึงมันมีเหตุผลนะ”
“…”
“ตัวมึงเองก็อาจจะรู้เหตุผลนั้นดีที่สุดเลยด้วย แค่มึงไม่ยอมรับมัน”
“มึงไม่พอใจเวลาที่อิเรนมันอยู่ใกล้แทนก็พูดมาตรงๆเถอะปลื้ม” ประตูระเบียงที่ถูกแง้มไว้ด้วยฝีมือของเก่งเพื่อให้คนในห้องได้ยินบทสนทนาที่พวกเขาคุยกันถูกเปิดออก พร้อมกับร่างของโอเมก้าตัวเล็กที่เดินเข้ามาหาอัลฟ่าหนุ่มทั้งสองคน “มึงน่ะชอบแทนแล้วใช่มั้ยล่ะ” นิ้วชี้เรียวถูกยกขึ้นมาชี้หน้าเพื่อนตัวเอง
“พวกมึงนี่นะ” ดวงตาไล่มองใบหน้าของเพื่อนทีละคนั้แ่เก่งที่ยืนอยู่ใกล้กับเขามากที่สุดไปยังจีนแล้วก็พีคที่ยังยืนอยู่ในห้อง
“พวกกูเป็ห่วงมึงเลยส่งไอ้เก่งมาถามแต่ถ้ามึงไม่อยากเล่าก็ไม่ได้จะคาดคั้นอะไร” ไหล่บางไหวขึ้นเล็กน้อยเมื่อพูดจบ
“ไม่ใช่ไม่อยากเล่าแค่จัดการกับตัวเองให้ได้ก่อนแล้วค่อยบอกพวกมึงทีเดียว”
“จัดการความรู้สึกอะหรอ”
“อือ ประมาณนั้น” มือหนาแตะลงที่ไหล่ของเก่งก่อนจะจับตัวจีนให้หมุนกลับหลังแล้วออกแรงดันให้คนตัวเล็กเดินไปด้านหน้าแทนการบอกว่าให้กลับเข้าห้องกันได้แล้ว ขืนยังยืนคุยกันต่อยุงน่าจะได้หามกันไปทั้งสี่คนเพราะแม่งเล่นเปิดประตูระเบียงทิ้งกันไว้ด้วย “ไม่ใช่ว่ากูไม่รู้ว่าความรู้สึกดีที่มันเริ่มเกิดขึ้นคืออะไรกูแค่กำลังสับสนว่ามันเร็วไปมั้ย”
“...”
“กูพึ่งเลิกกับจีนได้ไม่เท่าไรเอง ทำไมกูถึงได้หวั่นไหวกับคนอื่นง่ายจัง”
“กูว่าช้าเร็วแม่งไม่เกี่ยวหรอก รู้สึกก็คือรู้สึก” พีคพูดขึ้นหลังจากที่เขาจัดการปิดประตูระเบียงเรียบร้อยแล้ว
“จริงอันนี้กูเห็นด้วยกับไอ้พีคนะ” เก่งเสริมขึ้นมา “มึงไม่เคยได้ยินหรอรักไม่้าเวลา”
“คนเราใช้เวลาแค่เสี้ยววิเท่านั้นแหละในการตกหลุมรักใครคนหนึ่งอะ” จีนบอกพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงบนพื้น
“เหมือนอย่างที่ไอ้ทิมมี่ตกหลุมรักมึงอะหรอ”
“หุบปากไปเถอะถ้าจะพูดแต่อะไรแบบนี้ออกมาอะ” จีนหันไปวีนใส่พีคที่กำลังส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้กับเก่ง “บางทีมึงอาจจะตกหลุมรักแทนมันั้แ่วันนั้นแล้วก็ได้” แล้วก็หันไปคุยกับปลื้มต่อ
“ทฤษฎีนี้เป็ไปได้”
“ถ้าชอบก็จีบเลยเพื่อน ลุยเลยกูเชียร์”
“มันไม่ง่ายขนาดนั้นอะดิ” ปลื้มเอ่ยขึ้นก่อนจะถอนหายใจออกมา
“แล้วมันยากตรงไหน”
“ตรงที่เรนก็ชอบไอ้แทนเหมือนกัน” อีกเื่ที่ทำให้ปลื้มเก็บกลับมาคิดและไม่อยากจะยอมรับความรู้สึกของตัวเองก็คือเื่นี้
“เกี่ยวไรกันอะ”
“มึงว่ามันไม่แปลกๆหรอ ที่คนเคยเป็แฟนกันดันมาชอบคนคนเดียวกันอะ”
“มันก็ทะแม่งๆอยู่นะ แต่มันก็อยู่ที่ตัวไอ้แทนอะ ว่ามันจะเลือกใคร”
“ซึ่งคงไม่เลือกกู”
“ทำไมคิดงั้นก่อน” จีนถามขึ้นมาด้วยใบหน้าที่เหมือนจะหงุดหงิดอยู่นิดหน่อย
“เพราะกูเป็อัลฟ่าไง” มันเป็เื่ที่คนอื่นไม่ยอมรับอยู่แล้วความสัมพันธ์ระหว่างอัลฟ่ากับอัลฟ่านะ
“มึงพูดงี้คือมึงเหยียดหรอ”
“กูไม่ได้เหยียดแต่กับแทน...มันอาจจะชอบโอเมก้ามากกว่าก็ได้”
“อันนี้ก็อาจจะจริง” เก่งพยักหน้าเห็นด้วย ถึงพวกเขาจะยอมรับความสัมพันธ์ของอัลฟ่ากับอัลฟ่าได้แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะยอมรับได้เหมือนกัน
บางคนที่บอกว่าเปิดใจก็เปิดแค่ปากนั่นแหละแต่ใจไม่ได้เปิดด้วยเลย
“กูว่าเื่นี้น่าหนักใจกว่าเื่ของเรนอีกว่ะ”
“แต่เราจะไปคิดแทนคนอื่นก็ไม่ได้ป่ะ บางทีมันอาจจะโอเคก็ได้”
“กูก็ไม่ได้จะคิดแทน แต่กูแค่คิดเผื่อ” ที่สำคัญความประทับใจแรกก็โคตรจะติดลบเพราะกูเดินไปต่อยเขากลางร้านเหล้าทั้งที่เขาไม่ได้ทำเหี้ยอะไรผิดเลย
“แต่มันก็ต้องลองป่ะ เราไม่ควรยอมแพ้ั้แ่ยังไม่ได้เริ่มดิ”
“...”
“เลือกทำอะไรที่จะไม่ทำให้มึงต้องมานั่งเสียดายทีหลังดีกว่านะกูว่า”
“แล้วเรนล่ะ” ปลื้มไม่สามารถตัดเรนออกไปจากปัญหาที่เขากำลังเจออยู่ได้เลยจริงๆ
“ถึงเขาจะเป็คนที่มึงเคยรักแต่มันก็แค่เคยอะ มึงแคร์ทุกคนบนโลกไม่ได้นะปลื้มมันเหนื่อยเว้ย กูว่ามึงแคร์แค่ตัวเองกับคนที่เขายังอยู่ข้างมึงดีกว่า”
“พวกมึงเห็นด้วยใช่มั้ยถ้ากูจะลองจีบไอ้แทนดู”
“ลุยไปเลยเพื่อน”
“ถ้ามึงอกหักเดี๋ยวกูจองโต๊ะร้านเหล้าให้เอง”
ขอบคุณนะไอ้พีคกูอุ่นใจมาก ถุ้ย!
“เอาวะ ลองดูหน่อยก็ได้”
ร่างสูงของอัลฟ่าหนุ่มเ้าของกลิ่นสนในชุดเสื้อแขนยาวสีดำที่แขนเสื้อถูกถกมากองไว้ที่ข้อศอกอวดเส้นเืที่ปูดนูนขึ้นมาตามท่อนแขนกับกางเกงยีนสกินนี่สีเดียวกันกำลังยืนชะเง้อมองเข้าไปในบ้านหลังสีขาวสองชั้นที่เขาเคยมาหลังจากที่ปลายนิ้วหนากดกริ่งหน้าบ้านไปสองครั้งแต่ก็ยังไร้เงาของเ้าของบ้าน ถ้าจะกดอีกก็กลัวว่าข้างบ้านจะด่าหัวเอาเลยทำได้เพียงแค่ชะเง้อมองว่ามีรถคันเก่งของเ้าของบ้านจอดอยู่มั้ย
“ถามจริง” เสียงทุ้มแหบของคนที่ถูกรบกวนเวลาพักผ่อนดังขึ้นพร้อมกับร่างบางที่เดินเอื่อยมายังรั้วบ้านเพื่อพูดคุยกับแขกที่ไม่ได้นัดเอาไว้ “มึงมาทำไม”
“พระอาทิตย์จะตกอีกรอบแล้วมึงยังไม่ตื่นอีกหรอ” ปลื้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกแขนข้างที่สวมนาฬิกาเอาไว้ขึ้น
“เื่ของกู ถ้าไม่มีธุระอะไรก็กลับไปได้แล้ว”
“เฮ้ยเดี๋ยวดิ” ขาเรียวที่เตรียมจะหมุนตัวกลับเข้าไปในบ้านหยุดชะงักลง ก่อนใบหน้าสวยที่ยังงัวเงียอยู่จะเอี้ยวกลับไปมองหน้าของแขกไม่ได้รับเชิญอีกครั้ง “ี้เีอ่านหนังสืออะออกไปหาไรทำกัน”
“ไม่ กูจะนอน” ไร้เยื่อใยสุดๆ
“นอนมากๆจะปวดหัวนะเว้ย ไม่ส่งผลดีต่อร่างกายมึงด้วยออกไปหาอะไรทำกับกูดีกว่า” ร่างสูงยังคงไม่ยอมแพ้ในการที่จะเกลี้ยกล่อมอีกคน
“อะไร”
“ฮะ?”
“อะไรที่ว่าคือทำอะไร”
“ดูหนังมั้ย” ปลื้มเสนอ
“มึงแค่จะพากูไปเปลี่ยนที่นอนหรอ”
“งั้นไปเดินเล่นกันหาซื้ออะไรมาทำกินที่บ้านมึงก็ได้”
“เพื่อนมึงไม่มีหรอปลื้ม” ร่างบางขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย
“มี แต่กูอยากไปกับมึง แค่มึง”
ความเงียบที่ได้รับจากอีกคนทำให้ปลื้มเกือบจะถอดใจก่อนริมฝีปากหยักจะเผยรอยยิ้มกว้างออกมาจนลักยิ้มบุ๋มลงไปทั้งสองข้างเมื่อมือเรียวหยิบลูกกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกงนอนที่ใส่อยู่แล้วใช้มันเพื่อเปิดประตูให้กับเขา
“รอกูอาบน้ำก่อนแล้วกัน”
“ตามสบายครับ” เอ่ยตอบอย่างยิ้มแย้มเหมือนคนอารมณ์ดีมาสิบชาติ
“...” แทนกลอกตามองบนหนึ่งทีก่อนจะเดินหายขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน
ปลื้มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นค่าเวลาระหว่างรออีกคนอาบน้ำแต่งตัว เขาเสิร์ชหาอาหารที่อยากทานแล้วคิดว่าอีกคนน่าจะทำได้ก่อนจะโน้ตมันเอาไว้ เวลาผ่านไปไม่นานเสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น ปลื้มจึงละสายตาออกจากหน้าจอของโทรศัพท์ในมือขึ้นไปมองยังชั้นสองแต่ก็ไร้วี่แววของแทน
“กูออกไปเปิดประตูให้นะ” เสียงทุ้มะโบอกกับคนที่อยู่้า มือหนาหยิบลูกกุญแจที่ร่างบางวางไว้ที่ชั้นหน้าประตูขึ้นมาก่อนจะเดินออกไปหน้าบ้านเพื่อดูว่าแขกที่มาใหม่คือใคร
“ปลื้ม?” ขิมที่ยืนอยู่หน้าบ้านของแทนเอ่ยชื่อคนที่กำลังเดินมาเปิดประตูให้เธอด้วยความไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
“อ้าวขิม มาหาแทนหรอ”
“ใช่ๆ พอดีเราเอาชีทที่หยิบติดมือไปมาคืนมันอะ” ชีทเรียนปึกหนึ่งถูกยกขึ้นมาให้อีกคนเห็น
“อ๋อ เข้ามาก่อนดิ แทนอาบน้ำอยู่น่ะ”
ขิมหน้าแดงขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น นี่ไปถึงขั้นไหนกันแล้ววะเนี่ยไม่ได้การละ แบบนี้ต้องรายงานให้ทีมรู้เื่ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าไปในแชทกลุ่มที่มีทั้งฝั่งศิลปกรรมฯและรัฐศาสตร์เพื่อรายงานสถานการณ์ทันที แต่ยังไม่ทันที่จะได้กดส่งสายเรียกเข้าจากผู้เป็แม่ก็ปรากฏขึ้นมาเสียก่อนจึงทำให้เธอนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองและมารดามีนัดกันในวันนี้
“เราฝากปลื้มให้แทนหน่อยได้มั้ย พอดีเราต้องรีบไปทำธุระกับแม่อะ”
“ได้ๆ” ร่างสูงยื่นมือไปรับชีทเรียนมาจากคนตรงหน้า
“ฝากด้วยนะ บายปลื้ม”
“บายครับ”
“อย่าพูดครับ” ขิมชะงักมือที่จะกดรับสายเอาไว้ก่อนจะยกมือขึ้นมาห้ามปลื้ม
“ทำไมอะ”
“มันผัว” ปลื้มยิ้มเอ็นดูหญิงสาวออกมา “ไปจริงๆละ”
“ใครมาวะ” พอร่างสูงเดินกลับเข้าๆไปในบ้านแทนก็เดินลงมาจากชั้นบนพอดี
“ชุดคู่ป่ะเนี่ย” อัลฟ่าหนุ่มเอ่ยอย่างยิ้มๆ เมื่อเห็นชุดที่อีกคนใส่
ท่อนบนของแทนถูกสวมทับด้วยเสื้อแขนยาวสีน้ำเงินลายขวางแขนเสื้อถูกถกมาไว้เหนือข้อศอกคล้ายกับปลื้มส่วนท่อนล่างก็สวมกางเกงยีนสีดำเข้ารูปไว้เหมือนกับปลื้มเช่นกัน
“เอาไรมาคู่ แค่เอแม่งก็คนละสีละ”
“ถ้าใจเราคู่อะ”
“ก็เชิญใจมึงคู่ไปคนเดียว” รองเท้าผ้าใบสีขาวคู่โปรดถูกหยิบออกมาถือไว้ในมือเรียว “จะไปหรือยัง”
“เดี๋ยวดิ ขิมเอาชีทมาคืนมึงเนี่ย”
“ขิมมาหรอ” แทนใช้มือข้างที่ว่างหยิบชีทออกมาจากมือของร่างสูง เขาพลิกดูนิดหน่อยก่อนจะเดินเอามันไปวางไว้ที่โต๊ะในห้องนั่งเล่น
“ใช่ แต่มีธุระกับแม่ต่อเลยกลับไปแล้ว” เชื่อเถอะว่าตอนนี้ทุกคนคงรู้เื่ที่ปลื้มอยู่บ้านเขากันหมดแล้ว ไม่รู้ว่าแทนคิดมากไปหรือเปล่าแต่เขารู้สึกว่า่นี้พวกเพื่อนเขามันดูแปลกๆไปอย่างไงก็ไม่รู้ดูจะสนิทกับกลุ่มปลื้มแปลกๆด้วยทั้งที่แม่งพึ่งจะรู้จักกัน
“เชิญครับ” ร่างสูงเปิดประตูบ้านออกพร้อมกับผายมือให้อีกคนเดินออกไปก่อน แทนส่ายหัวให้การกระทำนั้นแต่ก็ยอมเดินนำออกไปแต่โดยดี
หลังจากที่ออกไปเดินเล่นซื้อของกันเสร็จอัลฟ่าหนุ่มทั้งสองคนก็กลับมาที่บ้านของแทนอีกครั้งใน่เย็น ซึ่งระหว่างที่กำลังซื้อวัตถุดิบเพื่อมาทำอาหารทั้งสองคนก็ยังไม่วายตีกันอีกรอบเมื่อแทนอยากเลือกที่จะทำแค่สองสามเมนูเพราะกินกันแค่สองคนส่วนปลื้มนั้นอยากให้ทำหลายๆอย่างเหมือนมีคนมานั่งกินสักสิบคน แต่สุดท้ายปลื้มก็ต้องยกธงขาวยอมแพ้แทนไป พอกลับมาถึงบ้านปลื้มก็อาสาเป็ลูกมือช่วยแทนในการล้างผักและหยิบนู้นหยิบนี่ให้ พอไม่มีอะไรทำร่างสูงก็เดินออกไปยืนเล่นที่หน้าบ้าน โทรศัพท์เครื่องหรูถูกหยิบขึ้นมาถ่ายภาพของท้องฟ้าที่ใกล้จะเปลี่ยนสีเต็มที
“ปลื้ม” เสียงดังแว่วออกมาจากในครัว ปลื้มจึงหันตัวเตรียมจะเดินกลับเข้าไป “ไอ้ปลื้ม!”
“มาแล้วค้าบ” เสียงทุ้มตอบรับอย่างยานครางพร้อมกับขายาวที่รีบเดินเร็วๆเข้าไปในห้องครัว
“ชิมดูดิว่าอร่อยมั้ย” ร่างบางชี้ไปยังจานอาหารที่ทำเสร็จแล้ว ก่อนจะหันไปจัดการกับเมนูสุดท้ายที่ร่างสูงอยากกินต่อ
มือหนาหยิบตะเกียบมาคีบหมูสามชั้นที่ถูกย่างและตัดเป็ชิ้นพอดีคำใส่จานใหญ่เอาไว้ขึ้นมาชิม ดวงตาคมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยกับรสััที่ได้รับ ก่อนจะลองคีบอีกชิ้นแล้วจิ้มลงในน้ำจิ้มก่อนจะเอาเข้าปาก
“แทน” ร่างบางที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการทำอาหารหันไปมองตามเสียงเรียก แล้วก็พบว่าตอนนี้ปลื้มกำลังยืนคีบหมูยื่นมาให้เขาอยู่ มือหนาข้างที่ว่างวางรองใต้ชิ้นหมูที่เคลือบไปด้วยน้ำจิ้มเอาไว้จนน้ำจิ้มหยดลงไปบนนั้นสองสามหยด แทนจึงรีบอ้าปากรับเอาหมูขิ้นนั้นเข้ามาในปากก่อนที่มือของอีกคนจะเปื้อนไปมากกว่านี้
“อร่อยป่ะ”
“ใครทำล่ะ”
“กูไม่น่าชมเลย”
“Xวย” ปากอิ่มขยับเป็คำด่าแบบไม่มีเสียง แต่คนโดนด่ากลับไม่สะทกสะท้านแถมยังขยับตัวไปยืนใกล้ร่างบางแล้วยื่นหน้าผ่านไหล่แคบไปมองอาหารที่ยังทำไม่เสร็จในกระทะอีกด้วย “เกะกะว่ะปลื้ม” แทนแกล้งยกไหล่ขึ้นเพื่อให้อีกคนขยับหน้าออกไปซึ่งก็ได้ผล แต่ร่างสูงก็ยังไม่ขยับตัวไปไหนอยู่ดี
“หอยเชลล์ผัดเนยกระเทียมเป็ของโปรดกูเลยนะ”
“ใครถาม”
“ไม่มี แค่อยากให้มึงรู้เฉยๆ”
“...”
“แล้วมึงล่ะ ชอบกินอะไร”
“ข้าวเปิ้บไง”
“อย่างอื่นอะ”
“ผัดไทยกุ้งสดมั้ง”
“ดีเลยกูทำผัดไทยอร่อยมากกกกกก” ปลื้มเอ่ยขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ
“แล้ว?”
“ไว้วันหลังกูจะทำให้มึงกินบ้างไง”
“กูต้องโทรจองรถพยาบาลไว้มั้ย”
“เกินไป รอได้กินก่อนเถอะ ระวังจะติดใจฝีมือกูจนกินของคนอื่นไม่ได้”
“ขนาดนั้นเลยดิ”
“อ่าฮะ แต่จะติดใจมากกว่าฝีมือในการทำอาหารก็ได้นะไม่ว่าอะไร”
“แต่ตอนนี้กูขัดใจมึง ถอยไปกูทำไม่ถนัด”
ความวุ่นวายในครัวจบลงเมื่อเมนูสุดท้ายเสร็จสิ้น ก่อนาการเถียงกันจะเริ่มขึ้นอีกรอบเนื่องจากตกลงกันไม่ได้ว่าจะนั่งกินข้างในหรือว่าจะยกออกไปกินข้างนอกเพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศยามค่ำคืน แล้วก็เหมือนเดิมที่แทนเป็ฝ่ายชนะ
“ยกไปก็ต้องยกกลับมาอีกกินตรงนี้ให้มันเสร็จแล้วค่อยออกไปจิบเบียร์ข้างนอกก็ได้” ร่างบางเอ่ยบอกกับปลื้มที่นั่งหน้ามุ่ยตักอาหารเข้าปากอยู่ ทำตัวเป็เด็กสามขวบไปได้
“กูไม่ได้เถียงแพ้มึงหรอกนะ”
“...” แต่ก็ไม่เห็นว่ามึงชนะกูได้สักรอบ
“เพราะเป็มึงหรอกกูถึงยอมให้ชนะ” นิสัยของอัลฟ่าโดยพื้นฐานแล้วเป็พวกที่ไม่ยอมใครยกเว้นว่าคนคนนั้นเป็คนที่เราอยากจะยอมจริงๆ
“เอาเบียร์ป่ะ” ร่างบางที่กำลังเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบแอลกอฮอล์ที่เขากับปลื้มซื้อมาพร้อมกับวัตถุดิบที่ใช้ในการทำอาหารออกมาโดยไม่ลืมที่จะหันไปถามร่างสูงพร้อมกับโบกกระป๋องเบียร์ที่กำลังเย็นในมือไปมา
“เอาดิ”
อัลฟ่าร่างบางหยิบเบียร์ยี่ห้อดังออกมายืนเปิดที่หน้าตู้เย็นหนึ่งกระป๋องก่อนจะยกมันขึ้นจิบหนึ่งอึกและหยิบเพิ่มอีกหนึ่งกระป๋องจึงค่อยปิดตู้เย็น เบียร์เย็นๆถูกยื่นไปตรงหน้าปลื้มซึ่งร่างสูงก็รับมันไว้นิ้วหน้าเปิดกระป๋องเบียร์เสียงดังก่อนจะยกขึ้นดื่มอย่างชิลๆ โดยมีดวงตากลมโตของใครอีกคนกำลังจับจ้องไปยังลูกกระเดือกทรงสวยที่ขยับเคลื่อนลงตามจังหวะการกลืนของเ้าของร่างอย่างไม่วางตาจนเผลอกลืนน้ำลายตามอย่างลืมตัว
“มองอะไรขนาดนั้นอะ” ทีปกรถามขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่มองมาตนเอง
“เปล่า” แทนส่ายหน้าปฏิเสธพลางยกเบียร์ขึ้นดื่มกลบเกลื่อน
ปลื้มไม่ได้เร้าหรืออะไรต่อเขาคีบหมูย่างเข้าปากก่อนจะกระดกเบียร์ตามเข้าไป ไม่มีการพูดคุยอะไรเกิดขึ้นอีกต่างฝ่ายต่างโฟกัสอยู่ที่ของกินตรงหน้าและเครื่องดื่มมึนเมาในมือเท่านั้น จนกระทั่งกินอิ่มแล้วทั้งคู่แทนจึงเป็ฝ่ายเอ่ยชวนปลื้มให้ออกไปนั่งเล่นด้วยกันที่สนามหญ้าหน้าบ้าน
“เออแทนกูถามอะไรหน่อยได้ป่ะ” ปลื้มทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นด้านข้างกับแทนก่อนจะวางกระป๋องเบียร์ที่ตัวเองหอบออกมาด้วยลงตรงกลางระหว่างเขาทั้งคู่
“ถามอะไร” ปรรณกรกระดกเบียร์ที่เหลืออยู่ในมือจนหมด
“มึงเคยมีแฟนมาก่อนป่ะ” ถามเสร็จก็รีบยกเบียร์ขึ้นดื่มทันทีเพื่อกลบอาการประหม่าของตนเอง
“มันมาเข้าเื่นี้ได้อย่างไง” ร่างบางที่กำลังเปิดแอลกอฮอล์กระป๋องใหม่ถามขึ้น
“ก็แค่อยากรู้เฉยๆ”
“ไม่มี” ปรรณกรตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“จริงป่ะเนี่ย” ปลื้มแทบจะไม่อยากเชื่อ
“กูดูเหมือนคนชอบโกหกหรอ” ใบหน้าหล่อปนสวยหันไปมองร่างสูงอย่าง้าคำตอบ
“กูว่ามึงก็หล่อดีนะ จะไม่เคยมีใครมาชอบเลยหรอวะ” อย่างน้อยมันก็ควรจะมีคนเข้ามาหาบ้างสิ
“ก็มี”
นั่นไงว่าแล้วเชียว
“แล้วทำไมไม่คบอะ” ถามไปก็ยกเบียร์ดื่มไป
“ก็กูไม่ได้ชอบเขา แล้วจะคบไปทำไม” จะคบใครสักคนมันก็ควรที่ชอบเขาเหมือนกันสิถึงจะถูก
“แล้วมึงเคยชอบใครป่ะ” มือหนาเริ่มมีเหงื่อซึมออกมาเมื่อรู้สึกคาดหวังในคำตอบที่กำลังจะได้ยิน
“เคยดิ เราทุกคนก็ต้องมีเพลงของตัวเองทั้งนั้นแหละ”
“เกี่ยวเหี้ยไรกับเพลงวะ”
กูกำลังถามมึงเื่คนที่ชอบแล้วมันโยงไปถึงเื่เพลงได้ยังไงวะ
“เปรียบเทียบอะไอ้สัด คนที่ชอบก็คือเพลงที่ชอบ”
“แล้วมึงชอบใคร บอกได้ป่ะ”
ร่างบางเงียบไปไม่ได้บอกทันที แทนค่อยๆหันหน้าขึ้นไปมองบฟ้าก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าเดิม
“ฝน”
ใจของร่างสูงเริ่มกระตุก
“คือใคร” ถามออกไปทั้งที่ก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว
“ขี้เสือกนะมึงเนี่ย” แทนหันไปว่าอีกคนด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“...” เชี่ย...ยิ้มแล้วน่ารักเหี้ยๆเลยว่ะ
“ฝน...ฝนจะตกแน่เลยดาวไม่ค่อยมี”
“ไอ้สัด กูก็คิดว่าชอบคนชื่อฝน” ถึงจะโวยวายเหมือนไม่พอใจ แต่ก้อนเนื้อในอกหนากลับรู้สึกดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นที่ฝนไม่ได้หมายถึงคนที่อีกฝ่ายชอบ
“มึงเคยได้ยินเื่เขียนชื่อของคนที่ชอบบนดาวมั้ย” ร่างบางถามขึ้นมาด้วยเสียงที่ยานครางมากขึ้นกว่าเดิม พวกเขาคุยกันดื่มไปจนเบียร์ที่ปลื้มหอบมาเหลืออยู่ไม่กี่กระป๋องแล้ว
“ไม่เคยอะ”
“กูเคยได้ยินมาว่าถ้าเราเขียนชื่อคนที่เราชอบกับดาวบนท้องฟ้าแบบที่วาดเป็ราศีได้ เราจะสมหวัง”
แล้วแทนก็ขยับมือเป็ชื่อของใครสักคน ปลื้มเลยถามว่าแทนเขียนชื่อของใคร แทนบอกไม่ได้เขียน ปลื้มหาว่าแทนโกหก
“กูไม่ได้เขียนชื่อของใครจริงๆ ดาวคืนนี้มันน้อยเกินไปกูกลัวเขียนชื่อของเขาไม่พอแล้วกูจะไม่สมหวัง” เสียงใสเอ่ยขึ้นก่อนนิ้วชี้เรียวจะขยับไปมา
“มึงเขียนชื่อใครอะ”
มือเรียวหยุดขยับพร้อมกับศีรษะกลมที่ส่ายไปมา
“กูไม่ได้เขียน”
“ก็กูเห็นมึงเขียน”
“ดาวคืนนี้น้อยเกินไปไม่พอเขียนชื่อของคนที่กูชอบหรอก เขียนไปก็ไม่สมหวัง” เมื่อได้ยินดังนั้นปลื้มจึงเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าบ้างแล้วก็พบว่าคืนนี้ดวงดาวบนท้องฟ้านั้นมีน้อยเสียจนแทบนับดวงได้จริงๆ
“รอดาวเยอะกว่านี้กูค่อยเขียนชื่อเขาแล้วกัน” ร่างบางพึมพำ “ขอมือมึงหน่อยดิ”
ปลื้มหันไปมองหน้าแทนด้วยความไม่เข้าใจแต่ก็ยอมยื่นมือของตัวเองไปให้อีกคน แทนชันเข่าขึ้นมารองหลังมือของร่างสูงเอาไว้ เขาใช้มือซ้ายปิดกั้นสายตาอีกคนจากฝ่ามือหน้า ก่อนนิ้วชี้เรียวข้างขวาจะแตะลงบนฝ่ามือของอีกคนอย่างแ่เบา ขยับเคลื่อนไหวเป็คำที่ปลื้มเดาไม่ออกว่าอีกคนนั้นเขียนคำว่าอะไรลงไป
“เขียนฝากไว้บนนี้ก่อน ไว้ดาวบนฟ้าเยอะกว่านี้กูค่อยก๊อบปี้ไปวาง” แล้วฝ่ามือหนาก็ถูกปล่อยให้เป็อิสระเช่นเดิม
“มึงเขียนว่าอะไร”
“ไม่บอกหรอก”
“กูจะได้ช่วยจำไง”
“เื่แบบนี้เขาไม่เอามาบอกกันหรอกนะมึง เดี๋ยวมันจะไม่สมหวัง”
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนแบบมึงจะมีมุมนี้ด้วย”
“มุมไหน”
“มุมน่ารัก”
“...” เมื่อถูกชมซึ่งๆหน้าแบบไม่ตั้งตัวปรรณกรก็รีบยกเบียร์ในมือขึ้นดื่มแก้เขินทันที
“แล้วมึงชอบโอเมก้ามั้ย” คำถามที่ดูเหมือนจะเป็คำถามธรรมดาแต่มันกลับวัดใจมากสำหรับคนที่เอ่ยถามออกไป
“อัลฟ่าที่ไหนบ้างจะไม่ชอบโอเมก้า”
“ก็จริง”
“มึงยังชอบโอเมก้าเลย”
“ก็ไม่แน่หรอก”
“ไม่แน่อะไร”
“ไม่แน่ว่ากูจะชอบแค่โอเมก้า”
ทั้งสองคนสบตากันแรงดึงดูดบางอย่างทำให้เขาทั้งคู่ไม่อาจละสายตาออกไปจากกันได้ ปลายจมูกโด่งคมเริ่มได้กลิ่นของไอฝนที่ช่วยทำให้ป่าสนแบบเขารู้สึกใจชื่นขึ้น ดวงตาคมไล่สำรวจั้แ่คิ้วเรียวลงไปที่ดวงตาที่เริ่มช่ำเยิ้มด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ไปยังแก้มทั้งสองข้างที่แดงระเรื่อไปจนถึงใบหูบาง ปลายจมูกโด่งรั้นที่อยากจะกัดให้จมเขี้ยว ก่อนจะหยุดลงที่ริมฝีปากอิ่มสีแดงก่ำ
น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงในลำคอก่อนที่ใบหน้าหล่อจะค่อยๆเขยิบเข้าไปใกล้กับใบหน้าของอีกคนมากขึ้นโดยในทุกวินาทีที่ใบหน้าของพวกเขาเข้าใกล้กันปลื้มก็จะสังเกตสีหน้าของอีกคนตลอดว่าโอเคหรือไม่จนกระทั่งริมฝีปากหยักค่อยๆแตะลงบนริมฝีปากแดงอย่างผละแ่ ปลื้มหยุดตัวเองไว้แค่นั้น ก่อนร่างบางจะเป็ฝ่ายกดริมฝีปากเข้าหาเขามากขึ้นพร้อมกับมือเรียวที่ประกบลงบนกรอบหน้าของเขา
เปลือกตาหนาหลับลง กระป๋องเบียร์ที่ถือไว้ถูกปล่อยทิ้งอย่างที่ไม่นึกสนใจว่ามันจะหกไปเปื้อนอะไรเข้าหรือเปล่า ฝ่ามือหน้าทั้งสองข้างประคองแก้มนิ่มเอาไว้ หัวแม่มือเกลี่ยวนไปมาแ่เบา ปากอิ่มอ้าออกเพื่อให้ลิ้นร้อนของคนตรงหน้าเข้าไปสำรวจด้านใน ปลายลิ้นหนาลากผ่านไปตามไรฟันแตะลงบนเพดานปากก่อนจะวกกลับมาเกี่ยวกระหวัดกับปลายลิ้นเรียวเอาไว้ เ้าของกลิ่นฝนที่ถูกรสจูบมอมเมาเป็ฝ่ายเอียงศีรษะตัวเองเพื่อปรับองศาในการจูบให้ถนัดมากขึ้น
ฝ่ามือหนาผละออกไปจากใบหน้าของอีกคนย้ายไปประคองที่เอวบางเอาไว้ ออกแรงบีบเบาๆเหมือนส่งสัญญาณบางอย่างซึ่งอีกคนก็ให้ความร่วมมือเป็อย่างดี แทนค่อยๆยกตัวเองขึ้นทั้งที่ริมฝีปากยังไม่ผละออกจากอีกคนก่อนขาเรียวจะวาดค่อมตักแกร่งเอาไว้ สะโพกสวยทิ้งน้ำหนักลงบนหน้าขาของคนที่อยู่ด้านล่างโดยมีฝ่ามือร้อนคอยจับเอวประคองเอาไว้
เมื่อรสจูบเริ่มร้อนแรงมากขึ้นแทนก็ผละมือขาวออกจากใบหน้าของอีกคนเปลี่ยนเป็ใช้แขนเรียวกอดรัดรอบลำคอหนาเอาไว้แทน เสียงเฉอะแฉะของการแลกลิ้นกันดังก้องอยู่ภายในหู
แต่กลับไม่มีใครคิดที่จะหยุดตัวเองลงเลย