อีกไม่กี่ลี้ก็จะถึงหมู่บ้านแล้ว ขณะนั้นเองมีคนไล่ตามชายวัยกลางคนมาทางด้านหลัง เอ่ยเรียกเขาเอาไว้
“นี่มิใช่พี่ใหญ่สวี่หรอกหรือ” ชายหนุ่มผู้สวมเสื้อผ้าเก่าขาดแต่สะอาดสะอ้าน สะพายตะกร้าใบหนึ่งอยู่ที่หลังกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกใจปนอิจฉา
สวี่เจิ้งฉีกยิ้มกว้าง “ข้าเอง น้องหวัง เ้าจะไปที่ใด”
“ข้าจะไปขายหัวไชเท้าที่อำเภอ หิมะตกแล้ว ราคาผักเพิ่มขึ้นไม่น้อย ข้าจึงนำหัวไชเท้าจากห้องใต้ดินที่บ้านออกมาหลายหัว ว่าจะนำไปขายที่หน้าประตูอำเภอฉางผิง”
“เ้าขายหัวไชเท้าชั่งละเท่าไร” สวี่เจิ้งนึกถึงหัวไชเท้าที่ห้องใต้ดินของบ้านตน พรุ่งนี้นำหัวไชเท้าไปขายที่อำเภอดีหรือไม่
“ชั่งละสองทองแดงครึ่ง” ในน้ำเสียงของชายหนุ่มเจือไปด้วยความดีใจ หัวไชเท้าเจ็ดหัวของเขา รวมแล้วก็ขายได้หกสิบห้าทองแดง นี่เป็เงินจำนวนมากเลยทีเดียว
“ราคานี้ยังนับว่าดี”
“หัวไชเท้าของบ้านข้าราคาสู้เต้าหู้ที่บ้านท่านขายไม่ได้หรอก เต้าหู้ของบ้านท่านชั่งละห้าทองแดง หนึ่งชั่งก็ซื้อหัวไชเท้าของข้าได้สองหัวแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงอิจฉา จู่ๆ ก็ทอดสายตามองสำรวจสวี่เจิ้งแล้วถามว่า “พี่ใหญ่สวี่ ท่านไม่นั่งเกวียนล่อของบ้านท่านหรือ”
สวี่เจิ้งรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “เกวียนล่ออันใดกัน บ้านข้าจะไปเอาเกวียนล่อมาจากที่ใด”
ชายหนุ่มกล่าวโดยไม่พักหายใจ “ล่อของบ้านท่านตัวใหญ่กว่าลาเสียอีก เกวียนล่อก็มีขนาดพอๆ กับเกวียนลา ครอบครัวท่านขับเกวียนล่อไปขายเต้าหู้ทุกวัน ได้ยินคนหมู่บ้านหลี่ของพวกท่านบอกว่าครอบครัวท่านหาเงินได้มากจนรับไม่ไหวเลยทีเดียว”
“เ้าพูดอะไรของเ้า ข้าไม่เข้าใจ” สวี่เจิ้งอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ยื่นมือไปตบไหล่ของอีกฝ่าย
ชายหนุ่มเห็นท่าทางของสวี่เจิ้งไม่ได้โกหก จึงถามว่า “พี่ใหญ่สวี่ วันนี้ท่านจะไปที่ใด”
“หลายเดือนมานี้ข้าไปทำงานสร้างกำแพงเมืองอยู่ที่เมืองเยี่ยน เมื่อคืนเมืองเยี่ยนหิมะตก วันนี้จวนเ้าเมืองจึงออกคำสั่งให้หยุดสร้างกำแพงเมืองั้แ่เช้า ให้พวกเราแยกย้ายกันกลับบ้าน นี่ข้าก็เพิ่งกลับมาจากเมืองเยี่ยน”
เมืองเยี่ยนหิมะตกเร็วกว่าที่อำเภอฉางผิงหลายชั่วยาม กลางดึกอุณหภูมิก็ลดต่ำลงมากแล้ว ยามเช้ามีแรงงานสองคนหลับไม่ตื่น หัวหน้าคนงานเห็นคนงานสองคนเกือบหนาวตาย จึงรีบไปแจ้งขุนนางผู้รับผิดชอบ ทางจวนเ้าเมืองเห็นหิมะตกก็กลัวว่าอากาศหนาวจะทำให้คนตาย จึงรีบระงับการสร้างกำแพงเมืองไว้ก่อน แล้วสรุปเงินจ่ายค่าจ้างให้ทุกคน
ในสาบเสื้อของสวี่เจิ้งมีเงินที่มาจากการสร้างกำแพงเมืองที่ได้มาอย่างยากลำบากอยู่ เขากลัวถูกผู้อื่นแย่งชิงจึงไม่กล้าซื้อของระหว่างทาง รีบฝ่าหิมะออกจากเมืองเยี่ยมแล้วตรงกลับบ้านทันที
ชายหนุ่มได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจกระจ่าง “ที่แท้ท่านก็อยู่ที่เมืองเยี่ยนมาตลอด จึงไม่รู้ว่าครอบครัวท่านขายเต้าหู้ทำเงินได้มากมายจนซื้อเกวียนล่อได้แล้ว”
มีชาวบ้านที่ผ่านทางมาสองคนหันมาพูดกับสวี่เจิ้งว่า “พี่ชายเป็คนของหมู่บ้านหลี่หรือ”
สวี่เจิ้งตอบ “ใช่”
ชาวบ้านสองคนนั้นมีสีหน้าอิจฉา “หมู่บ้านหลี่ของพวกท่านดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ ทั้งการก่อเตียงเตา ทั้งการขายเต้าหู้ แต่ละครอบครัวร่ำรวยกันหมดแล้ว”
“พี่ชายแซ่หวังใช่หรือไม่”
“ข้าแซ่สวี่” สวี่เจิ้งรู้เื่ตระกูลหวังก่อเตียงเตาั้แ่ก่อนออกจากหมู่บ้านแล้ว ทว่าเต้าหู้ที่ชายหนุ่มสองคนนี้กล่าวถึงคือสิ่งใด
ชายหนุ่มหันไปยิ้มกับชาวบ้านสองคนนั้น “ครอบครัวของพี่ใหญ่สวี่ก็ขายเต้าหู้ตระกูลหลี่จนตอนนี้ซื้อล่อได้แล้วตัวหนึ่ง”
ชาวบ้านทั้งสองมองสวี่เจิ้งด้วยสายตาที่แตกต่างกันออกไป คนหนึ่งถึงกับถามว่า บุตรสาวของสวี่เจิ้งหมั้นหมายแล้วหรือไม่
สวี่เจิ้งเป็ครอบครัวที่ย้ายมาจากนอกพื้นที่ อีกทั้งยังมีลูกมาก ครอบครัวก็ยากจนมากด้วย ก่อนหน้านี้ไม่มีใครมาถามเื่หมั้นหมายของบุตรสาว นี่เป็ครั้งแรกที่คนผ่านทางมาพบหน้ากันครั้งแรก ก็ถามถึงเื่หมั้นหมายของบุตรสาวแล้ว สวี่เจิ้งดีใจจนแทบสลบ “ท่านเป็คนจากหมู่บ้านใดหรือ”
ชาวบ้านผู้นั้นรีบแย่งสัมภาระของสวี่เจิ้งมาถือให้ แล้วตอบยิ้มๆ ว่า “ข้าเป็คนจากหมู่บ้านตระกูลฟาง ชื่อฟางซื่อหนิว พี่สวี่หากมีเวลาก็มานั่งเล่นที่บ้านข้าได้”
หมู่บ้านตระกูลฟางใกล้กว่าหมู่บ้านหลี่ ชาวบ้านสองคนกลับถึงบ้านก่อน ส่วนสวี่เจิ้งก็เดินกลับมาถึงหมู่บ้านหลี่โดยไม่ทันรู้ตัว เขาบอกลาชายหนุ่มผู้ร่วมเดินทางแล้วเดินเข้าหมู่บ้านไป
มีเด็กหลายคนวิ่งอยู่บนพื้นหิมะ ด้านหลังมีหญิงชราสองคนเรียกให้พวกเขากลับบ้าน
“ลุงสวี่ สวัสดีขอรับ”
“ลุงสวี่”
เด็กหลายคนวิ่งเข้ามารอบๆ สวี่เจิ้ง นอกจากเด็กเล็กที่สุดที่อายุสามขวบแล้วคนอื่นๆ ต่างก็ทักทายเขา
หญิงชราทั้งสองเป็คนตระกูลหวัง พวกนางถึงกับหยุดยืนเพื่อทักทายสวี่เจิ้งด้วยท่าทางเป็มิตร “หลานสวี่ ในที่สุดก็กลับมาแล้ว ภรรยาเ้ายืนรอเ้าอยู่ที่ปากทางหมู่บ้านทุกวันเชียว”
“หลานสวี่ เ้าช่างวาสนาดีจริงๆ ที่มีลูกเก่งๆ อย่างซื่อโก่วจื่อและอู่โก่วจื่อ”
“ป้าสะใภ้สาม ป้าสะใภ้ห้า” สวี่เจิ้งไม่ค่อยชินกับความเป็มิตรของหญิงชราทั้งสองเลยจริงๆ
“หากมีเวลาก็มาดื่มน้ำหวานที่บ้านข้าได้” หญิงชราทั้งสองโบกมือให้สวี่เจิ้ง
บ้านและประตูรั้วที่เก่าจนผุพังของบ้านสวี่เจิ้งถูกซ่อมแล้ว ที่ลานบ้านมีหิมะตกจนทับถมเป็พื้นหนา ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กดังออกมาจากประตูห้องโถงที่ปิดสนิท ที่ลานด้านหลังมีเสียงร้องของล่อแว่วมาเบาๆ เพียงมองก็ทราบว่าคนในบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้น
“ล่อ บ้านข้ามีล่อจริงๆ” สวี่เจิ้งที่ยืนอยู่นอกประตูรั้วรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก รีบะโไปว่า “ข้ากลับมาแล้ว เปิดประตู”
เพียงไม่นานก็มีคนหลายคนเดินออกมาจากห้องโถง หม่าซื่อที่สวมชุดผ้าฝ้ายสีฟ้าและกางเกงฝ้ายสีดำก็เดินออกมาด้วย นางอุ้มปาโก่วจื่อที่สวมชุดสีแดงไว้กับอก
หม่าซื่อเห็นสามีซูบผอมและผิวคล้ำลงมากก็รู้สึกปวดใจยิ่งนัก “อากาศเย็นแล้ว ท่านอย่ากลับไปอีกเลย ข้าคิดจะให้ เอ้อร์โก่วจื่อไปเรียกท่านกลับมาจากเมืองเยี่ยนอยู่พอดี”
เอ้อร์โก่วจื่อเป็บุตรชายคนโต เขารีบเดินมารับสัมภาระไปจากสวี่เจิ้งแล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ ข้ากลับมาจากอำเภอเมื่อวาน วันนี้ท่านก็กลับมาแล้ว” ระยะนี้เขาไปเป็คนงานให้อาจารย์ที่อำเภอมาโดยตลอด งานที่ทำล้วนเป็งานหนักทำให้เหนื่อยมาก ยามค่ำคืนอาจารย์นอนบนเตียงส่วนเขานอนบนเก้าอี้ยาวหรือไม่ก็นอนที่พื้น
หม่าซื่อกล่าวอย่างดีอกดีใจ “บ้านหลี่ช่วยพวกเราซ่อมหลังคา ก่อเตียงเตาในห้องนอนให้ ทั้งยังขายเต้าหู้ให้ซื่อโก่วจื่อและอู่โก่วจื่อด้วย ตอนนี้ครอบครัวเราซื้อล่อมาตัวหนึ่ง ทั้งยังซื้อชุดผ้าฝ้ายและผ้ามาใหม่ ทุกคนได้สวมชุดผ้าฝ้ายกันหมด ฤดูหนาวนี้ไม่ต้องทนหนาวแล้ว”
ตอนบ่าย สวี่เจิ้งที่เปลี่ยนไปสวมชุดผ้าฝ้ายสีน้ำเงินเข้ม ก็พาครอบครัวไปขอบคุณบ้านหลี่พร้อมของขวัญ
สวี่เจิ้งกล่าวอย่างตื้นตันใจจนน้ำตาคลอ “น้องซาน น้องสะใภ้ ขอบคุณมากที่ช่วยเหลือครอบครัวข้ายามที่ข้าไม่อยู่”
หลี่ซานยิ้ม “พวกเราสองบ้านมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาหลายปี หากพวกเราไม่ช่วยครอบครัวท่าน แล้วจะช่วยผู้ใดเล่า?”
ชายสองคนไม่ได้พบหน้ากันมาเกือบสองเดือนแล้ว นอกจากนี้ทั้งสองครอบครัวก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาก ในใจย่อมมีเื่มากมาย้าสนทนากัน
จ้าวซื่อกล่าวกับหม่าซื่อว่า “วันนี้พวกท่านทั้งครอบครัวก็อยู่กินข้าวเย็นที่บ้านข้าเถิด ห้ามปฏิเสธ”
หลี่หรูอี้มองไปยังหลี่ซาน “ท่านพ่อ โต๊ะเก้าอี้ของบ้านเราไม่พอ ข้าจะให้ซื่อโก่วจื่อและอู่โก่วจื่อไปยกโต๊ะเก้าอี้มาจากบ้านพวกเขานะเ้าคะ”
จ้าวซื่อถือโอกาสนี้พูดกับหม่าซื่อว่า “หรูอี้จะซื้อเครื่องเรือน แต่หลี่ซานไม่ยอม”
หม่าซื่อกล่าวว่า “เครื่องเรือนของบ้านพวกเ้าเป็เครื่องเรือนที่ได้มาตอนแต่งงานกระมัง สิบกว่าปีแล้ว อายุมากกว่าเจี้ยนอันกับฝูคังเสียอีก โต๊ะแปดเซียนนี่ขาโต๊ะก็โครงเครงมาหลายปี ครอบครัวเ้าก็ใช่ว่าจะไม่มีเงิน เหตุใดจึงไม่ซื้อใหม่เล่า?”
หลี่หรูอี้กล่าวเสียงแ่ “ท่านพ่อขี้เหนียวเกินไป ทำใจจ่ายเงินซื้อเครื่องเรือนไม่ได้แม้แต่ทองแดงเดียว”
สวี่เจิ้งกล่าวแทรกขึ้นว่า “น้องซาน เ้าดูเถิด บ้านข้ายังซื้อล่อมาแล้ว บ้านเ้าดีเช่นนี้ควรซื้อเครื่องเรือนใหม่ได้แล้วกระมัง”
หลี่ซานหัวเราะ “หรูอี้ เช่นนั้นเ้าก็ไปซื้อเถิด”
หลี่หรูอี้ได้ยินคำพูดนี้ของหลี่ซานก็รู้สึกยินดียิ่ง ถึงกับยิ้มกว้างราวบุปผาบาน รีบเรียกให้ซื่อโก่วจื่อและอู่โก่วจื่อไปย้ายโต๊ะเก้าอี้โดยพลัน “ข้ากับท่านอารองจะไปเตรียมอาหารนะเ้าคะ”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้