บทที่ 1 ชะตาที่ถูกพันธนาการ
ลมหนาวพัดโชยในยามค่ำคืนของเดือนสิบสอง ท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงซื่อจิงไร้ซึ่งหมู่ดาว มีเพียงเมฆหมอกทึบที่บดบังจันทร์เสี้ยวให้ริบหรี่ ราวกับจะสะท้อนชะตาชีวิตของหญิงสาวที่บัดนี้กำลังนั่งคุกเข่าอยู่กลางโถงตำหนักที่เย็นะเื แผ่นหลังบอบบางเหยียดตรง เส้นผมสีดำสนิทถูกเกล้าขึ้นอย่างเรียบง่าย เผยให้เห็นต้นคอระหงและใบหน้าที่งดงาม หากแต่ซีดเซียวจนแทบจะกลืนไปกับชุดสีขาวหม่น
หลินชิงซาน ก้มหน้านิ่ง ดวงตาที่เคยสุกใสบัดนี้ฉายแววว่างเปล่า ภายในใจของนางไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ นอกจากความเ็าที่กัดกินไปทั่วทั้งร่าง นางไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว… หญิงสาวในโลกปัจจุบันที่ชื่อ ซ่งหลิงเฟย นักธุรกิจผู้เฉียบคมที่ประสบความสำเร็จในทุกสิ่งได้มาอยู่ในร่างนี้แล้วเกือบหนึ่งเดือนเต็ม นับั้แ่วันที่อุบัติเหตุทางรถยนต์คร่าชีวิตนางไปอย่างกะทันหัน จู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมาในร่างของชายาเอกผู้แสนอาภัพของฉินอ๋อง หยางเทียนหลง
ปัง!
เสียงทุบโต๊ะดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้หลินชิงซานสะดุ้งเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นมองบุรุษผู้สูงศักดิ์ที่กำลังยืนหันหลังให้นางด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว
“เ้ายังมีหน้ามาทำเป็นิ่งเฉยอีกหรือ!”
น้ำเสียงที่เ็าจนบาดลึกดังขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยสงบนิ่งบัดนี้บิดเบี้ยวด้วยความโกรธ หยางเทียนหลงหันกลับมาเผชิญหน้ากับนาง ดวงตาคมกริบมองมาที่นางราวกับจะแผดเผาให้เป็จุณ หลินชิงซานไม่เคยเห็นสีหน้าเช่นนี้มาก่อนในความทรงจำของเ้าของร่างเดิม หากแต่ก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด นางเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอย่างไม่หลบเลี่ยง
“ท่านอ๋องทรงพิโรธเื่ใดเพคะ” นางถามเสียงเรียบ
คำถามของนางยิ่งทำให้หยางเทียนหลงโกรธหนักขึ้นไปอีก เขาสาวเท้าเข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว ก้มตัวลงจนใบหน้าของเขาอยู่ใกล้ชิดกับนาง เขาไม่สนใจว่านางจะเป็ชายาเอกหรือคนในตระกูลหลินอันสูงศักดิ์
“อย่าแสร้งทำเป็ไม่รู้! เ้าส่งอาหารที่ปรุงด้วยยาพิษไปให้เสด็จพ่อ!”
น้ำเสียงของเขาแข็งกระด้างราวกับก้อนหิน หลินชิงซานรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของอันตรายที่แผ่ออกมาจากตัวเขา นางมองไปที่ดวงตาของเขา พยายามอ่านความคิด แต่ก็ไร้ประโยชน์
“หม่อมฉันไม่เคยทำเช่นนั้นเพคะ”
“เ้ายังกล้าปฏิเสธ! หลักฐานอยู่ในห้องของเ้าทุกอย่าง!”
หยางเทียนหลงโยนห่อผ้าสีขาวลงบนพื้น มันเปิดออกเผยให้เห็นขวดยาพิษขนาดเล็ก และเครื่องมือต่างๆ ที่ใช้สำหรับปรุงยา หลินชิงซานก้มลงมองมันอย่างสงบนิ่ง ความทรงจำของเ้าของร่างเดิมผุดขึ้นในสมอง ยาพิษในห่อผ้านั้นนางไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด
“ใครที่คิดจะใส่ร้ายหม่อมฉัน ช่างทำได้แเียิ่งนัก”
“หยุดปากดี! เ้าคิดว่าข้าโง่หรือหลินชิงซาน! เ้าใส่ร้ายเ้าเฟยเพื่อขึ้นเป็ชายาเอกแล้วก็ยังไม่พอใจอีกหรือ!?”
หยางเทียนหลงตวาดลั่น คำว่า “เ้าเฟย” ที่เอ่ยออกมาเต็มไปด้วยความรักและความอ่อนโยนที่นางไม่เคยได้รับ หลินชิงซานรู้ดีว่าเ้าเฟยคือ ชุยิเซียง สนมคนโปรดของเขา นางจำได้ว่าเ้าของร่างเดิมถูกชุยิเซียงรังแกสารพัด แต่ไม่เคยโต้ตอบ
“หม่อมฉันไม่ได้ใส่ร้ายพระสนมชุยเพคะ การที่หม่อมฉันได้เป็ชายาเอกก็เพราะได้รับพระบัญชาจากไทเฮาหม่อมฉันไม่ได้ทำเอง” นางกล่าวอย่างเ็า
“อย่ามาอ้างไทเฮา!” หยางเทียนหลงกำหมัดแน่น “เ้ามันเป็ผู้หญิงที่น่ารังเกียจที่สุดในแผ่นดิน! นับั้แ่วันที่เ้าเข้ามาในจวน ข้าก็ไม่เคยมีแม้แต่ความสุข!”
คำพูดของเขาเหมือนมีดที่กรีดลึกลงไปในหัวใจ หลินชิงซานคนเดิมคงจะเ็ปจนน้ำตาไหล แต่หลิงเฟยคนนี้กลับไม่รู้สึกอะไร นางรู้ดีว่าเขาเข้าใจผิด นางไม่ได้รู้สึกรักเขาแม้แต่น้อย หากแต่ก็รู้สึกสงสารเ้าของร่างเดิมที่ต้องทนทุกข์กับความรักที่ไม่อาจเป็จริง
“ในเมื่อท่านอ๋องทรงตัดสินไปแล้ว จะให้หม่อมฉันพิสูจน์ตนอย่างไรก็คงไร้ประโยชน์เพคะ”
“ดี! ในเมื่อข้าว่าเ้าคงไม่อยากอยู่ที่จวนนี้แล้วหละถึงทำเื่เลวร้ายเช่นนี้ได้ ข้าจะส่งเ้าไปอยู่ที่อื่น!”
หยางเทียนหลงโบกมือเรียกขุนนางคนสนิทที่อยู่ด้านนอกให้เข้ามา
“จ้าวเทียน พาตัวชายาเอกไปที่ตำหนักเย็นเป่ยอิง บัดนี้! ห้ามผู้ใดให้เข้าออกและยุ่งเกี่ยวอย่างเด็ดขาด”
“พะยะค่ะ ท่านอ๋อง”
จ้าวเทียน ก้าวเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์ใดๆ เหมือนกับหุ่นเชิด
“ท่านอ๋อง! ทรงทำเช่นนี้ไม่ได้!”
เสียงร้องไห้ดังขึ้นจากด้านนอกประตู หลานหลาน และ ชุนเทียน สองสาวใช้คนสนิทวิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าที่เปื้อนน้ำตา พวกนางคุกเข่าอ้อนวอนขอให้หยางเทียนหลงเปลี่ยนใจ
“ท่านอ๋องได้โปรดเมตตาชายาเอกด้วยเถอะเพคะ! พระสนมชุยใส่ร้ายชายาเอก! หม่อมฉันเห็นทุกอย่าง!” หลานหลานะโเสียงดัง
ชุยิเซียงที่กำลังยืนแอบฟังอยู่ด้านนอกโถงตำหนัก ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความใ นางไม่คิดว่าจะมีใครกล้าพูดเื่นี้ต่อหน้าหยางเทียนหลง
“เ้า! พูดอะไร!” หยางเทียนหลงหันไปตวาดใส่หลานหลาน
“ท่านอ๋องทรงหลงผิดแล้วเพคะ! ชายาเอกไม่เคยทำร้ายผู้ใด! ยาพิษในถ้วยอาหารถูกเปลี่ยนตอนที่ท่านอ๋องสั่งให้ขันทีนำไปตรวจสอบก่อนจะนำไปถวายฝ่าา!”
คำพูดของหลานหลานทำให้หยางเทียนหลงชะงักไปเล็กน้อย แต่ชุยิเซียงก็รีบก้าวเข้ามาในโถงตำหนักและคุกเข่าลงต่อหน้าหยางเทียนหลงทันที
“ท่านพี่… ท่านพี่อย่าหลงเชื่อคำพูดของนางเลยเพคะ บ่าวรับใช้ชั้นต่ำเช่นนี้ จะไปรู้อะไร! อีกอย่างพวกนางจะเป็พวกเดียวกับท่านชายา!”
“นางพูดเป็เื่เป็ราว ไม่น่าเชื่อว่านางจะกล้าโกหกต่อหน้าข้า!” หยางเทียนหลงมองไปยังหลานหลานด้วยสายตาเ็า
หลินชิงซานลุกขึ้นยืนช้าๆ เดินไปใกล้กับหลานหลานและชุนเทียน แล้วพูดเสียงอ่อนโยนแต่หนักแน่น
“ไม่เป็ไร หลานหลาน… ชุนเทียน… อย่าพูดอะไรอีกเลย” นางหันไปมองหยางเทียนหลง “ในเมื่อท่านไม่เชื่อในตัวหม่อมฉัน การพิสูจน์ก็ไร้ประโยชน์”
“ดี! งั้นเ้าก็ไปรับโทษทัณฑ์ของเ้าซะ!”
“ช้าก่อนเพคะ!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอก ไทเฮา ผู้ทรงอำนาจและเป็ที่เคารพนับถือของทุกคนปรากฏกายขึ้น พระองค์ทรงเดินเข้ามาในโถงตำหนักอย่างสง่างาม ทรงมองมาที่หลินชิงซานด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและความเมตตา
“หลินชิงซานคือคนที่ข้าเลือกมา! และข้ารู้จักนางดี นางไม่มีวันทำเื่ชั่วช้าเช่นนั้น!”
“เสด็จแม่… แต่หลักฐานมัน…”
“หลักฐาน? เ้าเชื่อหลักฐานที่ถูกจัดฉากไว้เพื่อใส่ร้ายนางงั้นหรือ? เ้าตาบอดไปแล้วหรือหยางเทียนหลง!”
คำพูดของไทเฮาทำให้หยางเทียนหลงต้องเงียบไป เขาไม่สามารถโต้แย้งพระมารดาได้
“หลินชิงซาน… เ้าไปจากที่นี่เถอะ” ไทเฮาตรัสเสียงเบา “ไปอยู่ในที่ที่ไม่มีใครทำร้ายเ้าได้ ข้าให้โอกาสเ้า ไม่ต้องไปสนใจใครอีก”
“และก็ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับนางอีก ข้ารู้ว่านางไม่ทำเื่เลวร้ายแบบนี้ได้ ข้ารับประกันเอง” ไทเฮาประกาศก้อง และทุกคนก็ก้มรับพระบัญชาของนางอย่างไม่มีใครพูดอะไรแม้กระทั่งท่านอ๋อง และชุยิเซียง
ไทเฮารู้ดีว่าหากอยู่ที่นี่ต่อไป หลินชิงซานจะต้องเผชิญกับการกลั่นแกล้งไม่จบไม่สิ้น นางจึงออกคำสั่งให้หลินชิงซานย้ายไปอยู่ตำหนักเย็นเพื่อความปลอดภัย หลินชิงซานก้มลงคารวะไทเฮาด้วยความเคารพและความซาบซึ้ง
“ขอบพระทัยเพคะองค์ไทเฮา”
หลินชิงซานหันไปมองหยางเทียนหลงอีกครั้ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสับสนและความเ็ป เขาไม่เข้าใจว่าทำไมไทเฮาถึงเข้าข้างนาง
“ท่านอ๋อง… ในเมื่อท่านเชื่อคนอื่นมากกว่าหม่อมฉัน งั้นหม่อมฉันก็ไม่มีสิ่งใดจะพูดอีกแล้ว ขอให้ท่านอ๋องทรงสุขสบายและไม่พบกับเื่วุ่นวายอีกเลย”
นางกล่าวจบก็หันหลังเดินจากไปทันที โดยมีหลานหลานและชุนเทียนตามไปอย่างเงียบๆ
ฉินอ๋องมองตามหลังนางไปจนลับสายตา หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่อธิบายไม่ได้ แม้จะโกรธแค้นเพียงใด แต่คำพูดสุดท้ายของนางกลับทำให้เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป
ขณะที่หลินชิงซานเดินไปยังตำหนักเย็น ท่ามกลางความมืดมิดและหนาวเหน็บ นางรู้สึกได้ถึงความเ็าจากพื้นกระเบื้องที่แทรกซึมเข้ามาในรองเท้าที่นางใส่
“พระชายาเพคะ… พวกเขาช่างใจร้ายนัก” ชุนเทียนเอ่ยขึ้นเสียงสั่น
“พระชายาเพคะ… จะทนได้อย่างไรเพคะ” หลานหลานร้องไห้
หลินชิงซานยิ้มบางๆ แล้วลูบศีรษะของพวกนางเบาๆ
“ข้าไม่เป็ไร… เชื่อข้า”
จี้หยกที่แขวนอยู่ที่คอของนางเรืองแสงออกมาเล็กน้อย มันสั่นไหวราวกับตอบรับคำพูดของนาง
“ข้าจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายพวกเ้าอีกแล้ว…”
นางมองไปยังตำหนักเย็นที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า ที่นั่นคือจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่… ชีวิตที่นางจะกำหนดชะตาด้วยมือของตัวเอง ไม่ใช่ใครคนอื่น
ในคืนที่ไร้ดาวเช่นนี้ หลินชิงซานได้สูญเสียทุกสิ่ง แต่ก็ได้ค้นพบพลังที่ซ่อนเร้น… พลังที่จะเปลี่ยนชะตาชีวิตของนางไปตลอดกาล…
***///***
