“คิกๆ” ซูเฟยเฟยหัวเราะคิกคักออกมา “มีผู้หญิงคนไหนแทนตัวเองว่ากระผมบ้าง น้องสาวอีเหริน เธอคือ.......เอ๋?” ดูเหมือนซูเฟยเฟยจะคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง ทันใดนั้นเธอก็ส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกับสีหน้าที่อึ้งค้างอยู่ตรงนั้น...... มู่หรงชิวสุ่ย...... มู่หรงชิวสุ่ย....... ชื่อคุ้นๆแฮะ.........
“อ๊า!!! นาย.............นายคือมู่หรงชิวสุ่ย คือคนนั้น.......คนนั้น........” ซูเฟยเฟยถอยหลังไปหนึ่งก้าวกลับไปยืนอยู่ข้างกายของเย่เทียนเซี่ยที่ยืนทำหน้าแปลกๆอยู่แล้วพูดออกมาติดๆขัดๆ “นายคือ..........ผู้ชาย!”
“Bingo!ถูกต้องนะคร๊าบ พี่สาวคนสวย เธอไม่เพียงมีหน้าตาและน้ำเสียงเหมือนนางฟ้า แต่ยังมีการรับรู้และหัวใจเหมือนนางฟ้าอีกด้วย” มู่หรงชิวสุ่ยแสดงท่าทางเหมือนกับสุภาพบุรุษออกมา รอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์บนใบหน้านั้นราวกับดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ และเมื่อมีดวงตาที่เหมือนกับดอกท้องดงามประดับอยู่ด้วยแล้ว......... ใบหน้านั้นช่างงดงามจริงๆ!
มู่หรงชิวสุ่ย คนที่รู้จักชื่อนี้มีไม่มากนัก เพราะชื่อนี้แพร่หลายอยู่ในแวดวงของกลุ่มคนชั้นสูงที่อยู่ในระดับสูงสุดเท่านั้น และคนที่รู้จักมู่หรงชิวสุ่ยอย่างแท้จริงจะต้องรู้จักชื่อหนึ่งซึ่งเป็ชื่อต้องห้ามด้วยนั่นก็คือ...........เซิ้งอวี้!
เวลาการก่อนตั้งเซิ้งอวี้นั้นไม่มีใครรู้แน่ชัด เครือข่ายทั้งหมดของมันคือผู้มีพลังพิเศษแต่ละอย่างที่ปรากฏตัวขึ้นมาในหัวเซี่ยไม่ว่าจะเป็ก่อนเกิดหรือกลังจากเกิดมาแล้วก็ตาม แค่เพียงถูกเซิ้งอวี้ค้นพบพวกเขาก็ล้วนจะมีวิธีจัดการให้คนเ่าั้เข้ามาอยู่ในเซิ้งอวี้ ในฐานะที่เป็คนที่ “มีความสามารถล้ำเลิศ” ในสายตาของคนทั่วไป จำนวนที่แท้จริงของผู้มีพลังพิเศษเหล่านี้มีไม่มากนัก ทั่วทั้งหัวเซี่ยมีคนที่มีพลังพิเศษอยู่ไม่เกินร้อยคน ซึ่งคิดเป็จำนวนหนึ่งในพันของประชากรหัวเซี่ย และขณะเดียวกันการคงอยู่ของผู้มีพลังพิเศษนี้และจำนวนของพวกเขาก็มีไม่มากเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงจะเป็การทำลายสมดุลในชีวิตประจำวันของผู้คนเป็แน่
การคงอยู่ของเซิ้งอวี้ในด้านหนึ่งก็เพื่อการนำคนที่มีพลังพิเศษมาไว้รวมกันและปกป้องความสมดุลเอาไว้ อีกด้านหนึ่งก็เพื่อรวมรวบพลังของคนเหล่านี้เอาไว้แล้วสร้างเป็พลังการปกป้องอันแข็งแกร่งที่คนธรรมดาไม่สามารถรับรู้ได้ เพื่อปกป้องอำนาจการปกครองสูงสุดของหัวเซี่ย....... เพื่อความมั่นคงและปลอดภัยของตระกูลจั้ว พูดอีกอย่างก็คือ เซิ้งอวี้คือพลังในการปกป้องแบบพิเศษของตระกูลจั้ว และยังเป็พลังในการปกป้องที่แข็งแกร่งที่สุดในหัวเซี่ยอีกด้วย
แต่เซิ่งอวี้ก็มีศัตรูของมันเหมือนกัน ศัตรูที่แข็งแกร่งของมันก็คือ.........โม่หลัวเตี้ยน
จุดประสงค์ในการคงอยู่ของโม่หลัวเตี้ยนแตกต่างกับเซิ้งอวี้อย่างสิ้นเชิง เพราะสิ่งที่มัน้าคือการทำลายตระกูลจั้ว และก่อกวนอำนาจการปกครองของหัวเซี่ย ที่มาที่ไปที่แท้จริงและผู้ก่อนตั้งของโม่หลัวเตี้ยนนั้นยังคงไม่มีใครรู้มาจนถึงปัจจุบัน แต่สิ่งที่แน่ใจได้เลยก็คือในนั้นจะต้องมีชาวตะวันออกและชาวตะวันตกอยู่อย่างแน่นอน ภายในโม่หลัวเตี้ยนก็เต็มไปด้วยผู้มีพลังพิเศษที่ยากจะปรากฏตัวขึ้นมาได้เช่นกัน เซิ้งอวี้และโม่หลัวเตี้ยนต่อสู้กันมานับครั้งไม่ถ้วนอย่างเงียบๆมานานหลายปี ตลอดจนถึง 5 ปีก่อนการต่อสู้ระหว่างพวกมันก็ได้ปิดฉากลงในที่สุด........ ในาที่คนธรรมดาไม่เคยได้รับรู้เมื่อห้าปีก่อน คนของเซิ้งอวี้เกินกว่าครึ่งตายลงไป และโม่หลัวเตี้ยนก็หายไปอย่างไรร่องรอยนับแต่นั้นมา จนกระทั่งถึงวันนี้ก็ยังไม่ปรากฏตัวอีกเลย ไม่รู้ว่าพวกมันถูกฆ่าตายจนหมดหรือกำลังฟื้นตัวกลับมาใหม่อย่างลับๆ คนที่รับรู้เกี่ยวกับาพลังพิเศษระหว่างมนุษย์ที่มีพลังล้ำเลิศนั้นมีไม่มาก แต่ถ้าใครรับรู้ก็ไม่กล้าที่จะพูดออกมา ถ้าพูดออกมาก็คงไม่มีใครเชื่อ....... แต่ระหว่างนั้นนอกจากผู้เข้าร่วมจริงๆแล้วก็ไม่มีใครรับรู้อีก และไม่มีข่าวสารใดๆหลุดรอดออกมาเช่นกัน คนของเซิ้งอวี้ที่ร่วมรบในสมครามครั้งนั้นทั้งหมดปิดปากเงียบสนิทราวกับมันเป็หัวข้อต้องห้ามที่ไม่อาจแตะต้องได้
ผู้นำในปัจจุบันของเซิ้งอวี้ก็คือมู่หรงหงอี้ เขามีลูกชายหนึ่งคนชื่อว่ามู่หรงชิวสุ่ย และก่อนหน้านี้สิบสามปีใครๆต่างก็คิดว่ามู่หรงชิวสุ่ยนั้นเป็เด็กผู้หญิง แม้กระทั่งจั้วพั่วจวินที่เล่นกับเขามาั้แ่เด็กๆก็คิดว่าเขาคือเด็กผู้หญิงมาโดยตลอด....... บางทีแม้แต่ตัวเขาเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน หลังจากอายุสิบสามข่าวที่ว่าเขาเป็ผู้ชายก็เริ่มแพร่ออกไป แต่ปกติทุกครั้งเมื่อเขาปรากฏตัวออกมาก็ยังคงเหมือนกับผู้หญิงธรรมดาๆไม่มีผิด ดังนั้นคนที่ได้พบเจอกับเขาครั้งแรกก็ล้วนคิดว่าเขาคือผู้หญิงอย่างไม่ต้องสงสัย และเมื่อรู้ว่าเพศที่แท้จริงของเขาคือผู้ชาย........ ช่องว่างในจิตใจของพวกเขาก็มากพอที่จะทำให้พวกเขาตาค้างคลอดทั้งคืน โดยเฉพาะความรู้สึกตกตะลึงั้แ่แวบแรกที่ได้พบเจอและมีความคิดว่าตกหลุมรักผู้ชายั้แ่แวบแรกที่เห็น.......
เขาเหมือนกับปีศาจร้าย แม้ว่าจะไม่ได้ทำอะไร แต่เสน่ห์ความเป็ชายที่เป็ต้นเหตุแห่งความหายนะที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆก็โหดร้ายมาก
ตา หู จมูก ปากและใบหน้าของมู่หรงชิวสุ่ยทั้งหมดล้วนละเอียดอ่อนเกินกว่าผู้หญิงทั้งสิ้น แม้แต่ร่างเพรียวบางที่เขามีก็ทำให้ผู้หญิงอิจฉาได้...... และที่ทำให้คนยิ่งกระอักก็คือดวงตาและกิริยาท่าทางที่ดูเหมือนไม่ได้จงใจของเขาที่ปลดปล่อยเสน่ห์ที่ทำให้ผู้ชายใจสั่นออกมาด้วย........ แต่นอกเหนือจากสิ่งเ่าั้แล้วการพูดจาของเขาก็มีเอกลักษณ์อย่างยิ่งจนทำให้ผู้คนมักจะหมดคำพูดจนถึงขั้นหนาวสั่นกันเลยทีเดียว แต่ถ้าคุณตัดสินเขาจากภายนอกว่าเขาเป็ผู้ชายเหลาะแหละและเหมือนผู้หญิงเสียงยิ่งกว่าผู้หญิงแล้ว นั่นถือว่าผิดอย่างมหันต์ เพราะเขาก็คือผู้ชายที่ไม่อาจไปตอแยด้วยได้คนนึ่งเช่นกัน และหนึ่งในข้อห้ามของเขาก็คือการทักทายเขาสำหรับคนอื่นๆ
ในงานเลี้ยงเมื่อสามปีก่อนลูกคนรองของตระกูลกัวด่ากระทบว่าเขาเป็กระเทย มู่หรงชิวสุ่ยที่เดิมทีมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก็เปลี่ยนสีหน้าในทันที แล้วทันใดนั้นทั่วทั้งห้องโถงก็ราวกับเปลี่ยนจากฤดูร้อนไปเป็ฤดูหนาวอย่างฉับพลัน ความหนาวเย็นนั้นทำให้ผู้คนใจสั่น ห้องโถงที่เคยครึกครื้นราวกับถูกความหนาวเย็นผนึกเอาไว้จนเงียบฉี่ และเมื่อมู่หรงชิวสุ่ยต้องเผชิญหน้ากับผู้มีอำนาจและพ่อแม่ของลูกคนรองของตระกูลกัวเขาก็เพียงใช้มือที่สวยงามยิ่งกว่าผู้หญิงและพลังพิเศษฉีกกระชากเขาไปสิบกว่าแผลภายในสามวินาที จากนั้นก็หยิบปืนที่พกอยู่กับตัวออกมาแล้วฝังะุเข้าไปในแขนขาที่เหลือของเขาข้างละนัด ทุกครั้งที่เสียงปืนดังขึ้นมาราวกับเป็การยิงพุ่งเข้าสู่หัวใจของทุกคนที่อยู่ในที่นั้น ท้ายที่สุดเขาก็ยิ้มออกมาด้วยใบหน้าสูงส่งและโเี้ก่อนจะเดินออกมาอย่างช้าๆทิ้งไว้เพียงกองเืที่ทำให้ผู้คนหวาดผวา...
ในตอนนั้นพวกเขารู้แล้วว่าอะไรที่เรียกว่าปีศาจ..............
ั้แ่วันนั้นเป็ต้นมานอกจากคนในวงจำกัดไม่กี่คนแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าเรียกเขาว่ากระเทยอีก........ ลูกชายคนเดียวของผู้นำเซิ้งอวี้นั้นไม่ใช่คนธรรมดา และเขายังเป็ผู้มีพลังพิเศษที่น่ากลัวอีกด้วย
ดังนั้นเมื่อซูเฟยเฟยรู้ว่าคนตรงหน้าคือคนที่มีความงดงามเหมือนผู้หญิงเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึงและหวาดกลัวอยู่ลึกๆ สิ่งที่เธอตกตะลึงก็คือ......... เขาเหมือนผู้หญิงมากจริงๆ ที่เคยได้ยินคนพูดมาก่อนหน้านี้เธอยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไร และยังคิดว่าดูจากภายนอกเธอเป็แค่หญิงสาวที่ขี้อายเท่านั้น......... เธอคิดไม่ถึงจริงๆว่ามันจะเป็เช่นนี้ และมันก็ยิ่งน่ากลัวเมื่อได้ยินเื่อันยากที่จะยอมรับที่เขาเคยทำมา
“พี่รอง ไม่คิดเลยว่าข้างกายของพี่จะมีนางฟ้าที่ฉลาดและงดงามขนาดนี้ ช่างเป็เื่ที่ดีงามซะจริง ไม่รู้ว่าหลังจากที่เจ๊ใหญ่รู้ว่า...........”
“พอเถอะชิวสุ่ย” เย่เทียนซึ่ยรู้สึกมันงง เขาจึงขัดจังหวะคำพูดของมู่หรงชิวสุ่ย แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลใดเย่เทียนเซี่ยจึงรู้สึกไม่ค่อยอยากได้ยินคำว่า “เจ๊ใหญ่” เท่าไรนัก ดังนั้นเขาจึงหาหัวข้อใหม่ขึ้นมา “ชิวสุ่ย นายเลือกเป็นักธนูเหรอ?”
ดวงตาของมู่หรงชิวสุ่ยเปล่งประกาย ในดวงตาคู่นั้นราวกับมีคลื่นน้ำหมุนวนอยู่ภายใน “พี่รอง ในที่สุดพี่ก็ละสายตาจากเ้าอ้วนที่คอยบดบังสายตาของพี่แล้วจดจำคนน่าสงสารที่ยอมร่วมเป็ร่วมตายกับพี่คนนี้ได้ซักที เฮ้อ ชีวิตคนสั้นนัก ที่ลำบากกว่านั้นก็คือการไม่ได้ร่วมเดินทางและสูดอากาศบริสุทธิ์ไปกับพี่เป็เวลานานแล้ว.............”
เย่เทียนเซี่ย จั้วพั่วจวิน ซูเฟยเฟยล้วนมีใบหน้ามืดมน
ธนูสีเหล็กที่ถูกถืออยู่ในมือของเขาถูกเขาโบกไปมาพร้อมกับพูดไปด้วย “ธนูอันนี้ก็คือคำตอบของผม”
“พี่รอง คำถามของพี่เปล่าประโยชน์ซะแล้วล่ะ ไอตุ๊ดนี่ไม่ว่าเมื่อไรมันก็เลือกนักธนูตลอดแหละ ถ้าไม่เลือกนักธนูสิแปลก” จั้วพั่วจวินเบ้ปากแล้วพูดออกมา
ไอ้ตุ๊ด!? ซูเฟยเฟยมีท่าทางใ เกี่ยวกับข่าวลือของมู่หรงชิวสุ่ย หากมีคนกล้าเรียกเขาว่าตุ๊ดคนพวกนั้นล้วนจะ.......
“สามารถปลิดชีวิตคนได้ในระยะไกลเกินร้อยก้าว ได้เห็นดอกไม้สีเือันงดงามเบ่งบานจากระยะที่ไกลกว่าสายตา บนโลกใบนี้หาเื่ที่งดงามกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วล่ะ” มู่หรงชิวสุ่ยเก็บธนูกลับไปแล้วยิ้มออกมาอย่างสบายๆ การถูกจั้วพั่วจวินเรียกว่า “ไอ้ตุ๊ด”แล้วไม่มีปฏิกิริยาอันรุนแรงสร้างความตกตะลึงให้ซูเฟยเฟยที่มองอยู่เงียบๆ หรือว่าข่าวลือนั้นจะผิดไป หรือว่า......ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะสนิทสนมกันจนไม่ต้องสนใจอะไรทั้งสิ้น
จั้วพั่วจวินไม่สนใจหรงชิวสุ่ย เขาเรียบเรียงคำพูดก่อนจะพูดกับเย่เทียนเซี่ยอย่างระมัดระวัง “พี่รอง เื่เกี่ยวกับเ้าคนที่ชื่อเซี่ยเทียนนี่เป็ยังไงบ้างครับ พี่ไม่รู้เหรอ? แม้ว่าคนๆนี้จะทำให้พวกเราอึดอัดและเขายังก้าวข้ามพี่รองไปได้ ต้องบอกเลยว่าคนๆนี้จะต้องเป็คนที่แข็งแกร่งแน่นอน บางทีเขาอาจจะเป็คู่ต่อสู่ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่พี่เคยเจอมาตลอดก็ได้ ถึงการที่ชื่อของเขาจะไปโผล่อยู่ที่อันดับหนึ่งของรายกับจัดอันดับเลเวลกับรายการจัดอันดับชื่อเสียง แต่ตอนแรกที่เขาผ่านการทดสอบระดับนรกเพียงคนเดียว.........ผมกับไอ้ตุ๊ดนี่ก็เคยพยายามผ่านการทดสอบระดับนรกมาก่อน เราสองคนทำได้ดีสุดก็แค่ผ่านประตูที่สาม แต่เขาเพียงคนเดียว............”
สองคนผ่านด่านที่สามของการทดสอบระดับนรก คำพูดนี้ถ้าผู้เล่นคนอื่นมาได้ยินจะต้องตกตะลึงเป็แน่
ใบหน้าของซูเฟยเฟยแสดงความแปลกใจออกมาอย่างชัดเจน เธอลองถามออกไป “เอ๋? พวกนายไม่รู้เหรอ........เทียนเซี่ยก็คือเซี่ยเทียนไง”
“ห๊ะ?” จั้วพั่วจวินและมู่หรงชิวสุ่ยเบิกตาโตพร้อมกัน
เย่เทียนเซี่ยยักไหล่น้อยๆก่อนจะแสดงชื่อของตัวเองออกมา ทันใดนั้นบนหัวของเขาก็ปรากฏตัวอักษรสองตัวเป็คำว่าเซี่ยเทียนอย่างชัดเจน
“ฉันในตอนนี้ชื่อเซี่ยเทียน”
“นี่..........ห๊ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ ที่แท้เซี่ยเทียนก็คือพี่รองนี่เอง ผมว่าแล้วเชียวว่าพี่รองจะยอมให้คนอื่นข้ามหัวไปได้ยังไง ว่าแล้วว่าจะมีใครเก่งไปกว่าพี่รองเขาเราอีก พี่รองนี่จริงๆเลยนะ เปลี่ยนชื่อก็ไม่บอกพวกเราให้เร็วกว่านี้ ปล่อยให้พวกเราสงสัยอยู่ได้ แม้แต่พ่อของผมก็ยังลองพยายามหาดูเลยว่าตัวจริงของเซี่ยเทียนเป็ใคร ถ้าเขารู้ว่าเป็พี่ล่ะก็..........”จั้วพั่วจวินอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะออกมาชุดใหญ่อย่างโล่งใจ ชื่อเทียนโม่เซี่ยที่ถูกคนอื่นกดลงไปทำให้เขาอึดอัดใจมาก เขาสามารถถูกคนอื่นกดลงไปได้ แต่ไม่มีทางที่เย่เทียนเซี่ยจะถูกใครกดลงไปได้แน่นอน
แต่มู่หรงชิวสุ่ยกลับขมวดคิ้วแน่น ในดวงตาของเขาทอประกายเย็นเยียบ “ถ้าพี่รองคือเซี่ยเทียน แล้วตอนนี้ไอ้เทียนโม่เซี่ยมันคือใครล่ะ!?”
เสียงหัวเราะของจั้วพั่วจวินหยุดชะงักลงและนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น.........ใช่สิ ถ้าเย่เทียนเซี่ยเปลี่ยนชื่อเป็เซี่ยเทียน แล้วเทียนโม่เซี่ยในตอนนี้ที่อยู่ในอันดับที่สองของรายการจัดอันดับเลเวลคือ............
“ก็แค่คนที่รนหาที่ตายเท่านั้นแหละ” เย่เทียนเซี่ยยกยิ้มอย่างดูถูก
แต่คำตอบของเขาทำให้บรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนเป็เย็นะเืขึ้นมาทันที มันเย็นซะจนซูเฟยเฟยอดหนาวสั่นไม่ได้ บรรยากาศเย็นเยียบชวนสยองแบบนี้ไม่ได้มาจากเย่เทียนเซี่ยแต่มาจากจั้วพัวจวินและมู่หรงชิวสุ่ยที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเธอต่างหาก สีหน้าของพวกเขานิ่งเงียบลงไปพร้อมกัน มันเป็ความเงียบงันที่น่ากลัว
“คนที่มันกล้าแย่งใช้ชื่อที่เป็ของพี่รองช่างเป็คนที่รนหาที่ตายจริงๆ” จั้วพั่วจวินพึมพำเสียงเย็นออกมาเบาๆ
“อั๊ยหยา ทำไมบนโลกใบนี้มักจะมีสิ่งมีชีวิตที่น่าสงสารที่ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อจะลงนรกพวกนี้ด้วยนะ หรือพวกมันจะไม่รู้ว่าทางเลือกที่พวกมันเลือกน่ะเป็ทางที่ผิด ปีศาจกำลังเอื้อมมือไปที่พวกมันแล้ว........เห๊อะ! สวดภาวนาเยอะๆหน่อยแล้วกัน สวดขอให้พี่รองไปปรากฏตัวต่อหน้าพวกมันช้าหน่อยและอย่าความรู้สึกเสียใจที่มาถึงโลกใบนี้ของพวกมันมาเร็วเกินไปนักเลย”
