“เพื่อนเสี่ยวหลาน ทำวิชาคณิตศาสตร์แทบไม่ได้เลย เอาอย่างไรดี...”
“ยากมาก!”
“ปีนี้ฉันสอบไม่ติดมหาวิทยาลัยแล้ว!”
หากคนอื่นใจสลาย เซี่ยเสี่ยวหลานจะเมินเฉยก็ได้ ทว่าสำหรับคนที่อยู่ร่วมโรงเรียนอันชิ่งเซี่ยนอีจง เซี่ยเสี่ยวหลานกลัวจริงๆ ว่าพวกเขาจะยอมแพ้แบบนั้น คนเรามีมาตรฐานสำหรับคนใกล้หรือไกลตัวทั้งนั้น และเซี่ยเสี่ยวหลานค่อนข้างสนิทสนมกับคนเหล่านี้ “นี่พวกเธอแพ้แล้วหรือ? วิชาคณิตศาสตร์มันยากมาก ฉันเองก็คิดว่ายากมาก และฉันเชื่อว่าคนสอบทั่วประเทศล้วนคิดว่ายากกันหมด! ถ้าจะเสียคะแนน มีผู้สอบทั่วประเทศเสียเป็เพื่อนพวกเธอ ทำสี่วิชาที่เหลืออยู่ให้ดี จะเข้ามหาวิทยาลัยอะไรก็เลือกเหมือนเดิม ถ้าไม่อยากสอบต่อ เก็บข้าวของกลับบ้านเสียตอนนี้เลย และฉันจะแนะนำคนที่ทิ้งการสอบว่าอย่าเรียนซ้ำด้วย ปีนี้วิชาคณิตศาสตร์ยาก ปีหน้าอาจเป็เคมีรึชีวะที่ยาก จะมีวิชาที่ทำให้พวกเธอรู้สึกแย่เสมอนั่นแหละ!”
ผู้ประสบความสำเร็จว่ายทวนกระแสน้ำไปด้านหน้า
ส่วนผู้พ่ายแพ้ต่างมีเหตุผลของตนเอง พอถึง่เวลาวิฤติก็ยอมแพ้ ถ้าคุณไม่พ่ายแพ้แล้วใครจะพ่ายแพ้?
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ถนอมความรู้สึกของพวกเขาแม้แต่นิดเดียว ตั้งรับและโจมตีกลับอย่างไม่หยุดหย่อน แต่กลับทำให้คนเหล่านี้ไม่กล้าคร่ำครวญอีกต่อไป
และไม่ใช่เพียงเพราะว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เท่านั้น คนเหล่านี้จับใจความสำคัญอย่างหนึ่งได้ กระทั่งเซี่ยเสี่ยวหลานยังบอกว่ายากมาก เช่นนั้นก็แปลว่ายากมากจริงๆ สินะ?!
“เข้าใจแล้วนะ ไปกินข้าวเที่ยงเถอะ ตอนบ่ายยังต้องสอบรัฐศาสตร์กับชีวะ อย่าเก็บอารมณ์ของการสอบคณิตศาตสร์ไว้จนถึงตอนบ่าย พวกเราพยายามกันมานานขนาดนี้ ใครไม่คาดหวังเปลี่ยนแปลงชีวิตจากการพึ่งเกาเข่าบ้าง ถ้าตอนนี้ไม่แม้แต่จะลอง ก็รอให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงเองไปเถอะ!”
คำพูดมากมายเหล่านี้ได้ผลหรือไม่?
อย่างไรเสียเหล่าวังผู้นำคณะนักเรียนก็รู้สึกขอบคุณเซี่ยเสี่ยวหลานมาก เพราะตอนสอบวิชารัฐศาสตร์่บ่าย ในห้องสอบปรากฏที่ว่าง มีบางคนะเืใจเพราะข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์จนละทิ้งการสอบแล้ว นักเรียนจของอีจงทำข้อสอบได้มากน้อยเพียงใดยังไม่รู้ ทว่าทุกคนล้วนนั่งอยู่ในห้องสอบอย่างเรียบร้อย เหล่าวังกับอาจารย์อีกคนจดจ้องไม่ละสายตา เนื่องจากกลัวว่านักเรียนของอีจงคนไหนจะทิ้งการสอบ
การสอบเกาเข่าไม่ได้ตรวจคะแนนเพียงวิชาเดียวเสียหน่อย
นอกจากวิชาคณิตศาสตร์แล้วยังเหลืออีกตั้ง 6 วิชา คะแนนรวม 690 คะแนน วิชาคณิตศาสตร์มีสัดส่วนแค่ 120 คะแนน ต่อให้ไม่ได้สักคะแนนเดียวจากวิชานี้ ก็ยังเหลืออีก 570 คะแนนไม่ใช่หรือ?
ใน 570 คะแนน ขอเพียงสอบผ่าน 350 คะแนนก็มีสิทธิศึกษาต่อ ไม่ว่าจะเป็ต้าจวนหรือจงจวน ล้วนถือว่ามีบทสรุปให้แก่ตนเองและครอบครัว! หากทิ้งการสอบดื้อๆ มัธยมปลายสามปีแห่งหยาดเหงื่อที่เสียไป น้ำตาที่ไหลริน ค่ำคืนที่อดหลับอดนอน ข้อสอบที่ฝึกทำ ทุกสิ่งทุกอย่างสูญเปล่าแล้ว... คะแนนรวมเจ็ดวิชาที่ไม่มีคณิตศาสตร์นั้นไม่เป็อะไรเลย แต่ถ้าคุณสอบถึงวิชาคณิตศาสตร์ รวมทั้งหมดสามวิชาคือ ภาษาจีน เคมี และคณิตศาสตร์ ได้คะแนนเต็มก็ไม่เกิน 320 คะแนนอยู่ดี จะเพียงพอทำอะไรได้
ยืนหยัดสอบต่อเท่านั้นถึงจะมีความหวัง อันที่จริงการบอกว่าโยนวิชาคณิตศาสตร์ทิ้งก็เกินจริงไปสักหน่อย ต่อให้โจทย์ยากขนาดไหน จะไม่ได้สักคะแนนเดียวเชียวหรือ?
ถึงอย่างไรก็เรียนคณิตสาสตร์มาตั้งหลายปี ในการสอบเกาเข่าสองปีหลังเพิ่งฟื้นฟูนั้น ผู้เข้าสอบส่วนใหญ่รู้จักแค่พยัญชนะภาษาอังกฤษ 26 ตัวเช่นกัน ไม่เคยเห็นใครสอบภาษาอังกฤษได้ 0 เลย ในกรณีที่แย่ที่สุด คุณเลือก B ทุกข้อในตอนปรนัย ก็ต้องสุ่มถูกหลายข้ออยู่ดี เหล่าวังยังไม่เคยเจอนักเรียนที่เดาสุ่มและหลบหลีกคำตอบที่ถูกต้องได้ครบทุกข้อมาก่อนจริงๆ !
----------------------------------------
ขณะเซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ในห้องสอบ เธอใช้ความเร็วเท่าเต่าคลานในการทำ
วิชารัฐศาสตร์มีเนื้อหาที่ต้องเขียนเยอะเหลือเกิน
สำหรับวิชานี้เธอไม่ไหวจริงๆ ทำได้เท่าไรก็เท่านั้น ไม่มีความคาดหวังมากนัก
ด้านนอกสนามสอบ ตระกูลเหลียงซึ่งอยู่ในเขตเหอตงเช่นกัน ลอยล่องท่ามกลางเมฆแห่งความอับเฉาและหมอกแห่งความเศร้าหมองมานานมากแล้ว การพ้นจากตำแหน่งงานของเหลียงปิ่งอันส่งผลกระทบต่อครอบครัวอย่างใหญ่หลวง บ้านหลังเดิมค่อนข้างกว้างขวาง เหลียงปิ่งอันไม่มีตำแหน่ง อันดับแรกย่อมต้องส่งบ้านคืนให้หน่วยงาน หน่วยงานจัดสรรบ้านให้อยู่อาศัยโดยไม่เสียเงิน เมื่อไม่ทำงานในหน่วยงานอีกแล้ว ไม่ใช่รองหัวหน้าเหลียง มีสิทธิอะไรที่จะยึดบ้านไว้โดยไม่คืน?
บ้านเหลียงทั้งสี่ชีวิตจำต้องย้ายไปอาศัยกับสองผู้เฒ่าเหลียง
เหลียงปิ่งอันสามารถกลับมาอย่างไม่บุบสลายได้ แค่พ้นจากตำแหน่งไม่ใช่จำคุก สองผู้เฒ่าเหลียงเสียเงินทองไปไม่ใช่น้อย
ต้องชดใช้ส่วนที่เหลียงปิ่งอันติดหนี้ด้วย เงินที่เขายักยอกเข้าตัวถูกใช้จ่ายไปเป็จำนวนมากแล้ว หลิวฟางใช้เงินไม่ยั้งมือเลย! ในมือหลิวฟางไม่ได้เหลือเงินมากนัก ตอนนั้นเธอแจ้งจำนวนเงินเก็บของครอบครัวกับพ่อแม่สามีอย่างตรงไปตรงมา พอจะใช้หนี้ให้เหลียงปิ่งอัน เงินส่วนแรกที่ต้องใช้ก็คือก้อนนี้
สองผู้เฒ่าเหลียงไม่มีเงินเก็บมากขนาดนั้นเหมือนกัน จึงจำเป็ต้องแอบขายข้าวของมีค่าบางส่วนที่เคยได้มาโดยมิชอบในอดีต ถึงชดใช้หนี้ของเหลียงปิ่งอันหมด
พาเ้าตัวกลับมาได้ แต่จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรเล่า?
หลิวฟางไม่มีอาชีพการงาน ส่วนเหลียงปิ่งอันล้มแล้วไม่อาจลุกขึ้นอีก คนที่ถูกหน่วยงานปลดจะสามารถหางานอะไรได้ แม้กระทั่งกิจการในชุมชนชนบท เห็นราคีบนประวัติของเหลียงปิ่งอันแล้วก็ไม่ยอมรับเช่นกัน ในยุคสมัยนี้ หน่วยงานไม่ไล่ใครออกง่ายๆ เมื่อคนคนหนึ่งเข้าหน่วยงานใดตอนอายุน้อย โดยส่วนใหญ่จะผูกทั้งชีวิตไว้กับหน่วยงานแล้ว ั้แ่การงาน จัดสรรที่อยู่อาศัย สมรส ให้กำเนิดบุตร จนถึงลูกเข้าโรงเรียน เบิกค่ารักษาพยาบาล ดูแลหลังเกษียณอายุ... หน่วยงานจัดการให้ทั้งหมด การจะถูกหน่วยงานไล่ออกต้องทำเื่ร้ายแรงอะไรมา?
แถมเหลียงปิ่งอันถูกปลดจากตำแหน่งรองหัวหน้าเสียด้วย ต้องเป็ ‘ข้าราชการชั้นเลว’ คนหนึ่งอย่างแน่นอน
ดังนั้นตอนนี้หลิวฟางและเหลียงปิ่งอัน รวมเหลียงฮวนและเหลียงอวี่ ทั้งครอบครัวสี่คนไม่เพียงแต่ย้ายไปอาศัยกับสองผู้เฒ่าเหลียง ยังต้องพึ่งเงินเดือนหลังเกษียณของสองผู้เฒ่าอีกด้วย ไม่ต้องพูดเลยว่าชีวิตน่าสลดหดหู่ขนาดไหน!
เหลียงฮวนรับความตกต่ำนี้ไม่ได้ยิ่งกว่า ก่อนหน้านี้ถึงกับป่าวร้องว่าบิดาเธอจะเป็หัวหน้า ผลปรากฏว่ากลับถูกปลดและตกงาน เพื่อนในโรงเรียนที่เคยพะเน้าพะนอเหลียงฮวนพวกนั้นแตกฮือกระจัดกระจายทันที ถึงกระนั้นนักเรียนชายที่ชอบเธอยังไม่ได้หนีหายไปเสียหมด แต่เมื่อองค์หญิงน้อยผู้เคยสูงส่งตกระกำลำบาก ท่าทีของพวกเขาที่ปฏิบัติต่อเหลียงฮวนไม่เหลือความเคารพอีกแล้ว พอไร้ราศีแห่งอิทธิพลและอำนาจ เหลียงฮวนคือเด็กสาวสะสวยคนหนึ่ง ด้วยนิสัยเ้าอารมณ์เอาตนเองเป็จุดศูนย์กลางนั่น ก็เหลือใบหน้าที่ดูดีเป็ข้อดีเพียงหนึ่งเดียวแล้ว
คนบ้านเหลียงไม่ว่างพอจะไปปลอบโยนอารมณ์ของเหลียงฮวน สองผู้เฒ่าเหลียงยังพอยอมรับการเลี้ยงดูลูกชายและหลานชายหลานสาวได้ ทำไมลูกสะใภ้ที่ไม่ทำงานต้องเป็หน้าที่ให้พวกเขาเลี้ยงดู?
อีกอย่างลูกสะใภ้คนนี้ยังน่าชังด้วย!
หลังจากเหลียงปิ่งอันถูกปล่อยตัว ทัศนคติของเขาต่อหลิวฟางเปลี่ยนแปลงไปมากโขเช่นกัน เชื่อว่าตนถูกปลดจากตำแหน่งเพราะคนรักของเซี่ยเสี่ยวหลานเล่นสกปรก เขาบังคับหลิวฟางให้ไปหาเซี่ยเสี่ยวหลาน หลิวฟางไปสองหนก็กลับมามือเปล่าทั้งสองหน นำคำพูด ‘บทลงโทษยังถือว่าเบาเกินไป’ ของย่าอวี๋กลับมาแทน ทำเอาเหลียงปิ่งอันตื่นกลัวจนไม่กล้าสั่งให้หลิวฟางไปซางตูอีกแล้ว
เหลียงปิ่งอันคิดว่าตัวเขาถูกหลิวฟางดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหา เมื่อก่อนเวลาสองผู้เฒ่าเหลียงทำให้หลิวฟางลำบากใจ เขาจะยืนหยัดข้างภรรยาอย่างไม่มีข้อแม้
พอตอนนี้สองผู้เฒ่าเหลียงตำหนิหลิวฟางว่าเกาะอาศัยไปวันๆ เหลียงปิ่งอันถือเสียว่าไม่ได้เห็นไม่ได้ยิน
ต่อให้หลิวฟางหนังหน้าหนาสักเท่าไร ลูกชายลูกสาวก็กำลังมองอยู่ดี และเธอรับไม่ได้ที่โดนพ่อแม่สามีชี้หน้าด่าทอ ทว่าอาศัยใต้ชายคาคนอื่น อีกทั้งให้คนอื่นเขาเลี้ยงดู เธอจึงไม่กล้าโต้เถียง วันหนึ่ง นายเหลียงบอกว่าหางานให้เธอ พอหลิวฟางดู เธอโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ... จะให้เธอเป็พนักงานขายในห้างสรรพสินค้า!
เธอเคยมีแค่่เวลาที่ซื้อของ เธอเองยังไม่สนใจสินค้าของห้างสรรพสินค้าเขตเหอตงด้วยซ้ำ ตอนนี้จะให้เธอไปรับใช้คนอื่นรึ?
ย่าของเหลียงฮวนหน้าบูดบึ้ง “เธอไม่วุฒิอะไรสักหน่อย ทักษะก็ไม่มี เธอนึกว่างานนี้มันหาง่ายนักหรือ? ถ้าเธอเก่งกล้าพอก็ไปหาเองเสียสิ!”
งานเป็พนักงานขายในห้างสรรพสินค้า หากเป็หญิงสาววัยรุ่นคงแย่งชิงกันเป็บ้าเป็หลัง แม้เหลียงปิ่งอันล้มแล้ว ตระกูลเหลียงยังมีคนอื่นอยู่นี่นา มิเช่นนั้นจะหาอาชีพให้ผู้หญิงที่เป็แม่บ้านคนหนึ่งได้ที่ไหน หลิวฟางกล้ำกลืนฝืนทนไปทำงาน หลิวฟางรู้สึกทรมาน เหลียงฮวนเองก็ทรมานกับการเรียนเหมือนกัน โชคดีที่ภาคเรียนนี้สิ้นสุดลงและเข้าสู่ปิดภาคเรียนฤดูร้อนไว ในที่สุดเหลียงฮวนก็สามารถหลบหลีกการไปโรงเรียนได้ชั่วคราว
หลิวฟางทำงานในห้างสรรพสินค้าด้วยความไม่สบอารมณ์ ในทุกๆ วันก็กลัวว่าจะพบเจอคนรู้จักแต่เก่าก่อน
คนอื่นจะมาเพื่อซื้อสินค้าหรือ?
แท้จริงแล้วจงใจมาเพื่อิ่เกียรติเธอ มาเพื่อหัวเราะเยาะเธอ
หลังกลับมาถึงบ้านหลิวฟางก็ร้องไห้พลางกุมมือเหลียงฮวน “แม่เหลือลูกเป็ที่พึ่งแค่คนเดียวแล้ว ลูกต้องพยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อแม่ และสร้างอนาคตให้ตัวลูกเองด้วย อย่างไรเสียพ่อลูกก็พึ่งพาไม่ได้แล้ว!”
เมื่อไม่ใช่บุตรสาวรองหัวหน้าแล้ว เหลียงฮวนยังจะใช้อะไรตอบโต้กลับได้อีก? หลิวฟางคิดว่าคือการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
เซี่ยเสี่ยวหลานหาคนรักดีๆ ได้แล้วอย่างไร เรียนจบแค่ระดับมัธยมต้นไม่ใช่หรือ ชีวิตในภายภาคหน้าของเหลียงฮวนจะต้องดีกว่าเธออย่างแน่นอน!