หาก้าออกจากสวนดอกไม้ด้านหลังจะต้องผ่านประตูใหญ่ชิงหลิวเตี้ยน
กูเฟยเยี่ยนหลบหนีไม่ได้จึงทำได้เพียงหมอบลงต่อไป นางทั้งกลัวว่าเซี่ยเสี่ยวหม่านจะพบและกลัวว่าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยจะให้เซี่ยเสี่ยวหม่านมาไล่นางไป นางไม่ได้ตั้งใจ!
หากเซี่ยเสี่ยวหม่านรับรู้เื่เมื่อสักครู่นี้ มันคงจะเป็เื่ที่…น่าละอายจริงๆ !
ทว่าเวลาผ่านไปนานแล้วก็ยังไม่มีเสียงออกมาจากชิงหลิวเตี้ยน ในส่วนของเซี่ยเสี่ยวหม่านนั้นนั่งอยู่หน้าประตูใหญ่ฮัมเพลงพื้นบ้านอย่างสุขใจและร่าเริง เขาไม่ได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติบริเวณโดยรอบ
ในเวลานี้จิตใจที่ห้อยต่องแต่งอยู่ของกูเฟยเยี่ยนก็คลายตัวลง
ร่างบางครุ่นคิดว่าเป็ไปได้หรือไม่ที่จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยใส่ใจในศักดิ์ศรีของนางจึงช่วยนางปกปิด? ทว่าไม่ช้านางก็ปฏิเสธการคาดการณ์นี้เพราะจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยน่าจะคิดว่านางหลบหนีไปไกลแล้ว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ในที่สุดจวินจิ่วเฉินที่แต่งกายเรียบร้อยก็เดินออกมาจากชิงหลิวเตี้ยน กูเฟยเยี่ยนถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วเงี่ยหูแอบฟัง
เสียงของเซี่ยเสี่ยวหม่านเอาอกเอาใจดั่งสุนัขรับใช้เช่นเคย เขากล่าวว่า “เตี้ยนเซี่ย ทางสำนักพระราชวังได้ส่งใบชาใหม่ของฤดูใบไม้ผลิในปีนี้มาให้ นู๋ไฉเตรียมไว้ที่ศาลากุยอวิ๋นแล้ว”
จวินจิ่วเฉินจึงตอบไป “ไม่จำเป็ต้องอยู่รับใช้แล้ว ออกไปเถอะ”
เซี่ยเสี่ยวหม่านพยักหน้าพลางเอ่ยออกมาว่า “เช่นนั้นนู๋ไฉไปเก็บกวาดด้านในก่อน”
จวินจิ่วเฉินจึงได้พูดอีกครั้ง “ไม่จำเป็ ถอยออกไป”
เซี่ยเสี่ยวหม่านกระวนกระวายใจแล้ว “แต่ว่าด้านใน…”
ความละเอียดรอบคอบกับความปราดเปรียวของเซี่ยเสี่ยวหม่านไม่เพียงแสดงออกต่อเงินตราเท่านั้น แต่ยังแสดงออกถึงงานบ้านงานเรือนในตอนนี้อีกด้วย
จิ้งหวางฝู่ไม่มีคนรับใช้หญิง สามปีมานี้เื่ราวของจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยไม่ว่าจะเป็เื่เล็กหรือใหญ่เขาที่เป็หัวหน้าใหญ่ก็จะเป็ผู้จัดทำด้วยตนเองมาโดยตลอด ั้แ่ผ่าฟืน แบกน้ำ ทำอาหาร ต้มน้ำซุป รวมไปถึงซักผ้า ถูพื้น เช็ดโต๊ะ และเย็บรองเท้า เขาทำเป็ทุกอย่าง
เขาไม่สามารถทนเห็นความสกปรกและความไม่เป็ระเบียบได้ เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่ถูกเปลี่ยนแล้วจะต้องรีบนำไปซักทันที ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกอึดอัดไม่สบายไปทั้งตัว
จวินจิ่วเฉินขมวดคิ้วมองไปแต่ไม่ได้พูดอะไร เซี่ยเสี่ยวหม่านจึงปิดปากเงียบอย่างรู้จักเอาตัวรอด แม้ว่าะเต็มไปด้วยความสงสัยแต่เขาก็ไม่กล้าถามอะไรมาก
เขาชำเลืองตามองไปในชิงหลิวเตี้ยนแล้วเดินออกไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
ในขณะนี้เรียกได้ว่ากูเฟยเยี่ยนมีใบหน้าที่เศร้าหมอง นางฟังออกว่าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยเจตนาให้เซี่ยเสี่ยวหม่านออกไป นางคิดว่าเมื่อสักครู่นี้ตนเองคิดมากไปแล้วจริงๆ จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยจะปล่อยนางที่แอบทอดมองได้อย่างไร?
กูเฟยเยี่ยนหมอบลงก้มหน้าไม่ขยับเขยื้อน ไม่ช้าก็เห็นว่าจวินจิ่วเฉินเดินเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าแล้ว
นางไม่กล้าขยับเขยื้อนมากกว่าเดิมและแทบอยากจะขุดหลุมฝังตัวเองให้มิด
จวินจิ่วเฉินมองท่าทางน่าสงสารของกูเฟยเยี่ยนโดยไม่พูดอะไร เขายืนอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินออกไป
กูเฟยเยี่ยนประหนึ่งได้พานพบการอภัยโทษ นางรีบลุกขึ้นแล้วถอนหายใจออกมา แต่ใครจะไปทราบว่าในเวลานี้จวินจิ่วเฉินจะหันกลับมามอง กูเฟยเยี่ยนที่คาดไม่ถึงจึงได้ก้มหน้าก้มตาทันที
จวินจิ่วเฉินเอ่ยว่า “มาที่ศาลากุยอวิ๋น”
เขาพูดจบแล้วก็หันหลังเดินจากไป ริมฝีปากที่งดงามของเขานั้น อดหัวเราะออกมาไม่ได้
กูเฟยเยี่ยนถอนหายใจออกมาอีกครั้งหนึ่ง นางมีความรู้สึกโกรธ อับอาย อัดอั้นตันใจ และไร้เดียงสาผสมปนเปกัน นางไม่ชอบอาการหวาดผวาของตนเองเช่นนี้เลยสักนิด! ทว่าผู้ที่ต้องเผชิญหน้าด้วยคือเทพบุตรที่ตนเองทั้งนับถือและเคารพรัก นางจึงหมดคำพูดต่อตนเอง
นี่ถ้าหากเปลี่ยนเป็นายก้อนน้ำแข็งเหม็น นางคงจะยิ้มเยาะแล้วหันหลังเดินออกไปตั้งนานแล้ว
กูเฟยเยี่ยนสร้างเกราะภายในใจให้ตัวเองแล้วจัดการอารมณ์ให้สงบนิ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปในศาลากุยอวิ๋น
เมื่อกูเฟยเยี่ยนมาถึงจวินจิ่วเฉินก็ดื่มน้ำชาแล้ว ในวันนี้เขาแต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาวที่ให้ความรู้โดดเดี่ยวและเ็า ท่วงท่าสง่าผ่าเผยและสูงศักดิ์
เดิมทีกูเฟยเยี่ยนสงบนิ่งแล้ว ทว่าทันทีที่เห็นจวินจิ่วเฉิน ใบหูก็อดไม่ได้ที่จะร้อนผ่าวขึ้นมา และภายในหูยังปรากฏคำพูดที่ควบคุมไม่อยู่อีกด้วย “สวมอาภรณ์ผ่ายผอมเด่นชัด เมื่อถอดอาภรณ์ก็มีเนื้อเด่นชัด”
นางอดสงสัยไม่ได้ว่าตนเองคือหญิงสาวที่เ้าชู้ประตูดินหรือไม่
นางก้มหน้าก้มตาพยายามเดินเข้าไป ในขณะที่กำลังจะพูดจวินจิ่วเฉินก็ได้เอ่ยถามออกมาก่อน “ตามหาเปิ่นหวางเพราะมีเื่อะไร? ”
กูเฟยเยี่ยนประหลาดใจมากทีเดียว
เมื่อวานนี้จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยให้คำชี้แนะแก่นางนี่นา เขาน่าจะทราบสิว่านางมาเพราะเื่อะไร การที่เขาถามเช่นนี้เป็เพราะ้าเลี่ยงใช้คำและเจตนาแกล้งโง่เขลาอย่างเห็นได้ชัด
นางอดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยกับเทียนอู่ฮ่องเต้เป็เช่นไรกันแน่? เพราะเทียนอู่ฮ่องเต้นั้นมีการระวังจิ้งหวางเตี้ยเอาไว้ แต่แล้วเหตุใดจึงมอบอำนาจให้? ไหนจะได้รับความเคารพนับถือเทียบเท่ารัชทายาทอีก? จากอุปนิสัยใจคอของเทียนอู่ฮ่องเต้แล้ว ต่อให้ระวังตน แต่ก็ต้องปฏิบัติด้วยความเด็ดขาด อย่างเช่นจวินฮั่นหยิ่นสิ!
นอกจากนี้คือถ้าหากว่าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยไม่มีใจในราชบัลลังก์และปฏิบัติต่อเทียนอู่ฮ่องเต้กับรัชทายาทด้วยจิตใจที่แน่วแน่ แล้วเหตุใดเขาจึงติดสินบนคนข้างกายเทียนอู่ฮ่องเต้? แม้แต่ซูไท่อีที่เป็คนแบบนี้เขายังติดสินบนได้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าเขาทุ่มเทไปไม่น้อย ดังนั้นคือเขาไม่้าราชบัลลังก์แล้ว้าอะไรกัน?
แม้ว่ากูเฟยเยี่ยนจะอยากรู้อยากเห็นแต่ก็ไม่ได้สนใจเื่นี้มากนัก นางเพียงแค่แอบเตือนสติตนเองว่าต่อจากนี้เวลาที่อยู่ต่อหน้าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยกับเทียนอู่ฮ่องเต้นางจะต้องระมัดระวังและละเอียดรอบคอบให้มาก จะได้ไม่สร้างปัญหายุ่งยากที่ไม่จำเป็ให้กับเตี้ยนเซี่ย
หญิงสาวตอบกลับไป “เช้าวันนี้นู๋ปี้ไปเข้าเฝ้าฝ่าามา ฝ่าารับสั่งให้เตี้ยนเซี่ยคุ้มกันนู๋ปี้ไปที่เยนอวิ๋นเจี้ยนเพื่อเชิญแพทย์ ระยะเวลาค่อนข้างคับขันจึงไม่ทราบว่าเตี้ยนเซี่ยจะสะดวกออกเดินทางเมื่อใด? ”
“่บ่ายแล้วกัน”
จวินจิ่วเฉินตอบด้วยความสบายอกสบายใจแล้วรินน้ำชาให้กูเฟยเยี่ยนด้วยตนเอง จากนั้นจึงเลิกคิ้วเป็นัยให้นางนั่งลง
“ขอบคุณเตี้ยนเซี่ยเพคะ”
กูเฟยเยี่ยนหลบหลีกสายตาของเขาแล้วนั่งลงดื่มชา
จวินจิ่วเฉินจึงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง “ตำรับแร่ศิลาโอสถของเ้ายอดเยี่ยม เ้าไปคิดมาให้เปิ่นหวางอีกสองสามตำรับเพื่อเก็บสำรองไว้”
กูเฟยเยี่ยนกลัวว่าเขาจะพูดถึงเื่แช่ยาสมุนไพร นางจึงตอบไปด้วยน้ำเสียงแ่เบา “เพคะ”
อย่างไรก็ตามจวินจิ่วเฉินไม่ได้พูดต่อ เขาหันไปมองสวนดอกไม้ ดอกเหลียนเฉียวทั่วทั้งสวนล้วนโรยราไปทั่วพื้นดิน ทั้งทางเดินปูไปด้วยกลีบดอกไม้จนกลายเป็เส้นทางดอกไม้สมชื่อจริงๆ
ทั้งสองคนนั่งด้วยกันโดยไม่พูดอะไรออกมา กูเฟยเยี่ยนที่หวาดผวาเดิมทีควรที่จะเขินอายมากขึ้น แต่ไม่รู้ว่าทำไมนางไม่เขินอาย อารมณ์ของนางกลับค่อยๆ สงบลง
นอกจากเสียงของนกที่ร้องเรียกเป็ครั้งคราวแล้ว สวนดอกไม้มโหฬารก็เงียบสงบอย่างยิ่ง สายลมพัดพาดอกเหลียนเฉียวเจิดจ้าปลิวว่อนไปทั่วท้องฟ้า
กูเฟยเยี่ยนแหงนมองขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวจึงพบว่าในตอนนี้จิ้งหวางเตี้ยกำลังมองไปยังดอกไม้
เค้าโครงใบหน้าด้านข้างของเขาคมประหนึ่งใบมีด ลายเส้นโครงหน้าชัดเจนสมบูรณ์และดูเคร่งขรึมมากกว่าหน้าตรงเสียอีก
ไม่รู้ว่าเป็เพราะบุปผาโรยราพลิ้วไหวทั่วฟากฟ้า กลิ่นบุปผาล่องลอยครรไลสิ้น ยากหยั่งรู้ผู้ใดตรมเวทนา อย่างกวีบทนี้หรือไม่ที่ทำให้กูเฟยเยี่ยนมองไปมองมาก็เกิดความรู้สึกระทมทุกข์ภายในใจ
ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็มีความรู้สึกว่าเหมือนจะคุ้นเคยแต่แยกไม่ออกว่าคุ้นเคยกับฉากตรงหน้าหรือคุ้นเคยกับความระทมทุกข์ในใจที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ ราวกับนางเคยเห็นฉากตรงหน้านี้ที่ไหนมาก่อน และประหนึ่งว่านางเคยรู้สึกเศร้าใจและปวดใจกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่นชมดอกไม้โรยราที่ปลิดปลิว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชายตรงหน้าทำให้นางเกิดความรู้สึกคุ้นเคย
คำถามก่อนหน้านี้ได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง “จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ย ตกลงว่าในวัยเด็กข้าเคยเห็นท่านหรือว่าในวัยเด็กร่างเดิมเคยเห็นท่านกันแน่? ”
นางอยากจะถาม แต่ถึงอย่างไรก็ไม่กล้าล่วงเกินและไม่กล้าเปิดเผยมากกว่านี้ เพียงแค่อาศัยความรู้สึกที่ตนเองควบคุมไม่อยู่และพูดไม่ออก ไปพิสูจน์อะไรได้?
ในเวลานี้จวินจิ่วเฉินไม่ทราบว่ากูเฟยเยี่ยนกำลังมองตนเองอยู่ เขาเงยศีรษะมองดอกเหลียนเฉียวที่ปลิวว่อนด้วยความรู้สึกคุ้นเคยและเศร้าโศก เพียงแต่ไม่รู้ว่าความคุ้นเคยนี้เกิดขึ้นจากอะไรอีกทั้งไม่รู้ว่าความเศร้าโศกเกิดขึ้นจากเื่ใด เขาไม่มีความรู้สึกที่จมปลักอยู่กับความทุกข์เฉกเช่นปัญญาชนที่เขียนบทประพันธ์แน่นอน
จนกระทั่งหมางจ้งมาถึง จวินจิ่วเฉินจึงได้สั่งให้ไปจัดเตรียมม้ากับเสบียงอาหารเพื่อเตรียมพร้อมออกเดินทางใน่บ่าย
ความคิดของกูเฟยเยี่ยนได้เหือดหายไปแล้ว นางกลับไปเตรียมข้าวของเครื่องใช้ที่ิเย่วจวี นางกำลังจะออกเดินทางทว่าจู่ๆ ก็นึกถึงใบสั่งยาของนายก้อนน้ำแข็งเหม็นขึ้นมาจึงได้ย้อนกลับไปนำติดตัว ใบสั่งยาแผ่นนั้นยากพอตัวและนางก็ไม่มีเวลามานั่งครุ่นคิดดีๆ อีกด้วย
ใน่บ่ายกูเฟยเยี่ยนกับจวินจิ่วเฉินก็ได้ออกจากเมืองจิ้นหยางอย่างลับๆ
หลังจากที่เดินทางมาเกือบสิบวัน ในที่สุดพลบค่ำวันนี้พวกเขาก็มาถึงเยนอวิ๋นเจี้ยน เยนอวิ๋นเจี้ยนแห่งนี้คือเมืองโบราณ…