เหมือนกับที่บรรยายไปข้างต้น งานเลี้ยงรับประทานอาหารของตระกูลจิ่งไม่เหมือนกับที่อื่นที่ไม่มีการแบ่งแยกศักดิ์สูงต่ำหรืออายุมากน้อย ใครอยากจะนั่งตรงไหนก็นั่ง อยากนั่งติดกับใครก็ได้ การเปลี่ยนที่นั่งระหว่างรับประทานอาหารก็ทำได้ตามใจ ไม่มีการคิดเล็กคิดน้อยใดๆ
แต่พวกเด็กๆ ก็มักจะชอบนั่งรวมกับคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ดังนั้นพวกผู้ใหญ่ของตระกูลจิ่งก็จะนั่งทางฝั่งที่นั่งหลัก ตอนนี้รุ่นใหญ่ของตระกูลจิ่งที่มามีแค่ จิ่งเหวินซาน จิ่งเหวินซิง ส่วนคนอื่นยังไม่เคยมาร่วมด้วยสักครั้ง จิ่งเหวินเยว่นั้นแต่งงานไปอยู่ไกล ปีหนึ่งยากนักที่จะกลับมาได้สักครั้ง จิ่งเหวินหยุน [1] นั้นชื่อสมตัว ล่องลอยคล้ายก้อนเมฆ ท่องเที่ยวอยู่ด้านนอกอยู่เป็เวลานานๆ น้อยครั้งที่จะอยู่บ้าน ส่วนจิ่งเหวินหยู่นั้นอยู่บ้าน แต่เขาร่างกายอ่อนแอมาโดยตลอด และไม่ค่อยมีตัวตนเท่าไร ถึงมาแล้วก็ไม่ค่อยพูดจา มักจะนั่งนิ่งๆ เงียบๆ อยู่อีกด้านหนึ่ง ครั้งนี้เกรงว่าคงยังนอนป่วยอยู่บนเตียง
สำหรับตระกูลจิ่งที่าุโขึ้นไปอีกรุ่นหนึ่งนั้น ส่วนใหญ่กำลังท่องเที่ยวอยู่ด้านนอกหรือไม่ก็เก็บตัวศึกษาหาความรู้ ตอนนี้ที่มาก็มีเพียงแค่ ‘จิ่งอัน’ ท่านผู้นี้เป็ตระกุลจิ่งรุ่นปู่ที่อายุน้อยที่สุดในรุ่น มีเครายาวสีขาว นั่งอยู่ตรงที่นั่งหลัก หัวเราะสนุกสนาน ดูคล้ายเฒ่าทารกอยู่เหมือนกัน
จิ่งเหวินซานนั่งอยู่ทางด้านซ้ายของจิ่งอัน เซียวหยางผิงนั่งอยู่ทางด้านขวา ติดกันคือ จิ่งเหวินซิง
อ๋าวหรานถูกจิ่งเซียงลากออกไปนั่งไกลจากที่นั่งหลักอยู่พอสมควร คนที่ถูกลากมาพร้อมกันด้วยนั้นคือจิ่งฝาน ั้แ่ที่จิ่งฝานมีชื่อเสียง กลายเป็นายน้อยตระกูลจิ่ง ในงานเลี้ยงเช่นนี้จิ่งฝานก็กลายเป็คนที่ถูกแย่งชิง พวกเด็กๆ แย่งชิงกันจะนั่งด้วยกันกับเขา ส่วนจิ่งฝานก็แค่ยิ้มๆ แล้วตามใจพวกเขาไป
จิ่งเซียงไม่ได้นั่งกับจิ่งฝานมาหลายครั้งแล้ว ถึงจะบอกว่าเป็แค่การกินข้าวมื้อหนึ่งเท่านั้น แต่นิสัยของเด็กๆ ก็มักจะต้องแย่งกันสักหน่อยเสมอ
ครั้งนี้ ั้แ่ต้นมือซ้ายขวาของจิ่งเซียงล้วนคล้องจิ่งฝานกับอ๋าวหรานไว้ จิ่งฉีเองก็ฉลาดคล้องแขนอีกข้างของจิ่งฝาน มานั่งรวมกับพวกเขาอย่างหน้าด้านๆ แต่จิ่งเคอกลับนั่งอยู่ข้างอ๋าวหราน พูดตามจริง อ๋าวหรานรู้สึกลึกๆ ว่าเขาควรไปนั่งด้วยกันกับพวกผู้าุโมากกว่า
ไม่พูดมาก เื่กินเื่ใหญ่ อ๋าวหรานนับว่าได้เปิดหูเปิดตากับระดับความร่ำรวยของตระกูลจิ่งแล้ว สาวใช้หน้าตางดงามเดินเรียงกันเข้ามาเป็แถว ถือจานอาหารเข้ามา วางลงเต็มโต๊ะ ดูอุดมสมบูรณ์เหลือเกิน อ๋าวหรานที่ได้พบเจอกับอาหารเลิศรสของยุคปัจจุบันมามากมาย ก็ยังอดตะลึงไม่ได้
จิ่งเซียงเห็นอ๋าวหรานตกตะลึง อดพูดอย่างลำพองไม่ได้ว่า “เป็ไง ไม่เลวละสิ น่าเสียดายเ้ายังกินมากไม่ได้ แผลยังไม่หายดีทั้งหมด”
ระหว่างพูดก็คีบก้านผักเขียวก้านหนึ่งวางลงในถ้วยของอ๋าวหราน
อ๋าวหรานอดแกล้งนางไม่ได้ คีบก้านผักเขียวให้นางเหมือนกัน พูดว่า “กินผักใบเขียวให้มากๆนะ ระวังจะอ้วน”
จิ่งเซียงกัดฟัน “เฮอะ!”
จิ่งฉีมองดูคนทั้งสองหยอกล้อกัน ยื่นศีรษะมาถาม “อ๋าวหราน ตระกูลเ้าตอนนี้ไม่เหลือญาติแล้วจริงๆ หรือ?”
จิ่งเซียง “ฉีฉี”
อ๋าวหรานส่ายศีรษะตอบ “ไม่ทั้งหมดหรอก แค่ว่าญาติสายตรงไม่มีแล้ว ยังมีศิษย์พี่อีกคนออกไปฝึกฝนด้านนอก พอดีรอดพ้นเหตุการณ์ร้ายไป แล้วยังมีลูกหลานในตระกูลอีกนิดหน่อย”
จิ่งฉี “ตระกูลเ้าเหตุใดจึงถูกฆ่าล้างตระกูลหรือ? ข่าวลือในยุทธภพว่าพวกเ้าเข้าไปยุ่งกับคนที่ไม่ควรยุ่ง บ้างก็ว่าตระกูลเ้ามีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ ตกลงอันไหนกันแน่ที่เป็ความจริง?”
จิ่งเซียง “จิ่งฉี!” รอบนี้เรียกทั้งชื่อพร้อมนามสกุล
บนโต๊ะอาหาร บรรยากาศยังไม่คึกคัก ทุกคนยังคงเงียบอยู่ จิ่งฉีเองก็พูดเสียงดัง บทสนทนาของทั้งสองคน คนทั้งโต๊ะได้ยินหมดแล้ว ชั่วขณะหนึ่งทั้งโต๊ะกลับเงียบสนิท
จิ่งฝานเองก็นั่งนิ่งเงียบ เก็บสีหน้า คาดเดาอารมณ์ไม่ออก
เงียบไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงจิ่งเหวินซานแสร้งพูดอย่างสมเหตุสมผลว่า “คุณชายอ๋าวก็ช่วยอธิบายหน่อยเถิด ถึงแม้จิ่งเซียงจะเป็คนช่วยเ้ากลับมา จิ่งฝานเองก็ตกลงให้เ้าอยู่ที่นี่แล้ว แต่พวกเขาอายุยังน้อยไม่รู้หนักเบา แต่เื่ของท่านนั้นเรียกได้ว่าหนักหนา ในเมื่อข้านั่งอยู่ที่นี่แล้วก็ต้องคิดเพื่อตระกูลจิ่ง รู้ให้ชัดจะได้เป็การป้องกันไว้ก่อน!”
จิ่งเหวินซานกล่าวประโยคนี้ออกมาได้ไม่เลวจริงๆ แสดงความห่วงใยต่อตระกูลจิ่งอย่างจริงใจ และยังสื่อให้เห็นถึงความไม่สุขุมหนักแน่นของจิ่งฝาน
ถึงแม้จะเป็คำพูดยุแยงที่ดูไร้ระดับไปสักหน่อย แต่ก็นับว่าได้ผลอยู่บ้าง
ต่อให้ตระกูลจิ่งจะแข็งแกร่งสักเท่าใด ก็ไม่อยากต้องประสบเคราะห์โดยไม่รู้ตัว
อ๋าวหราน “ข้า...”
จิ่งเซียง “ท่านลุง ตระกูลจิ่งของเราเป็หมอรักษาผู้คนมาโดยตลอด คอยสอดส่องช่วยเหลือผู้คนทั่วหล้า ตอนนี้อ๋าวหรานประสบภัย ไม่ควรช่วยอย่างนั้นหรือ?”
จิ่งเหวินซาน “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าช่วยได้หรือไม่!”
ไม่อาจปฏิเสธได้ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ครั้งนี้จิ่งเหวินซานก็มีเหตุผลมากกว่า เขามีใจคิดถึงตระกูลจิ่ง อีกทั้งยังไม่ได้บอกว่าไม่ช่วย แค่บอกว่าให้อ๋าวหรานอธิบายให้ชัดเจน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะช่วยหรือไม่
จิ่งเซียง “แต่......”
อ๋าวหรานดึงมือจิ่งเซียงไว้ ปลอบว่า “เซียงเซียง ขอบใจเ้ามาก”
พูดจบหันหน้าไปหาจิ่งเหวินซาน “ท่านลุงจิ่งพูดถูกแล้ว อ๋าวหรานมีภัยถึงชีวิตตามติดตัวอยู่ รั้งอยู่ที่ตระกูลจิ่ง จะนำภัยมาสู่ตระกูลจิ่งได้จริงๆ เกี่ยวกับเื่ที่เหตุใดตระกูลอ๋าวถึงพบกับการฆ่าล้างตระกูลนั้น อ๋าวหรานทราบอยู่เล็กน้อย เมื่อก่อนเคยฟังบิดาเล่าว่า ตระกูลอ๋าวของเรา ที่เหมืองเงินบนแผ่นดินใหญ่ทางด้านตะวันออกเหมือนจะเกิดความขัดแย้งกับตระกูลอื่นขึ้น ตอนนั้นบิดาไม่ได้ใส่ใจมากนัก ต่อมาถึงรู้ว่าเขาแร่นี้ตระกูลเฉินทางตะวันออกเฉียงเหนือสนใจอยู่ ตอนนั้นที่ขัดแย้งกัน ก็เป็กับพวกเขานี่แหละ ครั้งนี้ที่บ้าน......”
อ๋าวหรานกัดฟัน กลืนก้อนสะอื้นพูดต่อ “ครั้งนี้ตอนที่ที่บ้านประสบเคราะห์ นัก... นักฆ่าพวกนั้น ก็เคยพูดอย่างโเี้ว่าตระกูลอ๋าวเล็กๆ เช่นพวกเรากล้าแย่ชิงเหมืองเงินของพวกเขา”
อ๋าวหรานพูดไปเช่นนั้น ทุกคนในที่นั้นก็มีสีหน้าแตกต่างกันออกไป
มีแค่เซียวหยางผิงที่ถามอย่างร้อนรนว่า “แต่ข้าได้ยินมาว่า พวกนั้นเหมือนจะให้พวกเ้ามอบของบางอย่างออกมา?”
อ๋าวหรานทำเป็ตกอกใ ถามว่า “ผู้นำเซียวท่านรู้ได้เช่นไร?”
เซียวหยางผิงถึงรู้ว่าตนเองยั้งกริยาไม่อยู่ รีบปรับสีหน้า พูดอย่างอ่อนโยนว่า “แค่ได้ยินมาเท่านั้น หรือว่าจะมีเื่เช่นนี้อยู่จริงๆ?”
อ๋าวหรานพยักหน้าตอบ “มีเื่เช่นนี้จริง”
เซียวหยางผิง “เช่นนั้น...”
อ๋าวหรานส่ายหัวอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี พูดว่า “พวกนั้นอยากได้คัมภีร์ลับของตระกูลเรา แต่กลับไม่รู้ว่า คัมภีร์ลับเพลงกระบี่ของตระกูลเราแค่ไปถามลูกหลานสักคนในตระกูลก็รู้ได้แล้ว”
เซียวหยางผิงใถามว่า “พวกนั้น...อยากได้เพลงกระบี่ของตระกูลเ้า?”
อ๋าวหรานยิ้มขมขื่น “ใช่แล้ว เฮ้อ เป็ภัยที่คาดไม่ถึงจริงๆ!”
มองสีหน้าสงสัยของเซียวหยางผิง อ๋าวหรานลอบยิ้มเย็มในใจ
เชิงอรรถ
[1] จิ่งเหวินหยุน (景文云)หยุนตัวนี้ในภาษาจีนมีความหมายว่า เมฆ