ระยะห่างระหว่างเหลยอวี๊เฟิงและเซียวซู่ซู่มีเพียงสิบกว่าก้าวเท่านั้นแต่ว่าเวลานี้ เหลยอวี๊เฟิงกลับรู้สึกว่าเซียวซู่ซู่นั้นห่างไกลจากตนเสียเหลือเกินเขารับรู้ถึงความรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้างนั้นของนาง
สตรีผู้นี้เป็อะไรไปกันแน่?
เขาไม่ได้ลงจากหลังม้าแต่ทำเพียงแค่มองนิ่งๆอยู่อย่างนั้น มองดูสีหน้าที่แต่เดิมราบเรียบของเซียวซู่ซู่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีขาว
จากนั้น ความรู้สึกอ่อนแอไร้ทางสู้ก็กระจายออกมาจากตัวของนาง
เมื่อคิดถึงตอนนั้นที่งานชมดอกฉยงฮวาท่าทางของนางนั้นช่างสง่างามและองอาจถึงเพียงนั้นประหนึ่งว่าไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาทั้งสิ้น
ต่อให้ตอนนั้นที่เซียวมี่เข้าวังไปลาออกจากตำแหน่งแล้วเขาได้เดินทางไปหานางนางก็ยังคงมีดูสง่างาม ไม่สามารถถูกผู้ใดข่มขู่หรือคุกคามได้
แต่อนนี้ กลับมีท่าทีเช่นนี้ได้
เซียวเอินเองก็รู้สึกได้ถึงความไม่ปกติเขารีบก้าวไปด้านหน้าเพื่อพยุงเซียวซู่ซู่ก่อนจะยกมืออีกข้างหนึ่งมาทาบที่หน้าผากของนางแม้ว่าท่าทางจะดูสนิทสนมไปบ้างแต่อย่างไรเสียเขาก็เป็พี่ชายของนาง
ต่อให้เหลยอวี๊เฟิงจะรู้สึกขัดหูขัดตาอยู่บ้างแต่ก็ไม่อาจว่ากล่าวอะไรได้
พ่อบ้านเหลยเผิงเองก็คิดอยากจะก้าวไปด้านหน้าแต่กลับถูกเซียวเอินยกมือห้ามเอาไว้
“น้องเล็ก เ้าเป็อะไรไป?” เซียวเอินได้พยุงครึ่งร่างของเซียวซู่ซู่ให้ยืนได้อย่างมั่นคงแล้วจึงค่อยเอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงที่แ่เบา “เป็เพราะตลอดทางมาเหน็ดเหนื่อยจนเกินไปใช่หรือไม่?”
ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล
ตลอดทางมาอารมณ์ของเซียวซู่ซู่ก็ไม่ค่อยปกตินักเพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมาอย่างเด่นชัดก็เท่านั้น
แต่เมื่อถึงสำนักเหลยนางกลับมีท่าทางประหนึ่งิญญาหลุดออกจากร่างก็มิปาน
แน่นอนว่าทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
เมื่อเซียวซู่ซู่ที่ร่างกายเย็บเฉียบหัวสมองว่างเปล่านั้นรู้สึกได้ถึงมืออุ่นๆ ของเซียวเอินที่ทาบมาบนหน้าผากของตนสีหน้าที่นิ่งค้างของนางก็ค่อยๆ มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น สติของนางก็ค่อยๆ กลับคืนมา
แต่ดวงตายังคงจ้องมองไปทางเหลยอวี๊เฟิงที่นั่งอยู่บนหลังม้าที่ห่างไปไม่ไกลนัก
ภาพที่แต่เดิมพร่าเลือนก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
ความหนักอึ้งในใจของนางก็ค่อยๆ มลายหายไป
นางพิงตัวอยู่บนไหล่ของเซียวเอินขณะที่หันหน้าไปด้านข้าง มองดูสีหน้าเป็กังวลของเขา นางถึงจะรู้สึกตัวว่านางคือเซียวซู่ซู่ไม่ใช่ซูฉีฉี การมาครั้งนี้เป็การเดิมพันชะตาชีวิตของทุกคนในสกุลเซียว
นางจะมีท่าทางอ่อนแอและเปราะบางเช่นนี้ได้อย่างไร
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของนางก็ดีขึ้นมากอาการหนาวเย็นจนไร้ความรู้สึกเมื่อครู่ก็ได้หายไปแล้ว
ความอ้างว้างเดียวดายก็ได้ถูกฝังไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ
เซียวซู่ซู่ส่ายศีรษะก่อนจะพยายามฉีกยิ้มขึ้นพลางยกมือขึ้นไปจับแขนของเซียวเอินเพื่อพยุงตัวเองเอาไว้ “พี่ใหญ่ ข้าไม่เป็อะไร แค่รู้สึกเหนื่อยบ้างเล็กน้อย”
จากนั้นก็ก้าวเท้าไปด้านหน้ามุ่งไปทางเหลยอวี๊เฟิง
ฝีเท้าของนางช้าไปอยู่บ้างแต่กลับไม่ได้ดูไร้สติไร้ิญญาเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว
เมื่อครู่ นางดูเหมือนตุ๊กตาที่ไร้ิญญาก็ไม่ปาน
การเปลี่ยนแปลงของเซียวซู่ซู่ล้วนประจักษ์แก่สายตาของทุกคนเหลยอวี๊เฟิงเองก็สังเกตเห็นมันอย่างชัดเจน
เหลยอวี๊เฟิงทำเพียงแค่ขมวดคิ้วเบาๆมิได้เอ่ยอะไรออกมา และเมื่อเห็นว่านางเดินตรงมาทางเขาเขาก็พลิกตัวลงจากหลังม้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คุณหนูเล็กสกุลเซียวในที่สุดท่านก็มาถึงเสียที”
รอยยิ้มบนใบหน้ามีความเ้าเล่ห์อยู่บ้าง
ต่อหน้าสาวงาม เขามักจะเป็เช่นนี้เสมอ
และตอนนี้ เขายิ่งตั้งใจให้มันเป็เช่นนี้
“ขออภัยที่ให้เ้าสำนักเหลยรอนานแล้ว” เซียวซู่ซู่ไม่มีอารมณ์มาหยอกล้อกับเขาและนางเองก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยชอบล้อเล่น จึงทำเพียงแค่ย่อตัวทำความเคารพกลับไป
นี่ก็ทำให้เหลยอวี๊เฟิงรู้สึกเก้อเขินอยู่บ้าง
นับวันเขายิ่งรู้สึกว่าบุคลิกและท่าทางเช่นนี้ของเซียวซู่ซู่นั้นเป็สิ่งที่เขาคุ้นเคยเป็อย่างยิ่ง
ซูฉีฉีในอดีต ก็เป็เช่นนี้กระมัง
ก่อนที่ความรู้สึกอับจนปัญญาจะพุ่งทะยานขึ้นในหัวใจของเขาอีกครั้ง
เขารู้สึกว่าสตรีที่น่าเบื่อเช่นนี้ก็คงมีแต่บุรุษที่น่าเบื่ออย่างม่อเวิ่นเฉินเท่านั้นจึงจะยอมรับได้
หลังจากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะเบาๆให้ตนเองเลิกมีความคิดเป็อื่นเกี่ยวกับเซียวซู่ซู่ผู้นี้
เป็ความจริงที่สตรีที่มีความสามารถเก่งกาจเช่นนี้ใครบ้างจะไม่รู้สึกหวั่นไหว รวมถึงเหลยอวี๊เฟิงเองก็เช่นกัน
แต่ในเวลานี้ เขากลับรู้สึกว่าสำหรับหญิงงามผู้นี้เขาคงมีบุญแต่ไร้วาสนาเสียแล้ว
“เชิญทางนี้” เหลยอวี๊เฟิงที่รู้สึกเบื่อหน่ายจึงทำได้เพียงแค่ผายมือออกก่อนจะเอียงตัวไปด้านข้างเพื่อให้เซียวซู่ซู่และเซียวเอินเดินนำไปก่อนก้าวหนึ่ง
ด้านหน้าห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าวก็มีคนรับใช้ของสำนักเหลยหามเกี้ยวรออยู่ก่อนแล้วครั้งนี้เซียวซู่ซู่นั้นถือเป็แขกผู้มีเกียรติของเหลยอวี๊เฟิงเลยก็ว่าได้
เพราะว่าเจียวเหว่ยเขาจะต้องคว้ามันมาครองให้ได้
ผู้ติดตามเซียวซู่ซู่และเซียวเอินมีเพียงสาวใช้คนหนึ่งเท่านั้นและในตอนนี้นางเองก็ได้ก้าวลงมาจากรถม้าอีกคันหนึ่ง และสิ่งที่นางกำลังอุ้มไว้ในมือตอนนี้ก็คือพิณชิงเจี่ยว
แต่ว่าชิงเจี่ยวในมือของนางกลับถูกผ้าแพรสีเหลืองห่อเอาไว้อย่างดีทำให้ไม่มีใครเห็นหน้าตาที่แท้จริงของมัน
แน่นอนว่า ต่อให้เป็เช่นนี้เหลยอวี๊เฟิงก็ยังคงสามารถรู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาของพิณตัวนี้ สายตาของเขาก็พลางจับจ้องไปที่สาวใช้ผู้นั้น
เขานึกไม่ถึงจริงๆว่าสกุลเซียวจะมีสมบัติล้ำค่าถึงเพียงนี้
คิดดังนั้นพลางพลิกตัวขึ้นขี่ม้าของตนอีกครั้งด้วยท่วงท่าที่สง่างามเขาเองก็รู้ว่าครั้งนี้เซียวซู่ซู่เองก็ได้ทำการเตรียมพร้อมมาเป็อย่างดี
แม้ว่าความหวังในตอนแรกจะถูกพังทลายไปบ้างและความสนใจในตัวเซียวซู่ซู่ก็ลดลงไปไม่น้อยแต่ว่าสำหรับฝีมือการดีดพิณของเซียวซู่ซู่แล้ว เขาก็ยังคงรู้สึกชื่นชมเป็อย่างมากและเื่เมื่อครู่ก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของเขาลดน้อยลงไปแม้แต่น้อย
สำหรับพิณแล้ว เขารู้สึกชื่นชอบมันจริงๆโดยความรู้สึกชื่นชอบนี้เกิดมาจากกระดูกภายในร่างกายของเขา
เพราะฉะนั้นเขาถึงหลงใหลในเจียวเหว่ยอย่างไม่รู้ลืมถึงเพียงนี้ และแน่นอนว่าครั้งนี้เขาไม่ได้ทำเพื่อให้ตนเองได้เจียวเหว่ย แต่เขาทำเพื่อม่อเวิ่นเฉิน
การเข้ามาที่สำนักเหลยอีกครั้งทำให้เซียวซู่ซู่ต้องพยายามเป็อย่างมากในการควบคุมสติอารมณ์ของตนเองไม่ให้นางเกิดความรู้สึกเครียดหรือกดดันขึ้นมาในหัวใจ เพราะหากเป็อย่างนี้ต่อไปนางเกรงว่าตนเองจะพ่ายแพ้ต่อการแข่งขันในครั้งนี้
และนางก็ไม่อาจแพ้ได้
ระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทางยาวนานไปถึงสามวันสามคืนจึงเหลือเพียงเจ็ดวันที่จะให้เซียวซู่ซู่คุ้นเคยกับบรรยากาศที่แห่งนี้
และเหลยอวี๊เฟิงก็ไม่รู้ว่าที่นี่เซียวซู่ซู่นั้นคุ้นเคยเป็อย่างดี คุ้นเคยจนนางไม่คิดอยากจะเหยียบย่างเข้ามาอีก
ครั้งนี้ นางไม่ได้พบกับเหลยอวี่เหยาแม้ว่าสาวน้อยผู้นั้นจะไม่ได้เป็มิตรนัก แต่อย่างน้อยก็รู้จักยั้งมื้อทันเวลาและไม่ได้เป็เหมือนฮวาเชียนจือที่ทำทุกวิถีทางโดยไม่สนอะไรเพื่อจัดการกับนางครั้งแล้วครั้งเล่า
และสุดท้ายเหลยอวี่เหยาและซูฉีฉีก็เรียกได้ว่าเป็กึ่งสหายกันไปแล้ว
แค่เพียงเพราะความอดสูที่ซูฉีฉีได้ประสบ
ตอนนั้นเหลยอวี่เหยาคิดจริงๆว่าความสัมพันธ์ของม่อเวิ่นเฉินและซูฉีฉีนั้นไม่ธรรมดา
แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่ซูฉีฉีถูกแทงทะลุหัวใจทำให้เหลยอวี่เหยายิ่งเชื่อในคำพูดของซูฉีฉีในตอนแรกมากยิ่งขึ้น
และไม่เพียงแต่เหลยอวี่เหยาที่เชื่อทุกคนในแผ่นดินนี้ล้วนเชื่อว่าซูฉีฉีเป็เพียงหมากตัวหนึ่งสำหรับม่อเวิ่นเฉินเท่านั้นหลังจากที่ใช้ประโยชน์เสร็จแล้วก็สามารถทอดทิ้งได้อย่างไม่ไยดีอีกทั้งยังมีจุดจบที่น่าอเนจอนาถถึงเพียงนั้น
เหลยอวี๊เฟิงได้สั่งให้คนจัดห้องพักให้กับเซียวซู่ซู่แล้วตอนนี้นางมีเสื้อคลุมตัวบางคลุมไหล่ไว้อยู่มือกำลังอุ้มชิงเจี่ยวเอาไว้ขณะที่สายตาจับจ้องไปที่ทิศทางอันไกลโพ้น
ความจริงแล้วนางไม่ได้มองอะไรอยู่เพียงแค่กำลังเหม่อลอยเท่านั้น
เรือนรับรองแห่งนี้อยู่ทางทิศใต้สุดของสำนักเหลยมีความเงียบสงบเป็อย่างมาก ในเวลาทั่วไปมักไม่มีคนย่างก้าวเข้ามาและตอนนี้เหลยอวี๊เฟิงยิ่งออกคำสั่งกำชับทุกคนไม่ให้ผู้ใดไปรบกวนเซียวซู่ซู่อีกด้วย
เพราะฉะนั้น เรือนรับรองที่ใหญ่โตเช่นนี้มีเพียงเซียวซู่ซู่ยืนอยู่คนเดียวเงียบๆ
ไม่รู้ว่านางอุ้มพิณไว้นานแค่ไหนแล้วแต่นางกลับไม่รู้สึกว่าหนักหรือเมื่อยล้าแม้แต่น้อย
และทางเซียวเอินก็ได้ถูกเหลยอวี๊เฟิงเชิญไปห้องโถงด้านหน้าแล้ว
แต่ว่า ต่อให้เขาอยู่ที่นี่เขาเองก็ไม่รู้จะปลอบประโลมเซียวซู่ซู่อย่างไรดี
ความผิดปกติของเซียวซู่ซู่ทำให้เขาไม่รู้จะทำตัวเช่นไรดี
เพราะถึงอย่างไรสกุลเซียวและสกุลเหลยก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อยเพราะฉะนั้นเขาจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดเมื่อยามที่น้องสาวของตนได้มาเหยียบที่สถานที่แห่งนี้แล้วจึงมีการตอบสนองเช่นนั้นออกมา
หลังจากที่ลมเย็นๆ พัดผ่านมาทำให้เซียวซู่ซู่ที่ไม่รู้ว่ายืนอยู่ตรงนั้นนานเท่าใดแล้วเริ่มสั่นสะท้านด้วยความเหน็บหนาวทำให้สติของนางเองก็ค่อยๆ กลับคืนมา
นางค่อยๆ วางชิงเจี่ยวไว้บนแท่นพิณก่อนจะจัดการเครื่องแต่งกายและผมเพ้าของตนให้เรียบร้อย แล้วจึงค่อยๆ นั่งลงนิ้วมือเรียวยาวลากผ่านสายพิณเบาๆ ก่อนที่เสียงไพเราะจะดังสะท้อนออกมา
และแผ่กระจายไปจนสุดขอบฟ้า
แต่เหลยอวี๊เฟิงที่อยู่ห้องโถงด้านหน้ากลับนิ่งค้างไปเพราะว่าความเศร้าโศกที่อัดแน่นในเสียงพิณนั้นฟังดูน่าะเืใจเป็อย่างยิ่ง
มือที่ถือถ้วยน้ำชาไว้ทาบริมฝีปากเตรียมจะดื่มลงไปก็ค้างอยู่ตรงนั้นขณะที่คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเบาๆ พลางหันไปมองทางเรือนที่อยู่ทิศใต้ของสำนัก
เซียวเอินเองก็รู้สึกถึงความโศกเศร้าที่แฝงอยู่ในเสียงพิณนั้นความเ็ปเช่นนั้นเหมือนกับว่ามันถูกส่งตรงมาจากด้านในของกระดูก
เซียวเอินรีบวางแก้วชาของตนลง “เ้าสำนักเหลย ข้าคงต้องขอตัวก่อนแล้ว”
เขาเอ่ยขึ้นพลางก้าวเดินออกไปด้านนอก
เหลยอวี๊เฟิงเองก็วางถ้วยชาลงและรีบก้าวเดินตามไปด้วยความงุนงงเล็กน้อย “ข้าไปพร้อมกับท่านดีกว่า”
เซียวเอินไม่ได้เอ่ยตอบตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น น้องสาวผู้นี้ของเขาเป็อะไรไปกันแน่นางที่สลบไสลมาเป็เวลาหลายปีเช่นนี้นอกจากภัยอันตรายที่สกุลเซียวกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ นางก็ไม่น่าจะมีเื่ราวใดๆให้เศร้าโศกหรือกังวลใจ เช่นนั้นเหตุใดนางจึงบรรเลงเสียงพิณเช่นนี้ออกมาได้
“น้องสาวของท่านมีเื่ในใจ” เหลยอวี๊เฟิงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เหมือนจะเป็เช่นนั้น” เซียวเอินเองก็ไม่รู้ว่าตนควรจะทำเช่นไรดี
เขาไม่อยากให้อารมณ์ของเซียวซู่ซู่ได้รับความะเืใจใดๆแต่ว่าความปลอดภัยครั้งนี้ของสกุลเซียวนั้นก็ล้วนขึ้นอยู่กับนางแล้ว
“แต่ว่า เสียงพิณเช่นนี้กลับยิ่งสามารถะเือารมณ์ของผู้ฟังได้เป็อย่างดี” เหลยอวี๊เฟิงนั้นกลับไม่รู้สึกว่าเื่นี้เป็เื่ที่แย่รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาเขารู้สึกว่าเสียงพิณเช่นนี้ไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถบรรเลงออกมาได้
ต้องมีบรรยากาศ ความสามารถและก็อารมณ์เช่นนี้จริงๆจึงจะทำได้!