ครั้นได้ฟังวาจาเช่นนี้ สตรีแซ่จางเปี่ยมไปด้วยโทสะ นางจัดเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวอย่างกระแทกกระทั้น แค่นเสียงหยันด้วยสีหน้าไม่น่ามองว่า “น้องสะใภ้สามช่างสุขสบายนัก ข้าไม่อาจเทียบได้ จำต้องทนลำบาก ชีวิตจือโจวของพวกเราอับจนเสียจริง ทั้งๆ ที่เป็เกอร์เอ๋อร์อยู่คนหนึ่งเช่นกัน แต่กลับไม่อาจมีเสื้อผ้าอาภรณ์ชุดใหม่!”
ครั้นสตรีแซ่จ้าวเห็นว่านางไม่พอใจจึงเลิกยั่วโมโห เพียงเอ่ยว่า “หากพี่สะใภ้ใหญ่ไม่พูด ข้าเกือบจะลืมไปแล้วว่าจือโจวก็เข้าสอบขุนนางระดับเซียงซื่อเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ผ้าในจวนมีไม่มากพอ ไม่เช่นนั้นข้าก็คงจะทำเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เ้าสี่เช่นกัน”
สตรีแซ่จางชำเลืองมองนางครู่หนึ่ง ในใจรู้สึกคับแค้นยิ่งนัก พวกเขาเกิดมามีบิดาคนเดียวกัน จะว่าไปแล้ว ครอบครัวสามที่เกิดจากภรรยาคนใหม่มีสิทธิ์อะไรมากดขี่ครอบครัวใหญ่และครอบครัวรองของพวกนาง
สตรีแซ่ซ่งกลัวว่าทั้งสองคนจะทะเลาะกัน นางรีบดึงสตรีแซ่จางไว้แล้วเอ่ยเสียงเบา “พี่สะใภ้ ไม่รู้ว่าเมิ่งซานกับพี่ใหญ่จะเสร็จธุระยามใด พวกเราไปไถนาให้พวกเขากันเถิดเ้าค่ะ”
สตรีแซ่จางข่มโทสะเอาไว้ จากนั้นเดินไปนอกประตูจวนด้วยสีหน้าไม่พอใจพร้อมกับสตรีแซ่ซ่งที่ถือคันไถในมือ
อวี๋ฝูหลิงค่อนข้างมีอคติกับสตรีแซ่จ้าว นางกลอกตาไปทางสตรีแซ่จ้าวที่อยู่ในลานเรือนแล้วเอ่ยกับอวี๋เจียวว่า “ยามนี้เ้าไม่ค่อยสบายตัว เช่นนั้นก็พักผ่อนในจวนให้ดี ข้าจะไปช่วยท่านแม่ลงนา หากตอนเที่ยงกลับมาไม่ได้ เ้าก็เรียกน้องเล็กให้ไปช่วยเ้าทำกับข้าวเสีย”
อวี๋เจียวพยักหน้า นางไม่คุ้นชินกับผ้ารัดเอวรองประจำเดือนจริงๆ เมื่อวานตื่นกลางดึกหลายต่อหลายรอบ ไม่ได้นอนหลับดีๆ ยามนี้ยังรู้สึกง่วงงุน หลังจากอวี๋ฝูหลิงจากไป นางจึงเอนกายนอนลงบนเตียงอีกครั้ง
นับแต่วันที่สตรีแซ่จ้าวถูกท่านผู้เฒ่าตำหนิ นางจึงไม่กล้าหาเื่อวี๋เจียวอีก เห็นอวี๋เจียวไม่ไปลงนา ถึงแม้ภายในใจจะนึกตำหนิ แต่ยังคงไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด
ยามที่อวี๋เจียวตื่นขึ้นมาก็เป็เวลาเที่ยงวันแล้ว สตรีแซ่จางของครอบครัวสามไม่ได้นั่งเย็บผ้าอยู่ในลานเรือนอีก ทางฝั่งสตรีแซ่ซ่งยังคงง่วนอยู่กับการทำนาจนยังไม่กลับมา อวี๋เจียวจึงลุกขึ้นไปทำกับข้าวที่ห้องหุงต้ม
ในขณะที่กับข้าวใกล้จะเสร็จ สตรีแซ่จ้าวเดินเข้ามาในห้องหุงต้ม “ทำกับข้าวเสร็จแล้วหรือไม่? พวกท่านอาสามของเ้ากำลังรอกินอยู่!”
อวี๋เจียวไม่สนใจนาง นำเส้นหมี่ที่ทำด้วยมือใส่ลงในหม้อ ไม่นานนักเมื่อต้มเส้นจนสุกจึงตักออกมาแล้วเทซอสถั่วผสมมะเขือเทศลงไป นางแบ่งออกเป็สองชามใหญ่ แล้วค่อยวางลงในตะกร้าสองใบ จัดแจงวางถ้วยกับตะเกียบลงไป อีกทั้งยังกรอกน้ำหนึ่งกาวางลงในตะกร้า แล้วจึงยกหนึ่งในสองตะกร้าเดินออกไปนอกเรือน
สตรีแซ่จ้าวเห็นอวี๋เจียวไม่สนใจตนพลันรู้ว่าตนรนหาเื่ใส่ตัวแล้ว แต่นางกลับไม่กล้าก่อเื่จึงเดินไปหยิบตะกร้าอีกใบ คนทั้งสองเดินตามหลังกัน ผู้หนึ่งเอากับข้าวไปส่งที่ทุ่งนา อีกผู้หนึ่งเอากับข้าวไปให้พวกอวี๋ฮั่นซานทั้งสามคนที่กำลังมุงเพิงหญ้า
อวี๋ฮั่นซานพูดจาคล่องแคล่ว เขาเอ่ยทักทายผู้คนที่สัญจรไปมาขณะกำลังมุงเพิงหญ้า บอกว่าที่นี่กำลังจะเปิดร้านขายเนื้อ
รอกระทั่งเพิงหญ้าสร้างเสร็จแล้ว เขายังคิดจะยืมฆ้องมาร้องประกาศตามละแวกหมู่บ้านใกล้เคียง
คนทั้งสามมือไม้ว่องไว อวี๋เฉียวซานกับอวี๋เมิ่งซานต่างก็เป็คนทำงานฝีมือดี และเพราะเป็กิจการของครอบครัวสาม อวี๋ฮั่นซานจึงไม่นึกเกียจคร้าน จวบจนพระอาทิตย์ตกดิน ร้านทำจากเพิงหญ้าก็สร้างเสร็จเรียบร้อย
ขณะมุ่งหน้ากลับจวนในยามค่ำ อวี๋ฮั่นซานซื้อสุรามาสองไห ขณะกินข้าวบนโต๊ะอาหารจึงเรียกอวี๋เฉียวซานดื่มสุราด้วยกัน ปากเอ่ยว่าวันพรุ่งนี้จะเอาหมูที่เลี้ยงไว้ในด้านหลังจวนมาเชือดแล้วเอาไปขายที่ร้าน
ภายในใจของสตรีแซ่จางรู้สึกไม่ยินดียิ่งนักหลังได้ฟัง ครอบครัวใหญ่เป็คนเลี้ยงดูหมูภายในจวนมาโดยตลอด คอยตื่นเช้านอนดึกเพื่อเกี่ยวหญ้าเลี้ยงหมู ยามนี้ช่างดีเสียจริง ผลประโยชน์ล้วนตกเป็ของครอบครัวสามเสียแล้ว
ความโมโหเพราะถูกสตรีแซ่จ้าวยั่วโทสะเมื่อตอนสายพลันปะทุขึ้นมาอีกครั้ง สตรีแซ่จางก้มหน้าเอ่ย “ท่านพ่อ ข้าไม่มีขัดข้องอันใดหากครอบครัวสามจะทำการค้า แต่หมูในจวนนั้นเลี้ยงไว้เตรียมไปขายแลกเงินในยามปีใหม่ หากตอนนี้ให้เ้าสามเอาไปเชือดขาย เมื่อได้เงินมาจะแบ่งกันอย่างไรเ้าคะ?”
สตรีแซ่จ้าวเอ่ยเสียงดังลั่น “การค้าของครอบครัวสาม เงินที่หามาได้ย่อมเป็เงินของครอบครัวสามของข้า”
หลังกล่าวจบพลันพบว่าอวี๋หรูไห่เผยสีหน้าไม่พอใจนัก นางรีบชำเลืองไปทางอวี๋เจียวอย่างแฝงความนัยแล้วเสริมว่า “ครอบครัวรองตรวจคนไข้รักษาโรค เงินค่ารักษาที่ได้มายังอยู่ในมือของครอบครัวรอง เงินที่ครอบครัวสามของพวกเราหามาย่อมไม่อาจเป็ของส่วนกลางทั้งหมดอยู่แล้วเ้าค่ะ”
อวี๋เฉียวซานกระตือรือร้นเื่ร้านขายเนื้อก็เพราะอยากมีเงินส่วนตัวไว้ในมือของตน เขาชำเลืองมองสีหน้าของอวี๋หรูไห่แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าฟังว่า “ในเมื่อก่อนหน้านี้ก็มีตัวอย่างแล้ว ข้าจะนำเงินที่ได้ครึ่งหนึ่งให้ส่วนกลาง ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านคิดว่าดีหรือไม่ขอรับ?”
อวี๋เฉียวซานคลานออกมาจากท้องของสตรีแซ่อวี๋โจว นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเขาคิดอะไร เพราะคิดว่าภายหน้าอวี๋จิ่นเหยียนกับอวี๋จิ่นซูยังต้องใช้เงินทองอีกมาก สตรีแซ่อวี๋โจวจึงช่วยเอ่ยเสริม “ทำการค้าย่อมต้องมีเงินทอน ในมือของเ้าสามไม่อาจขาดเงิน หากจะเก็บไว้ครึ่งหนึ่งย่อมเป็เื่สมควร”
ในฐานะที่อวี๋หรูไห่เป็หัวหน้าครอบครัว แน่นอนว่าเขาอยากกำเงินทั้งหมดไว้ในมือของตน แต่สตรีแซ่อวี๋โจวเอ่ยเช่นนั้นแล้ว เขาจึงไม่อาจเอ่ยสิ่งอื่นใด อีกอย่างอวี๋เฉียวซานไม่เหมือนอวี๋เจียว เมื่อเงินอยู่ในมือบุตรชายของตน หากเขา้าก็แค่พูดคำเดียวเท่านั้น
“เอาตามนี้ก็แล้วกัน” อวี๋หรูไห่ยกจอกสุราขึ้นจิบ เอ่ยด้วยความกังวลเล็กน้อย “ไม่รู้ว่าร้านขายเนื้อจะดำเนินไปได้ดีหรือไม่ หากหาเงินได้ถึงเพียงนั้นคงจะมีคนทำไปนานแล้ว”
ยามนี้อวี๋ฮั่นซานกระตือรือร้นอย่างยิ่ง เขาไม่อาจทนฟังคำพูดทำร้ายจิตใจจากบิดาได้ รีบยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “จะต้องหาเงินได้แน่นอนขอรับ ข้าคิดเอาไว้แล้ว รอให้ผ่านไปอีกไม่กี่วันจะเข้าไปสอบถามโรงสุรา อาจจะยังพอมีช่องทางอื่นขอรับ”
สตรีแซ่จางกลืนความขุ่นเคืองลงไปจนเต็มท้อง หมูที่นางเลี้ยงมาด้วยความยากลำบากถูกครอบครัวสามเอาไปขายโดยที่ตนไม่ได้อะไร หากภายหน้าหาเงินได้ยังสามารถเก็บเป็เงินส่วนตัวครึ่งหนึ่ง ครอบครัวรองมีอวี๋เจียวคอยรักษาคนป่วย มีเพียงครอบครัวใหญ่ของพวกนางที่ไม่มีอะไรสักอย่าง ทำงานโดยเปล่าประโยชน์ เหตุใดครอบครัวใหญ่ของนางถึงถูกเอาเปรียบถึงเพียงนี้?
สตรีแซ่จางออกแรงหยิกอวี๋เฉียวซาน อวี๋เฉียวซานหันมองนางด้วยความประหลาดใจ สตรีแซ่จางถึงกับโมโหกว่าเดิมเมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา บุรุษของตนช่างพึ่งพาอะไรไม่ได้สักนิด นางจึงวางตะเกียบในมือแล้วเอ่ยกับอวี๋หรูไห่ว่า “ท่านพ่อ รอกระทั่งหว่านข้าวแล้ว เฉียวซานอยู่ในจวนไปก็ไม่มีอะไรทำ มิสู้ให้ไปขายเนื้อกับน้องสาม เขาแรงเยอะทั้งยังเชือดสัตว์เป็ จะได้คอยสนับสนุนเ้าสามเ้าค่ะ”
หากกล่าวตามจริง อย่างน้อยๆ หมูตัวหนึ่งก็หนักร้อยกว่าจิน เมื่อมีคนช่วยอวี๋ฮั่นซานย่อมยินดี เขาคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง หากพี่ใหญ่มาช่วยข้าก็คงสบายขึ้นสักหน่อย”
นี่ก็คือประโยคที่สตรีแซ่จางกำลังรอคอย นางคลี่ยิ้มทันใด “จะไม่เป็เช่นนั้นได้อย่างไร เพียงแต่แม้จะเป็คนครอบครัวเดียวกัน แต่พี่ใหญ่ของเ้าก็ไม่อาจช่วยเปล่า ในเมื่อท่านพ่อบอกว่าเงินที่ได้มาจะแบ่งให้ครอบครัวสามห้าส่วน ครอบครัวใหญ่ของพวกเราก็ไม่ละโมบ การค้านี้พวกเ้าสองสามีภรรยาเป็คนคิด ครอบครัวใหญ่ของพวกเราจะขอส่วนแบ่งแค่สองส่วนดีหรือไม่?”
สตรีแซ่จางร้อนใจทันใด นางไม่สนใจอาหารในปากก็โพล่งวาจาออกมาเสียแล้ว “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านก็ช่างหน้าไม่อาย ไม่เคยได้ยินว่าคนครอบครัวเดียวกันช่วยเหลือกันก็ยังจะเอาเงิน นอกจากนั้นอ้าปากยังขอส่วนแบ่งสองส่วน เหตุใดท่านถึงไม่ไปปล้นชิงเสียเลยเล่า? ไม่ต้องให้พี่ใหญ่ช่วยแล้ว ครอบครัวสามของพวกเราทำเองได้!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของสตรีแซ่จางเลือนหายไป เพระอยากระบายโทสะออกมาแต่ต้น ยามนี้นางจึงไม่เก็บเอาไว้อีกต่อไป เอ่ยเสียงดังลั่นออกมาว่า “ถุย! ต่อให้ข้าหน้าไม่อายเพียงใดก็สู้เ้าไม่ได้! ครอบครัวสามของเ้ามีสิทธิ์อะไรมากอบโกยผลประโยชน์ไปจนหมด? เดิมทีพวกเ้าก็ใช้เงินส่วนกลางเปิดกิจการ หมูในจวนข้าก็เป็คนเลี้ยงมาโดยตลอด ั้แ่เช้าถึงเย็นต้องลำบากไม่น้อย ปีใหม่ก็จะขายได้เงินจำนวนไม่น้อยแล้ว ยามนี้พวกเ้าเอาไปเชือดขาย มีสิทธิ์อะไรถึงไม่แบ่งเงินให้ครอบครัวใหญ่ของพวกเราสองส่วนกัน?”
