ดวงตาคมเหม่อมองออกไปด้านนอกตัวอาคารด้วยความสงสัยในสภาพอากาศของวันนี้ ท้องฟ้าก็ดูปกติดีแถมยังดูสดใสกว่าหลายวันที่ผ่านมาด้วยซ้ำ ปลื้มจับจ้องไปยังแสงแดดลอดผ่านกลุ่มเมฆลงมาไร้ซึ่งเงาของเมฆฝนอยู่อย่างนั้นพร้อมกับคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัว แล้วทำไม…
อัลฟ่าหนุ่มเบนสายตากลับมามองที่ร่างบางอีกครั้ง ทำไมแทนถึงมีกลิ่นฝนติดอยู่บนตัวล่ะ
หรือว่า…
“กลิ่นฟีโรโมนมึงคือกลิ่นฝนหรอ” ต้องใช่แน่ๆ เพราะแบบนี้สินะเวลาที่อยู่ใกล้กับอีกคนที่ไรเขาถึงได้รู้สึกถึงกลิ่นฝนติดอยู่ที่ปลายจมูกตลอด แต่เพราะทุกครั้งที่เราเจอกันมักจะเป็ตอนที่ฝนตกตลอดเขาเลยไม่ได้สงสัยั้แ่แรก
“อือ” แทนขานรับในลำคอเพราะเขาเองก็ยังตั้งสติจากความอุ่นร้อนที่เคยรดรินอยู่ที่หลังคอไม่ได้
เหมือนว่าอีกคนยังหายใจรดต้นคอกันอยู่เลยให้ตายเถอะ
เพราะมัวแต่โฟกัสััใกล้ชิดที่พึ่งเกิดขึ้นจนลืมเอะใจไปว่าอีกฝ่ายพึ่งจะรู้เองหรอว่ากลิ่นฟีโรโมนของเขาคือกลิ่นฝน ในเมื่อคืนนั้นเขาเองก็ปล่อยกลิ่นของตัวเองออกมาข่มปลื้มไว้ถึงสุดท้ายจะพ่ายแพ้ให้กับกลิ่นสนก็ตาม
“กลิ่นเดียวกับเรนเลย” โอเมก้าตัวเล็กที่ได้ชื่อว่าเป็เเฟนเก่าของเขาก็มีกลิ่นฟีโรโมนเป็กลิ่นฝนเช่นกัน แต่กลิ่นฝนของเรนจะหอมแบบแสบจมูกหน่อยส่วนของแทนปลื้มรู้สึกว่ามันหอมเเบบเย็นๆและเขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นหอมนี้แบบแปลกๆ “โอเมก้ากลิ่นฝนกับอัลฟ่ากลิ่นฝน”
“…”
“บังเอิญจังวะ”
“แต่มึงก็คงชอบกลิ่นฝนบนตัวโอเมก้ามากกว่า” เตาแก๊สถูกปิดลงด้วยฝีมือของเชฟจำเป็ มือเรียวตักข้าวต้มที่หอมจนคนทำเองยังแอบยิ้มภูมิใจให้กับฝีมือตัวเองใส่ลงถ้วย ก่อนจะหมุนตัวไปวางมันลงบนหน้าของอีกคนที่ไม่รู้เหมือนกันว่าเดินมานั่งั้แ่เมื่อไร
“อัลฟ่าที่ไหนจะไม่ชอบกลิ่นของโอเมก้าบ้าง”
“…” นั่นน่ะสิ
“แต่กลิ่นมึงก็ไม่ได้แย่ แถมยังสบายจมูกกว่ากลิ่นเรนอีก” ปากหยักขยับเอ่ยตอบพร้อมกับก้มหน้าลงไปสูดดมความหอมของอาหารที่อยู่ตรงหน้า มือหนายื่นไปรับช้อนที่อีกคนส่งมาให้ เขาใช้มันคนข้าวต้มในถ้วยเบาๆเพื่อคลายความร้อนก่อนจะตักขึ้นมาเป่าแล้วเอาเข้าปากไปหนึ่งคำ
“…” แทนจ้องหน้าอีกคนแบบลุ้นๆ ไม่รู้ว่ารสชาติที่เขาทำจะถูกปากของคนป่วยหรือเปล่า
“เห็นหน้าโง่ๆแบบนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะทำอาหารอร่อยด้วยนะ”
“ปากแบบนี้ไม่ต้องแดกซะดีมั้ง” ร่างบางเตรียมจะแย่งถ้วยข้าวต้มคืนมาแต่อีกคนก็ยื้อเอาไว้
“ล้อเล่นค้าบ” แทนที่ไม่ได้ตั้งใจจะแย่งคืนมาจริงจังั้แ่แรกจึงยอมปล่อยมือออก “คนอะไรหล่อแล้วยังทำอาหารอร่อยอีก เกินไปมั้ยวะ” ปลื้มจีบปากจีบคอพูด
“พูดเพราะปะเหลาะแดก” ปากอิ่มเบะลงทันทีเมื่อััได้ถึงความปลอมจากประโยคที่อีกคนพูด
“ว่าก็ไม่ได้ ชมก็ไม่ชอบ ต้องทำยังไงถึงจะพอใจ ตามใจไม่ถูกแล้วเนี่ย”
“นั่งแดกเงียบๆไปดีที่สุด” ร่างบางบอกก่อนจะหันตัวไปเก็บกวาดบริเวณที่ตัวเองทำรกเอาไว้โดยไม่รอฟังคำตอบหรือดูว่าอีกคนมีปฏิกิริยาอย่างไรหลังจากที่เขาเอ่ยออกไปแบบนั้น
เมื่อบทสนทนาเงียบลงปลื้มก็หันมาสนใจกับของกินตรงหน้าตัวเองแทนไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงแต่อย่างใดเพราะเหมือนว่าอาการปวดหัวและรู้สึกเพลียมันจะเริ่มกลับมาจู่โจมร่างกายของเขาอีกแล้ว
ข้าวต้มที่ร้อนไม่มากแล้วถูกตักเข้าปากไปหนึ่งคำโดยที่สายตาก็เอาแต่จับจ้องไปยังการขยับตัวเคลื่อนไหวทำนั่นทำนี่ของคนตรงหน้า ตอนแรกก็แค่อยากรู้ว่าอีกคนกำลังทำอะไรกับครัวของเขาแต่พอมองแล้วก็กลายเป็ละสายตาออกมาไม่ได้สุดท้ายก็กลายเป็ว่าเผลอมองอีกคนนานจนอีกฝ่ายนั้นทำทุกอย่างเสร็จหมดแล้วแต่เขายังกินข้าวที่อยู่ตรงหน้าไม่หมดเลย
“กินไม่ลง?” แทนเลิกคิ้วถามในขณะที่กำลังถอดเสื้อกันเปื้อนออกจากตัว
“เปล่าอะ พอดีคิดอะไรเพลินๆเลยกินช้า” จะให้ตอบว่ามัวแต่มองมึงเลยลืมกินข้าวก็ดูจะกระไรอยู่
“แล้วนี่ห้องมึงมียามั้ย ให้กูออกไปซื้อให้เปล่า” แทนเสนอ
“มีอยู่ แล้วมึงกินไรมายัง”
“กูกินมาแล้ว มึงก็รีบกินซะจะได้กินยาแล้วไปนอนพัก จากหน้าเหี้ยอยู่แล้วพอป่วยแม่งเหี้ยกว่าเดิมอีก”
“ใครเขาจะไปหล่อเหมือนมึงล่ะค้าบ”
แต่เอาจริงถ้าอย่างกูหน้าเหี้ยก็หาคนหน้าหล่อยากแล้วนะ
“เออ กูหล่อ”
“ถ้ากูกำเม็ดมั่นมาเกิด มึงก็คงจะอมเม็ดมั่นมาเกิดเหมือนกัน”
18.10 น.
เปลือกตาคมค่อยๆขยับไปขยับมาอีกครั้งและลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืด ร่างสูงที่พึ่งตื่นจากห่วงนิทราส่ายหัวตัวเองไปมาเพื่อไล่อาการง่วงงุนและความรู้สึกมึนๆหลังจากที่พึ่งตื่นนอนออกไป ก่อนจะดันตัวเองให้ขึ้นมานั่งและเริ่มใช้สายตาสำรวจไปรอบๆตัวเองท่ามกลางความมืดว่ายังมีสิ่งมีชีวิตอีกคนอยู่กับเขาที่นี่หรือเปล่าแต่ก็ไม่ แทนคงกลับไปแล้ว
มือหนาถูกยกขึ้นมาขยี้ผมจนยุ่งไม่เป็ทรง ก่อนร่างสูงจะลุกขึ้นจากเตียงเดินเอื่อยท่ามกลางความมืดเพื่อไปเปิดไฟ เมื่อแสงสว่างครอบคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ในห้องแทนความมืดดวงตาคมก็ต้องหรี่ลงเนื่องจากยังไม่สามารถปรับสายตาให้รับแสงได้ทัน
หลังจากที่ยืนตั้งสติกับตัวเองอยู่หน้าสวิตช์ไฟได้สักพักปลื้มก็ตัดสินใจที่จะเดินออกไปด้านนอกเพราะท้องของเขามันเริ่มประท้วงแล้วในหัวก็คิดว่าน่าจะต้องสั่งอะไรที่มันง่ายๆและได้เร็วมากินประทังชีวิตไปก่อน เขาผลักประตูออกไปด้านนอกที่ถูกเปิดไฟทิ้งเอาไว้ ซึ่งแทนน่าจะเปิดมันเอาไว้ให้เขาก่อนออกไป ขายาวเดินผ่านโซนของห้องนั่งเล่นไปยังโซนห้องครัวเพื่อหยิบน้ำสักขวดออกมาดื่มให้หยาจากอาการคอแห้ง แต่ดวงตาคมก็ไปสะดุดเข้ากระดาษโพสต์อิทสีสันสดใสที่แปะอยู่บนตู้เย็นเสียก่อน
‘กูอุ่นไว้ให้แล้ว ถ้ามึงจะกินก็อุ่นอีกรอบ
อย่าลืมกินยา กูกลับก่อนละ บาย’
มือหนาหยิบกระดาษโพสต์อิทที่แผ่นนั้นขึ้นมาอ่านก่อนจะเบนสายตามองไปยังหม้อข้าวต้มที่ตั้งอยู่บนเตาแก๊ส ริมฝีปากหนาหลุดรอยยิ้มจางๆออกมา ก่อนจะเดินไปเปิดเตาแก๊สเพื่ออุ่นข้าวต้มตามที่อีกคนบอก รอไม่นานมื้อเย็นของเขาก็เรียบร้อยข้าวต้มหอมๆถูกตักใส่ถ้วยก่อนจะยกออกไปนั่งกินที่โซฟา
ขณะที่กำลังมองหารีโมตเพื่อเปิดทีวีดูนั่นนี่ไปเพลินๆระหว่างทานข้าวสายตาเ้ากรรมก็ดันไปสะดุดเข้ากับถุงกระดาษที่วางอยู่ไม่ไกลจากที่เขานั่งอยู่มากนัก แขนยาวเอื้อมไปหยิบมันมาเปิดดูก็พบว่าเป็เสื้อเชิ้ตนักศึกษาตัวสีขาวที่ถูกพับอย่างดีอยู่ด้านใน แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อเช้าเหตุผลที่แทนมาหาเขาก็เพื่อที่จะคืนเสื้อตัวนี้ให้และเอาเสื้อของตัวเองที่เขาเคยอ้วกใส่กลับไปแต่เพราะมัวยุ่งๆกับเื่อาการป่วยของเขาเราทั้งคู่เลยลืมเื่นี้ไป
มือหนาหยิบเสื้อที่อยู่ด้านในขึ้นมา ก่อนการกระทำที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไปทำไมจะเกิดขึ้น เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกอัลฟ่าร่างสูงค่อยๆจับเข้ามาชิดที่ปลายจมูกเพื่อสูดดมกลิ่นหอมที่ติดอยู่บนเสื้อ ในใจของร่างสูงคาดหวังให้มีกลิ่นฝนเย็นๆติดอยู่แต่ก็ไม่ มีเพียงกลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มเท่านั้นที่ติดอยู่
ไม่มีกลิ่นฝนแล้วก็ไม่มีคำตอบว่าทำไมเขาถึงได้คาดหวังกับเื่อะไรแบบนี้
ในวันต่อมาอาการป่วยของปลื้มเริ่มดีขึ้นแต่ก็ยังไม่หายขาด ยังคงมีอาการมึนหัวเหมือนโลกเหวี่ยงและตัวที่ร้อนนิดหน่อย ในตอนแรกเ้าตัวเองก็ลังเลว่าควรจะหยุดเรียนอีกสักวันดีหรือไม่เพราะถ้าฝืนเรียนแบบปวดหัวไปด้วยก็คงจะไม่รู้เื่อยู่ดี แล้วสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะพักตัวเองก่อนแล้วค่อยกลับมาเรียนตามปกติในวันถัดไป
เพื่อนสนิททั้งสามคนพอรู้ว่าเพื่อนไม่สบายก็รีบรวมตัวกันมาหาปลื้มที่ห้องทันที นั่งคุยนั่นคุยนี่อยู่เป็เพื่อนจนถึงเที่ยงคืนก่อนจะแยกย้ายกันกลับ มีเพียงจีนเพื่อนสนิทตัวเล็กที่เลือกจะนอนค้างกับเขา
คอนโดของปลื้มมีสองห้องนอนหนึ่งห้องเป็ห้องนอนประจำของผู้เป็เ้าของซึ่งก็คือปลื้มส่วนอีกห้องก็มีไว้ให้เพื่อนที่แวะเวียนผลัดกันมานอนค้าง และในบางครั้งก็เป็พี่ชายของเขาที่มานอนเล่นเวลาที่มันเหงาๆหรือมีเื่เลยอยากมาพักใจ
“จีน”
“อะไร” คนตัวเล็กที่กำลังวุ่นวายกับการเช็ดผมให้ตัวเองตวัดสายตาขึ้นไปมองใบหน้าของเพื่อนสนิทที่นอนเหยียดกายอยู่บนโซฟาจนตัวเองที่เป็แขกต้องระเห็จมานั่งเช็ดผมอยู่บนพื้น
“กูจะตัดใจจากเรนจริงจังแล้วนะ” คนป่วยที่นอนกระดิกเท้าดูทีวีอยู่พูดขึ้น
“ของที่มันทำใส่มึงเสื่อมแล้วหรอ ไปลอดผ้าถุงใครมาล่ะหรือแม่มึงเอาน้ำล้างเท้าสาดใส่หน้า” เห็นหลงจนโง่หัวไม่ขึ้นอยู่นานพูดจนปากจะฉีกถึงรูหูก็ยังไม่อยากจะตัดใจเอาแต่บอกกูรักเขากูรักเขา ไม่รู้ไปทำอีท่าไหนถึงได้อยากจะหลุดพ้นขึ้นมา
“ก็จากที่คุยกับมึงวันนั้นนั่นแหละ คนรักกันคงไม่ทำแบบนั้น”
“กูก็พูดกับมึงมาหลายรอบแล้วนะทำไมไม่คิดได้ให้เร็วกว่านี้” นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพูดจาอะไรทำนองนี้ใส่เพื่อให้ปลื้มได้สติแต่ทุกครั้งมันมักจะฟังแล้วก็ทำเป็ไม่สนใจแต่ก็อาจจะเป็เพราะ่นั้นกำลังหลงในความรักตรงหน้าด้วยเพื่อนเขาเลยไม่มีเวลาไปโฟกัสเื่อื่น
“กูเก็บมาคิดนะเว้ย คิดหนักเลยด้วยกับเื่ที่มึงพูด” ดวงตาคมละออกมาจากจอของโทรทัศน์แล้วสบเข้ากับดวงตากลมโตของจีน “แล้วกูก็ไปถามเรนมาว่าที่ผ่านมาเขาเคยรักกูบ้างหรือเปล่า”
“แล้วมันว่าไง”
“เขาบอกไม่จำเป็ต้องรู้หรอกยังไงเราก็เลิกกันแล้ว”
“...”
“แม่งเจ็บกว่าบอกว่าไม่รักอีกอะกูว่า”
“...”
“ถ้าเขาเลือกที่จะบอกว่าไม่รัก กูก็ยังโอเค เออแม่งที่ผ่านมากูโง่เองไม่รักก็ไม่รักวะ แต่อย่างน้อยก็ถือว่าได้เคลียร์ใจกัน”
“...”
“แต่พอเขาเลือกที่จะพูดแบบนั้น กูแม่งไม่เคลียร์เหี้ยอะไรสักอย่าง ตกลงมันจริงมั้ยวะความรักของกูกับเขาอะมันเคยเกิดขึ้นจริงๆหรือแม่งไม่เคยเกิดขึ้นเลย ทำไมถึงไม่มีคำตอบที่ชัดเจนเลยวะ” แววตาคมที่เคยมั่นคงและสดใสเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย
“มึงโอเคมั้ยเนี่ยปลื้ม”
“ตอนอยู่ตรงนั้นกูโคตรไม่โอเค แค่จะก้าวขาออกมายังยากเลยไอ้สัด” มันรู้สึกสิ้นหวังไปหมดความรักที่เขาเคยคิดว่ามันดีมากๆตลอดสองปีที่ผ่านมากลายเป็ว่าตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่ามันเคยเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า
สำหรับเขาเองมันอาจจะจริงแต่สำหรับอีกคนล่ะ
“แล้วมึงทำไง”
“ก็ยืนโง่อยู่ตรงนั้น รอจนมีพระเอกสักคนเดินมากลางร่มให้”
“ละครเื่อะไรล่ะไอ้สัด” พอได้ยินอีกคนพูดออกมาแบบนั้นจีนก็กลอกตามองบนทันที ก่อนจะหันไปตั้งใจเช็ดผมให้ตัวเองต่อ
“กูพูดจริง”
“อกหักแล้วกลายเป็คนเพ้อเจ้ออันนี้ก็ไม่เอานะ”
หน้าตากูดูไม่เชื่อถือหรือไงวะ
เฮ้อ...แต่พอพูดถึงเื่วันนั้นอยู่ดีๆแม่งก็คิดถึงกลิ่นฝนขึ้นมาเลยว่ะ
“อยากให้ฝนตกจัง”
“มันก็ตกอยู่ ไม่แหกตาดูล่ะ” จีนพูดขึ้นพร้อมชี้นิ้วไปยังด้านนอกที่กำลังมีฝนกระหน่ำเทลงมาไม่หยุด
“ไม่เห็นได้กลิ่นเลย”
“ก็ปิดห้องซะมิดชิดขนาดนี้กลิ่นฝนในจะรอดเข้ามาได้ไง”
“แล้วถ้ามันรอดเข้ามาได้อะ”
“ถ้ามันรอดเข้ามาได้ก็แสดงว่ามึงปิดประตูเอาไว้ไม่สนิทั้แ่แรกไง”
“วันนี้จะมีรุ่นน้องกูมาเตะด้วยนะ” เสียงของรุ่นพี่คณะศิลปกรรมศาสตร์เอ่ยขึ้นขณะที่พวกเขากำลังยืดเส้นอยู่ข้างสนามเตรียมตัวเพื่อที่จะเล่นฟุตบอลกัน
ฟุตบอลเป็กีฬาที่ปลื้ม เก่งและพีคเล่นด้วยกันมาั้แ่สมัยมัธยมพอขึ้นมหาวิทยาลัยตอนแรกก็คิดว่าคงไม่ค่อยมีโอกาสได้เล่นเหมือนเมื่อก่อน แต่พอได้รู้จักกับรุ่นพี่ในคณะที่ชอบเล่นฟุตบอลเหมือนกันพี่แกก็ชวนมาเตะด้วยหลังจากนั้นก็กลายเป็ว่าพวกเขามักจะมาเตะบอลกับพวกพี่แกเป็ประจำ
“รัดสาดชนสินกำหรอวะ” เสียงของรุ่นพี่ฝั่งรัฐศาสตร์พูดขึ้น ตามมาด้วยเสียงโห่ชอบใจของคนที่อยู่ในคณะเดียวกันแม้แต่พีคกับเก่งเองก็ยังร่วมด้วยมีเพียงปลื้มที่กำลังตั้งอกตั้งใจยืดเส้นอยู่เท่านั้นที่ไม่ได้ร่วมวงโห่ด้วย
“รัดสาดใครจะบวชหรอไอ้สัด โห่เก่ง”
“เราก็โห่บ้างดิพี่ เพราะเราต้องยกขันหมากไปขอรัดสาดอะ” เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังขึ้น ชายคนนั้นเดินไปยืนซ้อนหลังรุ่นพี่ของคณะตัวเองก่อนจะวางคางเกยไหล่เอาไว้อย่างสนิทสนม
“มึงจะยกขันหมากไปขอใครวะไอ้ทิมมี่”
“คนนั้น ที่ยืนน่ารักๆอยู่น่ะ” ร่างสูงเอ่ยบอกพร้อมกับชี้นิ้วไปยังร่างของจีนที่ยืนอยู่ข้างปลื้ม “ตัวก็แค่นั้นแบกความน่ารักไหวได้ยังไงก็ไม่รู้”
“เอาเื่ว่ะน้องกู”
“สินสอดรัดสาดแพงนะไอ้หนู” รุ่นพี่ฝั่งรัฐศาสตร์เอ่ยตอบกลับไป
“หมดตัวผมก็สู้พี่”
“เอาเว้ยน้องกู” ฝั่งศิลปกรรมศาสตร์เริ่มครึกครื้นมากขึ้น รุ่นพี่ที่อยู่ข้างหลังต่างพากันผิวปากแซวด้วยความชอบใจ
“เด็กมึงมันสู้ว่ะไอ้ต้อง”
“พวกเราเอาหน่อยเว้ย ใครมีมะกรูด”
“มาแลกมะนาว!”
“ใครมีลูกสาว”
“มาแลกลูกเขย!”
“เอาวะเอาเหวยลูกเขยสินกำ ตะละล้า”
“ฮิ้วววววววว”
“เก็บตังค์ไว้ซื้ออาหารเม็ดแดกเถอะ” ทำเอาคนเงียบกริบทั้งสนามเมื่อจีนพูดออกมาแบบนั้น ใบหน้าของทุกคนดูจะเจื่อนลงทันทีมีเพียงพีคกับเก่งที่พยายามกลั้นขำเอาไว้
“โดนใจว่ะพี่ต้อง” ทิมมี่หันไปบอกกับรุ่นพี่ของตัวเอง “เขาด่าแปลว่าเขารักป่ะ”
“เขาอะโดนใจมึงแต่มึงอะน่าจะโดนตีนเขานะกูว่า”
“นั่นมันคนที่ต่อยมึงนี่หว่าไอ้แทน” บาสที่ยืนอยู่ข้างแทนพูดขึ้นมาเมื่อเขาจำหน้าของปลื้มได้ “เอาไง ใส่แม่งเลยมั้ยเดี๋ยวกูบอกพวกพี่เขาให้”
“นักเลงเหลือเกินนะคะอิเหี้ย”
“ไม่ต้องหรอกเื่วันนั้นแม่งก็แค่เข้าใจผิดกันเฉยๆ”
“มึงรู้ได้ไง ไปเคลียร์กับมันนอกรอบมาหรอ” สกาวฟ้าเลิกคิ้วถามด้วยความสนใจ
“เออ คุยกันแล้ว”
“เข้าใจผิดเื่อะไรวะ” ขิมหญิงสาวที่สวยที่สุดในกลุ่มถามขึ้นมาบ้าง
“มันคิดว่ากูกิ๊กกับเรน”
“มึงไม่บอกเขาไปอะว่าไม่ได้กิ๊ก แถมเคยโดนทิ้งเหมือนกัน” แทนกดสายตาลงมองหน้าของสกาวฟ้าที่พูดจี้ใจดำตัวเองเข้า “ซอรี่เพื่อน พูดแทงใจดำไปหน่อย” เธอรีบขอโทษขอโพยเพื่อนทันทีเมื่อเห็นสายตาที่มองมา ฝ่ามือเรียวยกขึ้นลูบบนแผ่นอกของแทนไปมาเบาๆเหมือน้าบอกให้เขาใจเย็นลง
“ไหนๆมึงก็เคลียร์กับเขาแล้ว กูฝากมึงดีลต่อให้กูเลยได้มั้ย สัญญาเลยว่าถ้าได้เธอมาเป็ผัวจะไม่ยอมให้เธอลำบากเราจะนอนตีสองตื่นตีห้าทำงานหาเลี้ยงเธอเอง” ท่าทางที่ดูจีบปากจีบคอพูดของเจสทำให้แทนอดจะส่ายหัวด้วยความเอือมระอาไม่ได้
อะไรมันจะขนาดนั้นวะ
“เขาก็จะบอกมึงว่าเลี้ยงตัวเองให้รอดก่อนเถอะครับ”
“อิบาสมึงอยากตายเร็วหรอ”
“มึงหยุดอยู่ตรงนั้นเลยอิเจส อัลฟ่าหล่อๆแบบเขาต้องคู่กับโอเมก้าสวยๆแบบกูค่า” ขิมยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าของเจสให้หยุดความคิดนั้นเอาไว้ ก่อนจะเชิดใบหน้าของตัวเองขึ้นด้วยความภูมิใจ
“เอ้าอีนี่ มึงคิดว่าอัลฟ่าทุกคนต้องชอบโอเมก้าหรอคะอิดอก”
“แน่นอนค่ะ”
“มั่นมากนะ ในมือมึงกำเม็ดมั่นอยู่หรอ”
“แล้วผัวทิมมี่มึงล่ะเจส”
“กูจะปล่อยมันคืนสู่ป่าละ แรดไม่ไหว”
“กูหรือเปล่าที่ต้องปล่อยมึง” ทิมมี่ที่เดินกลับมาหากลุ่มเพื่อนพูดขึ้น “ไปไอ้แทนไอ้บาส ลงสนามกัน ถ้าพวกมึงได้ลูกแล้วส่งให้กูเลยนะกูจะทำประตูเอง วันนี้กูจะต้องเล่นโชว์ใครบางคนซะหน่อย” ทิมมี่บอกก่อนจะหันไปมองที่จีนอีกรอบ ทางด้านคนตัวเล็กที่รู้ตัวว่าถูกมองก็ยกมือขึ้นมาชูนิ้วกลางให้อีกคนทันที
“อยาก-ได้-หรอ” ร่างสูงขยับปากเป็คำแบบไม่มีเสียงแต่อีกคนก็อ่านตามปากเขาได้ทุกคำ จีนโมโหจนหน้าแดงทำท่าจะพุ่งตัวเข้ามาหาทิมมี่ที่ยืนอยู่กับเพื่อนของเขาแต่ดีที่เก่งรั้งแขนคนตัวเล็กไว้ได้ทัน
“มึงนี่ทำตัวเป็เด็กอนุบาลเลยนะ”
“อย่างไงวะ” เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่ขิมพูดสักเท่าไร
“ชอบแกล้งคนที่ชอบ”
“ไม่ดีหรอ เขาจะได้รู้สึกพิเศษไง” การที่เราทำอะไรให้คนคนหนึ่งแค่คนเดียวมันหมายถึงเขาพิเศษกับเรามากนะ
“ใช่เขาจะรู้สึก” เจสซี่พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “รู้สึกเกลียดมึงอะค่ะ”
“...”
“ชอบเขาก็จีบเขาดีๆ ไปแหย่เขาแบบนั้นใครเขาจะชอบมึงกลับ”
“...”
“อย่าให้เมียแบบกูต้องสอน”
“บางครั้งกูก็งงในความสัมพันธ์นี้นะ เมียบอกให้ผัวไปจีบคนอื่นดีๆ”
“ไปเว้ยแทน” บาสสะกิดที่แขนของเพื่อนสนิท แต่อีกคนก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมา “แทน”
“...”
“ไอ้แทน!”
เสียงตะคอกที่ดังขึ้นทำเอาตัวแทนสะดุ้งด้วยความใ ดวงตากลมเบิกโพลงขึ้นก่อนจะจ้องหน้าของบาสที่ะโเรียกชื่อเขาด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะเสียงดังใส่กันทำไม
“กูเรียกตั้งหลายรอบ เหม่ออะไรวะ”
“เปล่า กูแค่คิดอะไรเพลินไปหน่อย”
“ไปเตะบอลกัน พวกพี่แม่งลงกันแล้ว”
“เออๆ”
แล้วศึกฟุตบอลระหว่างคณะรัฐศาสตร์กับคณะศิลปกรรมศาสตร์ที่ไม่ได้เป็ทางการก็เริ่มขึ้น ปลื้มที่อยู่ในตำแหน่งปลีกซ้ายมองไปยังปลีกซ้ายของฝั่งตรงข้ามนั่นก็คือแทน ในจังหวะที่ฝั่งศิลปกรรมฯได้ทุ่มลูกปลื้มก็รีบเดินไปประชิดร่างของแทนเอาไว้ทันที
“ขอบใจนะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นขณะที่ต่างฝ่ายต่างก็แย่งกันไปยืนด้านหน้าของอีกคน
“เื่?”
“ตอนกูป่วย”
“อ๋อ ไม่เป็ไร แล้วนี่มึงดีขึ้นแล้วหรอถึงมาเตะบอลแบบนี้” แทนถามขึ้นขณะที่เขาทั้งคู่กำลังวิ่งตามลูกฟุตบอลอยู่
“ไอ้แทน!” เสียงของใครคนหนึ่งในสนามดังขึ้น พร้อมกับลูกกลมๆสีขาวที่กลิ้งมาใกล้เท้าของเขา แทนรับมันเข้ามาในเท้าด้วยท่าทีที่ดูคล่องแคล่วก่อนจะวิ่งทิ้งระยะห่างออกไปจากปลื้มมากขึ้น
“ไอ้แทนกูเอง” บาสที่วิ่งขึ้นมาตีคู่กับแทนเอ่ยบอก ร่างบางจึงส่งลูกบอลให้กับเพื่อนสนิทไป แล้วก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ครู่หนึ่งเพราะอาการาเ็ที่เกิดขึ้นบริเวณหัวเข่า มันไม่ได้เกิดจากกระทำของคนอื่นแต่มันเป็ที่ตัวเขาเองที่าเ็อยู่แล้ว
“ไหวมั้ย” ปลื้มที่วิ่งตามอีกคนมาจนทันถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทางที่ดูไม่ดีเท่าไรของคนตรงหน้า
“ไหว ไม่ต้องสนใจกูหรอกสนใจทีมมึงนู้น”
ถึงจะเจอพูดแบบนั้นใส่หน้าแต่สุดท้ายคนที่ปลื้มมักจะมองหาในสนามก็ยังคงเป็อัลฟ่าร่างบางเ้าของกลิ่นฝนอยู่ดี
เวลาในครึ่งแรกจะหมดลงพร้อมกับคะแนนของฝั่งศิลปกรรมฯที่นำฝั่งรัฐศาสตร์อยู่หนึ่งแต้ม
“กูเก่งมั้ย” แต่แทนที่ทิมมี่จะไปนั่งพักที่ฝั่งของตัวเองเขากลับเดินไปหาจีนที่อยู่ฝั่งรัฐศาสตร์เสียอย่างนั้น
“เพื่อนกูเก่งกว่ามึงอีก”
“กูยิงเข้าตั้งสองลูก เพื่อนมึงยิงไม่ได้สักคน จะไม่ชมกูหน่อยหรอ”
“ก็มึงไม่ใช่เพื่อนกู”
“พูดอีกก็ถูกอีก เพราะกูก็ไม่ได้อยากเป็แค่เพื่อนมึง” ไม่พูดเปล่าฝ่ามือหนายังยกขึ้นมาขยี้ผมของคนตัวเล็กจนมันยุ่งไปหมด
“อย่ามายุ่งกับหัวกูนะ” โอเมก้าตัวเล็กพยายามเบี่ยงหัวหลบพร้อมกับจับมือของอีกคนให้ออกไปไกลๆจากหัวของเขา
“นี่กูต้องเตรียมรับขันหมากจากสินกำจริงๆใช่มั้ย”
“จริงดิพี่” แทนหันไปตอบรุ่นพี่ที่พูดขึ้นมา
“พี่ก็อย่าไปเล่นกับมันได้มั้ย”
“นั่งด้วยดิ” ร่างสูงของอัลฟ่ากลิ่นสนทิ้งตัวนั่งลงเคียงข้างกับร่างบางที่นั่งจุมปุ๊กอยู่ข้างสนาม ทั้งที่อีกคนยังไม่ทันได้เอ่ยอนุญาตด้วยซ้ำ
“ครึ่งหลังมึงไม่ต้องลงแล้วนะแทน” บาสที่นั่งอยู่ถัดไปจากแทนบอกพร้อมกับยื่นหลอดยานวดมาให้
“กูไหว”
“ทำเป็เก่ง ถ้าไม่ไหวก็ออกมาพักเลยนะอย่าฝืนนะเว้ย”
“ใครอะ” แทนที่รับยานวดจากบาสมาไว้ในมือหันไปมองหน้าคนข้างกาย
“มันชื่อบาสเป็เพื่อนสนิทอิแทนส่วนเราเจสนะยินดีที่ได้รู้จัก” ยังไม่ทันที่แทนจะได้เอ่ยตอบเสียงของใครบางคนก็ดังขัดขึ้นมาก่อน
“เราขิมนะ ส่วนนี่ฟ้า”
“อ๋อ ปลื้มครับ”
“เราก็ปลื้มเธอนะ” เจสบอกพร้อมกับส่งรอยยิ้มกระชากใจไปให้อีกคน
“อย่าไปสนใจมันเลย ไร้สาระ”
“เอ้าอิแทน คนเขาจะเกี้ยวพาราสีกันมึงน่ะนั่งนวดเข่าเงียบๆไป”
“ทำไมต้องนวดเข่าอะ” ปกติแล้วเขาจะนวดกันที่ต้นขาไม่ก็กล้ามเนื้อน่องไม่เคยเห็นคนนวดหัวเข่าสักเท่าไร
“อิแทนมันเข่าไม่ดี เตะบอลเยอะๆไม่ได้แต่ชอบฝืน”
“กูไม่ได้ฝืน กูไหว”
“ค่ะ เก่งเหลือเกิน”
ปลื้มหันไปมองบริเวณหัวเข่าอีกคนที่มองดูแล้วก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรแต่คงจะตัดสินแค่จากภายนอกไม่ได้
“กูว่ามึงพักแบบที่เพื่อนมึงบอกก็ดีนะ”
“กูไหว เดี๋ยวถ้าไม่ไหวก็ออกมานั่งเองแหละ”
“แน่ใจนะ”
“เออดิ”
แล้วนักกีฬาทุกคนก็กลับลงสนามอีกครั้ง แต่ครึ่งหลังเหมือนจะแตกต่างจากครึ่งแรกอยู่นิดหน่อยตรงที่ปีกซ้ายฝั่งรัฐศาสตร์ตามประกบปีกซ้ายฝั่งศิลปกรรมฯแจจนคนอื่นแทบไม่ได้เข้าใกล้ ในบางครั้งเขาก็ใช้ตัวเขาเองกันคนอื่นเอาไว้เวลาที่แทนได้ลูกเพราะปลื้มไม่อยากให้คนอื่นที่ไม่รู้ว่าแทนาเ็มาวิ่งมากระแทกให้แทนต้องเจ็บกว่าเดิม
โดยในทุกการกระทำของปลื้มล้วนอยู่ในสายตาของคนที่ยืนอยู่ข้างสนามทั้งสองฝั่ง ทางด้านจีนหลุดยิ้มออกมาเพราะดูอาการของเพื่อนตัวเองออก ปลื้มไม่ได้เป็แบบนี้กับทุกคน บวกกับที่เ้าตัวเคยบอกว่าปลื้มแทนยิ่งทำให้เขาค่อนข้างมั่นใจไม่มากก็น้อยว่าปลื้มนะชอบแทนเข้าแล้ว
ส่วนทางด้านเพื่อนของแทนนั้นก็ััได้ถึงกลิ่นแปลกๆเช่นกัน เจสซี่หรี่ตามองอัลฟ่าทั้งสองคนที่กำลังวิ่งอยู่ในสนามด้วยสายตาที่จับผิด
“มึงคิดเหมือนกูมั้ยบีสองบีสาม”
“กูว่าเราต้องง้างปากอิแทน” ขิมเสนอ
“ง้างจนปากฉีกถ้ามันไม่อยากบอกมันก็ไม่บอกมึงหรอกค่ะ”
“ก็จริง กูอยากเสือกมากเลยทำไงดีวะ”
“ทำใจค่ะหญิง”
“แต่กูว่าอาจมีคนหนึ่งที่รู้”
สายตาของเจสซี่และขิมมองไปที่สกาวฟ้าทันที ซึ่งเธอเองก็พยักหน้าให้กับเพื่อนทั้งสองคนเหมือนส่งสัญญาณก่อนจะค่อยๆหันหน้าไปทางจีนที่ยืนอมยิ้มอยู่คนเดียวที่อีกฝั่งหนึ่งของสนาม โดยมีเพื่อนซี้อีกสองคนมองตามไปอย่างไม่คาดสายตา
“ยิ้มกรุ้มกริ่ม เหมือนรู้อะไร”
“เข้าชาร์ตเลยป่ะ” ขิมเสนอขึ้นมาโดยที่สายตายังไม่ละออกไปจากใบหน้าของจีนเช่นกัน
“จัดไปสิคะ”
เจสซี่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ดูชั่วร้าย ก่อนจะเป็ฝ่ายเดินนำเพื่อนทั้งสองคนเข้าไปหาจีนที่ยังไม่รู้ตัวว่าถูกเพ่งเล็งเอาไว้
“สวัสดีค่ะเพื่อนสะใภ้”