ฉินหยีหนิงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าครอบครัวสกุลถางมีจุดจบน่าสงสารเช่นนี้?
แต่นางเป็เพียงแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เื้ัที่ใหญ่ที่สุดในยามนี้ก็คือท่านพ่อของนาง แม้นึกอยากไปขอความช่วยเหลือจากฉินหวยหยวน ทว่าต่อให้นางจะโง่สักเพียงใด นางก็รู้ว่าฉินหวยหยวนต้องรู้เื่นี้มาก่อนแล้ว
รู้มาก่อนหน้านี้ แต่ไม่ได้ทำอะไรเลย นั่นสามารถบ่งบอกอะไรบางอย่างได้แล้ว
แต่เดิมจ้าวหยุนซือเป็กิจการของซุนหยู่ เป็ไปได้หรือที่ซุนหยู่จะไม่รู้ราวใดเลย?
ซุนหยู่และฮูหยินติ้งกั๋วกงต่างตัดสินใจไม่เข้าไปยุ่มย่ามกับเื่ดังกล่าว นางควรจะจัดการกับมันอย่างไรดี?
ฉินหยีหนิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ถ้านางเมินเฉยต่อสถานการณ์ที่ว่า ผลมันจะเป็อย่างไรกันนะ...
เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของฉินหยีหนิง ชิวหลู่ก็รู้สึกได้ว่านางได้พูดอะไรผิดไปเสียแล้ว ยามนั้นนางจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก
ฝ่ายแม่นมจานเห็นฉินหยีหนิงสงบลงแล้ว นางก็กลับเข้าห้องของนางไป
ในลานหน้าบ้านตอนนี้เหลือเพียงฉินหยีหนิง รุ่ยหลาน ชิวหลู่ เ้านายและบ่าวรวมสามคนเท่านั้น
ฉินหยีหนิงมองดูอาคารแต่ละหลังในเขตกำแพงเรือน บริเวณนั้นไม่มีคนอื่น นางจึงได้กดความโมโห พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงต่ำ “เื่นี้จะต้องแก้ปัญหาอย่างช้าๆ”
รุ่ยหลานและชิวหลู่ได้ยินสัญญาณจากคำพูดของฉินหยีหนิงแล้ว จึงเอ่ยพูดอย่างจริงจัง “คุณหนู เื่นี้มีความเกี่ยวข้องกับท่านอ๋องหนิง เื่นี้ไม่เหมาะเลยที่ท่านจะเข้าไปแทรกแซงด้วย ท่านเป็เพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง จะสามารถทำอะไรได้เ้าคะ? ท่านอย่าได้เข้าไปสนใจจะดีกว่านะเ้าคะ”
ชิวหลู่กัดริมฝีปากของนางพร้อมคุกเข่า “คุณหนู เมื่อสักครู่นี้บ่าวเพียงแค่ปากไวไปหน่อย จึงพูดโดยไม่ได้ใช้ความคิด เื่นี้ไม่เหมาะเลยจริงๆ ที่ท่านจะเข้าไปแทรกแซงด้วย ท่านอย่าได้รับผลกระทบจากบ่าวเลยนะเ้าคะ”
ฉินหยีหนิงผงกศีรษะ และจับชิวหลู่ให้ลุกขึ้นยืน
สายตาของนางมีความเชื่อมั่น ดวงตาทั้งสองสุกสกาวเป็ประกายและเอ่ยขึ้น “ถ้าข้าไม่รู้ก็ช่างมันเถิด แต่ในเมื่อตอนนี้ข้ารู้แล้ว ก็ไม่อาจไม่ลองพยายาม ข้าไม่มีความมั่นใจว่าข้าจะช่วยพวกเขาได้หรือไม่ แต่ถ้าหากแม้กระทั่งแค่ลอง ข้าก็ยังไม่กล้าละก็ ข้ากลัวว่าชั่วชีวิตนี้ของข้าคงไม่สบายใจ”
“คุณหนู น้อยเื่จะดีกว่ามากเื่นะเ้าคะ...”
ั์ตาของฉินหยีหนิงสดใสมาก ราวกับว่ามีแสงสว่างของดวงดาวอยู่เต็มท้องฟ้า “หลายปีมานี้ ถึงแม้ว่าข้าจะมีชีวิตที่ยากลำบาก แต่สิ่งที่แม่บุญธรรมเคยสอนไว้ ข้าไม่กล้าที่จะลืมมาจนถึงทุกวันนี้ เกิดมาเป็มนุษย์ ก็มีจริยธรรมบางอย่างที่ไม่สามารถละทิ้งได้ เื่นี้หากปล่อยให้เป็ไป ประการแรก ชีวิตทั้งชีวิตของคุณหนูสกุลถางจะต้องถูกทำลายอย่างแน่นอน ประการที่สอง น่ากลัวว่าสมาชิกในครอบครัวหัวหน้าจงคงจะถูกกลุ่มสตรีชนชั้นสูงพวกนั้นแก้แค้นอย่างบ้าคลั่ง”
เมื่อกล่าวจบ ฉินหยีหนิงยิ้มอย่างเยือกเย็นและเอ่ยขึ้น “กลุ่มสตรีชนชั้นสูงพวกนั้นไม่กล้าไปหาท่านอ๋องหนิง ไม่กล้าไปหาตงเจียของจ้าวหยุนซือ ทำได้แค่เพียงมาหาเื่หัวหน้าจง และเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย สมาชิกในครอบครัวของเขาทั้งคนแก่และเด็ก ๆ ต่างก็ไม่รู้เื่ด้วย พวกเ้าคิดว่า เื่เกี่ยวข้องกับชีวิตหนึ่งชีวิตของเด็กสาวคนหนึ่ง แล้วยังเกี่ยวข้องกับชีวิตของครอบครัวหนึ่งที่ไม่รู้เื่ด้วยเลย ข้าสามารถทำเป็ไม่รู้ได้หรือ?”
“แต่ว่าคุณหนู ท่านจะทำอะไรได้เ้าคะ?” รุ่ยหลานถูกคำพูดของฉินหยีหนิงโน้มน้าวจนเห็นด้วย แต่ก็รู้สึกกังวลแทนเ้านาย
ฉินหยีหนิงผงกศีรษะ “เื่นี้ไม่สามารถไปขอความช่วยเหลือจากท่านพ่อของข้าได้ ทำได้เพียงพยายามด้วยตัวเองให้ถึงที่สุด...ทำให้ดีที่สุด ส่วนผลจะเป็อย่างไรนั้นก็ให้มันเป็ไป ถึงแม้ว่าจะช่วยเหลือพวกเขาไม่ได้ แต่อย่างน้อยข้าก็ได้ทำเต็มที่แล้ว”
ชิวหลู่ถูกคำพูดเพียงไม่กี่คำของฉินหยีหนิงชักจูง ทำให้นางมีความฮึกเหิม นางพยักหน้าอย่างหนักแน่นพร้อมพูดถาม “คุณหนู จะให้บ่าวทำอะไรบ้าง ท่านสั่งบ่าวมาได้เลยเ้าค่ะ”
ฉินหยีหนิงยิ้มกว้าง ฟันสีขาวเมื่อมองในเวลากลางคืนมันสามารถเห็นได้ชัด เสมือนกระเบื้องขาวเป็ประกายสวยงาม “เ้าเป็บ่าวอย่างนี้แหละดีแล้ว อย่างอื่นเ้าก็ทำไม่ได้หรอก”
รุ่ยหลานมีความกังวลอยู่หลายส่วน “คุณหนู ไม่ว่าท่านจะทำอะไร ถ้าถูกท่านมหาเสนาบดีกับล่าวไท่จุนรู้เข้า จะต้องไม่ดีแน่เ้าค่ะ ถึงตอนนั้นจะไม่ดีต่อตัวท่านนะเ้าคะ ท่านกลับมาที่จวนมาจนถึงวันนี้ สามารถเดินมาได้จนถึงขั้นนี้ ก็ไม่ได้ง่ายเลยนะเ้าคะ ท่านคิดให้ดีก่อนจะทำสิ่งใดถึงจะถูกนะเ้าคะ”
ฉินหยีหนิงรู้ว่ารุ่ยหลานเป็คนรอบคอบและรู้ว่านางเป็ห่วงตน จึงยิ้มให้เพื่อเป็การขอบคุณ
“ผลที่ร้ายที่สุดจะเป็อย่างไรล่ะ? ถึงแม้ว่าจะตีจนกระดูกหัก ข้าก็ยังเป็ลูกสาวของท่านพ่ออยู่ดี ชีวิตที่ยากลำบากที่สุด ข้าเคยผ่านมันมาแล้ว ถ้าพวกเขาทำเพราะรักและเอ็นดู ก็คงไม่ตีข้าจนตายใช่หรือไม่? ถ้าไม่ได้อีก ข้าก็กลับไปตัดฟืนเก็บสมุนไพร เป็คนป่าเหมือนเดิมก็ได้แล้ว”
ประโยคเดียวที่ล้อเล่นกับตัวเองช่างดุเดือด พูดจนทำให้ใจของบ่าวทั้งสองมีความกล้าหาญขึ้นมาและตื่นตัวอย่างมาก
ใครจะไปรู้ว่า ทันใดนั้นกลับมีเสียงเบาๆ ของบุรุษแทรกเข้ามาในหู...
“พูดได้ดี”
ฉินหยีหนิงใมากและรีบดึงมือบ่าวทั้งสองคนถอยออกไปข้างหลัง และเป็เพราะนางคำนึงถึงชื่อเสียงของความเป็ผู้หญิง ในสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่สามารถส่งเสียงดังได้ นางเพียงแค่กระซิบถาม “ใคร!”
บนเพดาน
เด็กหนุ่มเหลือบมองผู้ที่อยู่บนหลังคา ใบหน้าซึ่งถูกผ้าปิดบังไว้เอ่ยเบาๆ “นี่ท่านอ๋อง ทำไมท่านไม่สามารถควบคุมเสียง ทำไมปล่อยให้เล็ดลอดออกไปได้!”
เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ เขาถึงกับตกตะลึงไปชั่วครู่
คืนนี้ทั้งสองคนมาเยือนจวนมหาเสนาบดี คนผู้หนึ่งคือท่านอ๋องผางเซียวที่ถูกบรรดาคุณชายขุนนางและราษฎร มองว่าเป็ดาวชั่วร้ายกับลูกน้องของเขา
ผางเซียวสะดุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็โผนตัวลงไปกลางลานหน้าบ้าน และยืนอยู่เบื้องหน้าฉินหยีหนิงโดยไม่ปิดบังหน้าตาเลยแม้แต่น้อย
เสือน้อยตกตะลึงในการกระทำของเ้านายของเขา ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนอง เขากลับเห็นมือของผางเซียวยื่นออกไปอย่างรวดเร็ว คว้าตัวฉินหยีหนิง
เ้านายและบ่าวทั้งสามร้องอุทาน
ฉินหยีหนิงกลัวจนหลับตาแน่น
นางรู้สึกว่าบนศีรษะหลวมลง จากนั้นเป็ััของเส้นผมที่ไหลลื่นลงมาเคลียข้างแก้มผ่านไปถึงลาดไหล่ ตามมาด้วยััของมือหยาบกระด้างซึ่งประทับลงบนผิวแก้มของนาง
มือนั้นแห้งแต่อุ่น โดยมีรูหนอนที่นิ้ว ฝ่ามือกร้านทำให้แก้มของนางรู้สึกเหมือนโดนขีดข่วนและให้ความรู้สึกเ็ปเล็กน้อย
นางกำลังถูกยั่ว?!
ฉินหยีหนิงใ นางเหวี่ยงฟาดฝ่ามือออกไปตามสัญชาตญาณของร่างกาย แต่ใครจะไปรู้ว่าที่ตบนั้นคืออากาศ
เมื่อมองให้ชัดอีกที เบื้องหน้าของนางไม่มีเงาผู้ชายแล้ว เห็นเพียงแต่เงาข้างหลังของร่างกายสูงใหญ่กำลังข้ามกำแพงออกไป หูยังสามารถได้ยินคนผู้นั้นเปล่งเสียงหัวเราะเบาอย่างมีความสุข
ลานหน้าบ้านยังคงสงบเงียบ
ดวงจันทร์ส่องสกาวอยู่ที่สูง โคมไฟแกว่งไกว เงาไม้ไผ่เต้นระบำส่ายไปส่ายมา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ดูเหมือนว่าจะเป็ภาพลวงตา
“คุณหนูเป็อะไรเ้าคะ?” แม่นมจาน แม่นมจู้ หลิ่วหยาและคนอื่นๆ เมื่อได้ยินเสียงก็ถือตะเกียงรีบวิ่งออกมา
เห็นฉินหยีหนิงและบ่าวทั้งสองเหม่อลอยอยู่ตรงกลางลานหน้าบ้าน จึงรีบวิ่งเข้าไปใกล้ด้วยความกังวลและเป็ห่วง “คุณหนูเป็อะไรเ้าคะ? ข้อเท้าเคล็ดหรือเ้าคะ?”
ฉินหยีหนิงส่ายศีรษะด้วยความใ “ไม่...ไม่ใช่ เพียงแค่เมื่อสักครู่นี้ ข้าเกือบจะหกล้มลง ก็เลยใไปหน่อย”
รุ่ยหลานและชิวหลู่ทั้งสองต่างก็รับรู้ได้ถึงความร้ายแรงของเื่นี้
มีผู้ชายสามานย์บุกรุกเข้ามาในบ้าน แล้วยังแตะต้องคุณหนูอีก เื่นี้หากแพร่งพรายออกไป คุณหนูจะเป็อย่างไร?
ทั้งสองต่างยืนกรานหนักแน่นว่าเมื่อสักครู่นั้น ฉินหยีหนิงเกือบจะหกล้มจริงๆ
แม่นมจู้ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว คุณหนู อากาศข้างนอกค่อนข้างเย็น ท่านเข้าไปข้างในเถิดเ้าค่ะ”
แม่นมจานก็ไม่ลังเลใจที่จะเอ่ยขึ้น “คุณหนูถ้าอยากสูดอากาศก็รอให้ถึงตอนเช้า รอให้แสงอาทิตย์ขึ้นแล้วค่อยเดินไปมา ตอนนี้อากาศหนาว เดี๋ยวจะเป็หวัดเอานะเ้าคะ"
ทุกคนต่างพูดเพื่อให้ฉินหยีหนิงกลับเข้าไปในห้อง
นอกบ้านตอนนี้ เสือน้อยกำลังมองท่านอ๋องของเขาด้วยสายตาตกตะลึง
เท่าที่เขาจำได้ ท่านอ๋องของเขาปฏิบัติต่อผู้คนด้วยการบีบบังคับและมีรอยยิ้มที่ไร้ยางอาย ดวงตาของเขาแข็งกร้าวเกินไป เขาปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเ็า เขามีความระมัดระวังมากและเขาใจกว้าง ทำอะไรก็สามารถปล่อยวางได้ ในเวลาที่เขาควรคาย เขาก็คายมันออกมา แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาเป็คนสงบและควบคุมความรู้สึกของตนเองได้
แต่เื่ที่เกิดขึ้นคราวนี้ เป็การทำลายความคิดเก่าๆ ที่เสือน้อยคิดเห็นต่อเ้านายของเขาไปทั้งหมด
ในมือของท่านอ๋องถือปิ่นปักผมมาด้วย ไม่ได้ผิดปกติไปใช่หรือไม่?
เขายังเห็นท่านอ๋องไปััที่หน้าคุณหนูคนนั้น...
เ้านายผู้เย่อหยิ่งของเขา ท่านอ๋องที่สามารถฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา คาดไม่ถึงว่าจะะโเข้าไปในบ้านของหญิงสาวในตอนกลางคืน แล้วยังปล้นปิ่นปักผมมาหนึ่งชิ้น ซ้ำร้ายยังใช้วิธีอันธพาลกับนางอีก
ไม่ว่าเขาจะตาบอด หรือไม่ก็คงจะเป็โลกที่ทำเื่ประสาทหลอนขึ้นมาเสียแล้ว
ผางเซียวทำหน้าแข็งทื่อมองดูปิ่นปักผมในมือ
ปิ่นปักผมชิ้นนี้เป็หยกทั้งแท่ง หัวปิ่นล้อมรอบด้วยยอดตูมสามดอกรอบๆ ดอกดาดตะกั่วหนึ่งยอดเล็ก มันถูกทำด้วยความประณีตมาก เส้นผมของเด็กสาวคนนั้นดกดำเงางามสลวย ปิ่นปักผมชิ้นนี้เมื่ออยู่บนผมของนางก็คล้ายโปร่งใสเป็ประกายออกมา และที่สดใสมากกว่านั้นก็คือดวงตาสุกสกาวของนาง และยังมีฟันที่เปล่งประกายเมื่อนางยิ้มอีกด้วย
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง
และในยามนั้นมือที่ถือปิ่นปักผมก็ดูเหมือนกำลังร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ
ใบหน้าของนางนุ่มลื่นนัก!
ตอนที่นางใ ตาสองข้างของนางจะปิดสนิท ท่าทางของนางน่ารักจริงๆ!
ยังมีริมฝีปากที่เล็กและชุ่มชื้น...
เหมือนจะเห็นผีแล้วจริงๆ!
ผางเซียวเอาปิ่นปักผมมาวางบนอ้อมอกแนบชิดตัว และใบหน้ามืดมนก้าวขายาวเดินไปข้างหน้าอย่างว่องไว
เสือน้อยรีบตามให้ทันเ้านาย “ท่านอ๋อง ม้าได้เตรียมพร้อมไว้แล้วขอรับ พวกเราจะเดินทางเมื่อไรหรือขอรับ?”
“คืนนี้”
“ก็ดีเช่นกัน ล่าวฟูเหริน1กับไท่ฟูเหริน2 ได้รับเชิญจากฮ่องเต้ให้เข้าวังแล้ว เพื่อป้องกันหากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น พวกเราจะต้องรีบกลับไปที่ซีฮวาถึงจะดี”
“อืม”
“...”
“...”
“ท่านอ๋อง ไม่ใช่ว่าท่านจะตกหลุมรักคุณหนูฉินหยีหนิงเข้าแล้วหรือขอรับ?”
“...”
“ท่านอ๋อง ...”
“หุบปาก เดิน”
“ขอรับ”
**
ฉินหยีหนิงกำลังเหม่อลอยมองไปที่มุ้งซึ่งมีแสงเท่าเม็ดถั่วสาดส่องเข้ามา
เมื่อสักครู่ คนผู้นั้นเป็ใครกัน?
ปิ่นปักผมของนางโดนขโมยไปแล้ว ถ้าคนคนนั้นเป็คนไม่ดี เอาเื่ที่เขากับนางัักัน ไปพูดต่อ ชื่อเสียงของนางต้องป่นปี้แน่ๆ
นางยังโดนััที่ใบหน้าด้วย
จนถึงตอนนี้ นางยังรู้สึกถึงความร้อนฉ่าบนผิวหน้า และสามารถรู้สึกถึงการขีดข่วนของรูหนอนบนฝ่ามือของผู้ชายคนนั้นได้
ชายคนนั้นน่าจะทำงานหยาบๆ หรือไม่ก็เป็คนจับอาวุธ?
ความเป็จริงแล้วนางไม่ได้เห็นหน้าตาของชายคนนั้นชัดเจนเท่าใดนัก เพราะจู่ๆ อีกฝ่ายก็หันหลังให้กับแสงสว่าง นางเพียงแค่เห็นโครงร่างสูงผอมแข็งแรงได้ชัดเจน นางสูงแค่ไหล่ของชายคนนั้น หากว่าเขามีเจตนาจะฆ่านาง กลัวว่าเขาคงตัดคอนางรอบเดียวก็หลุดแล้ว
อย่างไรก็ตามนางไม่ได้รู้สึกถึงแรงอาฆาตหรือความเป็ศัตรูจากเขาเลย
นางล่าสัตว์มาหลายปี นางสามารถรับรู้ได้ถึงความอาฆาตและความเป็ศัตรูได้ดี หากชายคนนั้นมีเจตนาจะทำร้ายนางแม้เพียงเล็กน้อย เกรงว่าแค่นางโดนมองด้วยสายตาปองร้าย นางก็น่าจะรู้สึกได้แล้ว
ถ้าเช่นนั้นเป็เพราะเหตุใด ชายคนนั้นถึงได้แสดงตัวในบ้านของนางอย่างกะทันหัน?
ที่นางพูดออกไป ชายคนนั้นฟังมาแล้วเท่าใดกัน?
เื่ราวเป็ไปได้หรือไม่ ที่มันจะไม่เป็ไปตามแผนที่นางคิดไว้จนไม่อาจควบคุมมันได้?
ฉินหยีหนิงรู้สึกว่าในใจเต็มไปด้วยความว้าวุ่นและมึนงง นางขยับตัวด้วยความหงุดหงิด
รุ่ยหลานเฝ้าอยู่นอกมุ้ง นางกำลังนอนบนเตียงนุ่ม ครั้นได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว นางจึงรีบสวมเสื้อผ้าและลุกขึ้นมา “คุณหนู ท่านสบายดีหรือไม่เ้าคะ?”
“ไม่เป็ไร” ฉินหยีหนิงถอนหายใจ “เื่ที่เกิดขึ้นวันนี้จะต้องไม่แพร่งพรายออกไปเด็ดขาด”
“บ่าวเข้าใจ และไม่พูดมั่วๆ ออกไปเด็ดขาดเ้าค่ะ”
ฉินหยีหนิงหลับตา “นอนเถิด” จะเป็อย่างไร ชีวิตย่อมต้องเดินต่อไปอยู่ดี
วันรุ่งขึ้นตอนเช้าตรู่ ฉินหยีหนิงคำนับซุนซื่อและล่าวไท่จุนเหมือนทุกๆ วัน จากนั้นก็รายงานล่าวไท่จุนว่า “วันนี้จะไปดูร้านค้าในเครือของจ้าวหยุนซือ และได้บอกกับหัวหน้าจงไว้แล้วว่าจะไปเทียบดูบัญชี”
ล่าวไท่จุนได้สั่งให้นางพาคนหลายคนไปด้วย ก่อนอนุญาตให้นางไป
นางกลับไปที่เรือนแล้วแต่งตัวอย่างเป็ทางการ จากนั้นได้พาชิวหลู่กับรุ่ยหลานนั่งเกี้ยวออกไป
ตรงไปยังร้านอาหารซึ่งเป็หนึ่งในสาขาจ้าวหยุนซือและได้พบหัวหน้าจง เขาได้นำรถม้ากับคนอารักขาหลายคนไปด้วย ระหว่างนั้นหัวหน้าจงซาบซึ้งและขอบพระคุณมากๆ เขาได้มุ่งตรงไปยังทิศทางที่ตั้งจวนของท่านอ๋องหนิง
************************
1 ล่าวฟูเหริน ใช้เรียกย่าของผู้ที่มีตำแหน่งเป็อ๋องหรือเป็เ้าเมือง
2 ไท่ฟูเหริน ใช้เรียกมารดาของผู้ที่มีตำแหน่งเป็อ๋องหรือเป็เ้าเมือง