และแล้วคนกลุ่มดังกล่าวก็ได้มาถึงหน้าประตูจวนท่านอ๋องหนิง ขณะเดียวกันกลับต้องกลัดกลุ้มใจ
ฉินหยีหนิงไม่มีหนังสือเชิญ อีกทั้งนางมาที่นี่ด้วยตนเองเช่นนี้ ไม่สามารถบ่งบอกสถานะของนางได้ มิหนำซ้ำตำแหน่งสถานะทายาทคนโตของอัครมหาเสนาบดี ในสายตาของท่านอ๋องหนิงแล้ว ไม่ได้มีความพิเศษอะไรเลย จะให้เข้าพบหรือไม่ให้ ทั้งหมดนี้ดูที่อารมณ์ของท่านอ๋องหนิงเพียงอย่างเดียว
ทหารเฝ้าประตูได้บอกหัวหน้าจงและเด็กสาวผู้กำลังยิ้มกว้างดั่งดอกไม้บานว่าไม่สามารถช่วยได้ แต่ก็จ้องมองไปยังรถม้าซึ่งทาด้วยสีน้ำมันเป็เวลานาน เขาก็กลัวว่าถ้าให้อีกฝ่ายเข้าไปแล้ว หากเข้าไปทำอะไรไม่ดีไม่ร้ายขึ้นมา จะทำให้เขาลำบากไปด้วย อย่างหนักอาจถึงแก่ชีวิตก็เป็ได้ หลังจากที่เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาบอกคนทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้าว่า “พวกเ้ารอสักครู่ เดี๋ยวข้าจะไปแจ้งพ่อบ้านก่อน” เมื่อพูดเสร็จเขาก็วิ่งแจ้นเข้าไปในจวนทันที
รุ่ยหลานกับหัวหน้าจงเดินไปยังข้างๆ รถม้าของฉินหยีหนิงเพื่อบอกนาง
ฉินหยีหนิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนงถอนหายใจ “เอาหมวกผ้าม่านมาให้ข้า ข้าไปพูดด้วยตนเองน่าจะดีกว่า”
“ตงเจีย รอก่อนดีกว่านะขอรับ รอดูว่าพวกเขาจะพูดอย่างไรก่อนดีกว่านะขอรับ”
“ไม่จำเป็แล้ว พวกเราไม่มีหนังสือเชิญ หากไม่ให้พวกเขาเห็นข้า เกรงว่าจะไม่สามารถเข้าไปพบท่านอ๋องหนิงได้ง่ายๆ”
รุ่ยหลานกับชิวหลู่ไม่ค่อยเข้าใจในความหมายของประโยคที่ฉินหยีหนิงเอ่ยสักเท่าใดนัก
หรือว่าถ้าเห็นนางแล้วก็จะสามารถเข้าไปได้ในทันที?
หัวหน้าจงเข้าใจในเื่ทางโลก หลังครุ่นคิดถี่ถ้วน เมื่อวานเขาได้เห็นความงดงามของฉินหยีหนิงแล้ว จากนั้นทบทวนความชื่นชอบของท่านอ๋องหนิง เขาก็เข้าใจทันควัน
แม้ว่าฉินหยีหนิงไม่จำเป็ต้องใช้แผนการนำความงามมาล่อท่านอ๋องหนิง แต่ก็จำต้องใช้ความสวยนี้เพื่อเปิดประตูจวน เมื่อทหารเฝ้าประตูเห็นหญิงสาวผู้งดงามมาขอเข้าพบ ย่อมมีความเป็ไปได้ถึงแปดหรือเก้าส่วนที่จะต้องกลับไปรายงานให้แล้ว
ไม่นึกว่าตงเจียจะทำเพื่อช่วยครอบครัวของตนถึงเพียงนี้
หัวหน้าจงยิ่งมีความซาบซึ้งใจมากยิ่งขึ้น เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “ลำบากตงเจียแล้ว บุญคุณของตงเจีย ข้าน้อยจะไม่มีวันลืมขอรับ”
ฉินหยีหนิงผงกศีรษะและถอนหายใจเบาๆ “เื่มันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว หัวหน้าจงอย่าได้เกรงใจเลย”
นางได้สวมหมวกผ้าม่านแล้ว จากนั้นยื่นมือให้รุ่ยหลานประคอง พลางเหยียบลงบนบันไดเก้าอี้เคลือบน้ำมันสีแดงและลงมาจากรถม้า
วันนั้นนางสวมชุดผ้าไหมสีน้ำผึ้ง เสื้อยาวรัดเอว นางแต่งหน้าเรียบๆ ข้างในเป็ชุดผ้าโปร่งยาวสีขาว และสวมเสื้อคลุมขนกระต่ายขาวและขนลิงอุรังอุตังสีแดง โดยใส่หมวกคลุมด้วยผ้าโปร่งสีขาว แม้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของนางได้ชัด แต่ดูจากการยืนอย่างสง่างามของนาง ก็บ่งบอกได้แล้วว่านางเป็คุณหนูลูกผู้ดีที่มีการศึกษาดี
ในที่สุดทหารเฝ้าประตูได้เรียกให้พ่อบ้านออกมาแล้ว เมื่อทั้งสองเดินออกมาด้านนอก เห็นรถม้ากับเด็กสาวผู้งดงาม ในความคิดรู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้น
พ่อบ้านอยู่ในวัยสี่สิบต้นๆ สวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีฟ้าเข้มห่อหุ้มร่างกายที่อ้วนม่อต้อ เขาสวมหมวกหกแหลม เมื่อเขายิ้มออกมาดวงตาเล็กของเขาถูกกลบจนเกือบมองไม่เห็น “สวัสดีแม่นาง เป็ท่านใช่หรือไม่ที่มาขอพบท่านอ๋องหนิง”
“ใช่ ยังขอรบกวนพ่อบ้านช่วยทูลท่านอ๋องให้หน่อย ทูลว่าบุตรสาวของอัครมหาเสนาบดีมีเื่สำคัญอยากจะปรึกษากับท่าน” ฉินหยีหนิงยิ้มเล็กน้อย นางใช้น้ำเสียงอ่อนโยนกล่าวกับอีกฝ่าย
สำหรับหมวกคลุมผ้าโปร่งสั้นสีขาวนี้ เมื่อลมพัดมา ก็ทำให้เห็นปลายคางและมุมปากของนางซึ่งกำลังยกยิ้ม
พ่อบ้านถึงกับนิ่งงันไปชั่วครู่ เขากำลังคิดว่าแม่นางผู้นี้มีหน้าตาเป็อย่างไรกัน? แต่ถึงจะปกปิดซ่อนไว้ ทว่าท่านอ๋องหนิงน่าจะชื่นชอบและให้เข้าพบ
และในขณะนั้นเอง ก็มีรถม้าวิ่งเข้ามาอย่างช้าๆ
ทุกคนต่างหันไปมอง มันเป็รถม้าหรูหราคลุมด้วยผ้าและพู่แปดพลอย เคลื่อนที่เข้ามาอย่างช้าๆ และมาหยุดห่างจากฝูงชนเพียงไม่กี่ก้าว
ตัวรถมีความหรูหราเป็พิเศษ คลุมด้วยผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มและสะท้อนแสงเมื่ออยู่ใต้แสงอาทิตย์ และพู่ทำจากไข่มุกซึ่งแกว่งไหวไปมากับตัวรถ ทำให้มันดูดีมาก
คนขับรถม้าะโลงมา บ่าวรับใช้เลิกผ้าม่าน ปรากฏให้เห็นชายหนุ่มร่างสูงผอมก้าวลงมาจากห้องโดยสาร
ชายหนุ่มสวมมงกุฎหยกมวยผมยาว หน้าเรียวยาว รูปลักษณ์ไม่ได้หล่อเหลาสะดุดตามากนัก แต่สามารถรับรู้ได้ว่า เขามีกลิ่นอายความรู้และการศึกษา คิ้วหนายาว ระหว่างคิ้วมีรอยย่นที่เต็มไปด้วยคำว่า ‘โศกเศร้า’ ผิวค่อนข้างขาว ขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวบนไหล่ถูกพัดไปที่ใบหน้าของเขา ถึงกระนั้นกลับส่งผลให้เขายิ่งดูสูงศักดิ์
พ่อบ้านเห็นคนผู้นั้น ก็ยิ้มและรีบเดินเข้าไปเบื้องหน้าเพื่อคำนับ เขากำลังจะปริปากพูด แต่กลับถูกชายหนุ่มยกมือขึ้นเพื่อหยุดเขา
“แม่นางท่านนี้คือ?” เสียงของชายหนุ่มค่อนข้างแหบห้าวและสายตาของเขามองไปที่ฉินหยีหนิง
พ่อบ้านรีบตอบด้วยความเคารพ “เป็บุตรสาวของอัครมหาเสนาบดี นางมาเพื่อขอพบท่านอ๋องหนิงขอรับ”
มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มจับพู่ถุงเครื่องหอมที่เอว จากนั้นก็ยิ้มและพูดขึ้น เขาโบกมือพร้อมผงกศีรษะทักทาย “สวัสดีคุณหนูฉิน”
“สวัสดีคุณชาย” ฉินหยีหนิงคำนับคืน
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น “แม่นางจะมาขอพบท่านอ๋องหนิง? ถ้าอย่างนั้นก็ตามข้ามาเถิด”
ฉินหยีหนิงตกตะลึง นางแหงนหน้ามองผ่านผ้าโปร่งสีขาวซึ่งคลุมหมวกไว้ เห็นท่าทีของชายหนุ่มท่านนั้นมีความสบายๆ แม้แต่พ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ ยังไม่สามารถคัดค้านได้
คุณชายท่านนี้น่าจะเป็เ้านายท่านหนึ่งในจวนท่านอ๋องหนิง
ดูอายุของเขาแล้ว น่าจะเป็โอรสของท่านอ๋องหนิง
แต่เขาไม่ได้เรียกท่านอ๋องหนิงว่า ‘ฟู่หวาง1’ กลับเรียก ‘ท่านอ๋องหนิง’
ฉินหยีหนิงนึกถึงเมื่อก่อนนี้ ท่านอ๋องหนิงได้มอบลูกชายของตนให้ฮ่องเต้ ได้เป็องค์ชายรัชทายาทไม่ถึงหนึ่งปี จากนั้นด้วยความที่สนมของฮ่องเต้ได้ประสูติองค์ชายรัชทายาท จึงนำองค์ชายรัชทายาทองค์นั้นส่งคืนกลับให้ท่านอ๋องหนิง
องค์ชายรัชทายาทองค์นี้จะบอกว่าเป็องค์ชายรัชทายาทก็ไม่ใช่ เพราะไม่ใช่โอรสแท้ๆ ของฮ่องเต้ จะบอกว่าเป็รัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์ แต่กลับถูกฮ่องเต้คืนกลับมาแล้ว ตำแหน่งขององค์ชายองค์นี้ในจวนท่านอ๋องหนิงก็คงจะงุนงง
ฉินหยีหนิงพารุ่ยหลาน ชิวหลู่และหัวหน้าจงเดินตามหลังชายหนุ่มเข้าไปในจวน เมื่อผ่านประตูหยี ก็เดินข้ามผ่านทะเลสาบฝีมืุ์ขนาดใหญ่ และเดินผ่านูเาหินประดิษฐ์ก็ถึงลานบ้าน
หลังจากก้าวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ จะพบแผ่นโลหะถูกแขวนไว้ตรงกลาง มีตัวอักษร ‘ความเมตตากรุณา’ และใต้แผ่นป้ายนั้นมี ‘ภาพอาชาแปดตัว’ เมื่อมองมาข้างล่าง มีชิ้นส่วนของไม้ชิงช้ายาว กระถางถูกวางไว้ข้างซ้ายขวา ข้างในกระถางมีดอกไม้สดประดับอยู่ ตรงกลางนั้นมีเครื่องทองเหลืองแกะสลัก มีเครื่องหอมธูปถูกจุดไว้อยู่ ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเป็กลิ่นอะไร ที่ได้กลิ่นเหมือนเป็กลิ่นของน้ำมันสนผสมกับไม้จันทน์เล็กน้อย
ชายหนุ่มเดินก้าวบนพื้นหินอ่อนสีดำ และเข้าไปนั่งหลังเหยียดตรงบนที่นั่งหลัก จากนั้นก็ยิ้มและเอ่ยขึ้น “แม่นางเชิญนั่งเถิด”
เห็นเขานั่งในตำแหน่งที่นั่งหลักอย่างเปิดเผย ฉินหยีหนิงก็ยิ่งมีความมั่นใจในการคาดเดาของตนไปอีกระดับหนึ่ง
นางยิ้มและเอ่ยขอบคุณ จากนั้นจึงได้ถอดหมวกผ้าม่านออก และนั่งในตำแหน่งที่ต่ำกว่า ส่วนรุ่ยหลาน ชิวหลู่และหัวหน้าจงต่างก็ยืนก้มศีรษะอยู่ด้านหลังฉินหยีหนิง
เมื่อชายหนุ่มเห็นใบหน้าที่แท้จริงของฉินหยีหนิง เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนก้มหน้าลงแล้วก็กระแอมไอออกมาเบาๆ พร้อมเอ่ย “แม่นางเป็บุตรสาวของท่านอัครมหาเสนาบดีฉินที่เพิ่งหาเจอคนนั้นใช่หรือไม่?”
“ใช่เ้าค่ะ เป็ข้าเองเ้าค่ะ” ฉินหยีหนิงมีความประหม่าเล็กน้อย
นางกลัวว่าชายหนุ่มจะถามเื่จุดประสงค์ที่นางมาที่นี่ในคราวนี้
อีกอย่างถ้าพูดปรึกษากับชายหนุ่มเื่ที่ท่านอ๋องหนิงปล้นคนมา อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด ว่าพวกเขากำลังซุบซิบนินทาเื่ที่ท่านอ๋องหนิงกระทำผิดอยู่
ดูจากการที่ฉินหยีหนิงไม่มองชายหนุ่มผู้นั้น แต่แหงนหน้ามองตัวอักษรซึ่งแขวนอยู่้า จากนั้นก็มองไปในทิศทางของภาพวาดแปดอาชาที่แขวนอยู่เหนือที่นั่งหลัก
ในภาพวาดเป็รูปอาชาป่าแปดตัวกำลังวิ่งอยู่บนทุ่งหญ้า โดยไม่มีนามปากกาของผู้วาดภาพแล้วก็ไม่มีตราประทับใดๆ เช่นกัน
ชายหนุ่มมองใบหน้าของฉินหยีหนิงอย่างอดไม่ได้ ครั้นเห็นว่านางสนใจภาพวาดอาชาแปดตัว จึงถามด้วยรอยยิ้ม “แม่นางคิดอย่างไรกับภาพวาดนี้หรือ?”
ฉินหยีหนิงเริ่มรู้สึกสับสนเสียแล้ว
นางไม่เคยได้ศึกษาเกี่ยวกับการวาดภาพอย่างจริงจัง ก็ทำได้เพียงยิ้มและกล่าวตอบว่า “วาดได้ดีมากเ้าค่ะ”
ที่แท้นางมีความรู้เกี่ยวกับภาพวาด แต่ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเขาได้ยินประโยคที่แสนสั้นนั้น
ฉินหยีหนิงมองดูสายตาของชายหนุ่ม นางรู้สึกว่า การที่นางพูดเพียงประโยคเดียวเมื่อสักครู่ ดูไม่มีความจริงใจเสียเลย จึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบาๆ “ภาพวาดอาชาภาพนี้ดูมีชีวิตชีวามาก เพียงแต่ ข้ามั่นใจว่าผู้ที่วาดไม่เคยเห็นฝูงอาชาตัวจริง”
ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจมาก เขาลุกขึ้นยืน มือจับภาพเพื่อพิจารณาภาพวาดอีกครั้งและเอ่ยถามฉินหยีหนิงอย่างสงสัย “ทำไมเ้าถึงพูดเช่นนั้นหรือ? ข้าไม่ได้คิดว่าภาพนี้จะมีปัญหาใดๆ นี่นา”
ท่าทางของเขาค่อนข้างจริงจังมาก ฉินหยีหนิงเห็นเขากะพริบตาอย่างสงสัย ถึงพูดต่อ “ข้าเคยเติบโตในูเาและเคยได้รับการช่วยเหลือจากฝูงอาชาป่ามาแล้วหนึ่งครั้ง จึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็อยู่ของฝูงอาชาอยู่หลายส่วนเ้าค่ะ”
ก่อนหน้านี้เคยได้ยินเื่บุตรสาวแท้ๆ ของอัครมหาเสนาบดีฉินถูกสลับตัว ต้องใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกมาสิบสี่ปี ชายหนุ่มเริ่มมีความสนใจในตัวฉินหยีหนิงขึ้นมาแล้ว จึงเอ่ยถาม “หากแม่นางไม่คิดอะไรมาก ก็ขอให้แม่นางพูดเกี่ยวกับฝูงอาชาฝูงนั้นให้ฟังหน่อยว่าเป็เช่นไร ได้หรือไม่?”
ฉินหยีหนิงเอ่ยขึ้น “ตอนนั้นข้าถูกสุนัขป่าจู่โจมและหนีออกจากป่าด้วยความตื่นตระหนก ข้าเห็นฝูงอาชาป่ากำลังเล็มหญ้าอยู่ในทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ เพราะตอนนั้นไม่มีใครช่วยข้าได้และด้วยความกลัวสุดขีด ก็เลยไม่ได้คิดอะไร ข้าวิ่งพุ่งตรงไปหาฝูงของมัน ยามนั้นก็เป็ฝูงม้าที่ช่วยชีวิตข้าไว้”
เมื่อย้อนนึกถึงอดีตที่ผ่านมา ฉินหยีหนิงคล้ายกำลังเห็นฝูงอาชาป่าสีพุทราที่ยอดเยี่ยม และรอยยิ้มของนางก็คลี่กว้างขึ้นเรื่อยๆ
“ผู้นำของฝูงอาชาฝูงนั้นก็เหมือนภาพวาดนี้ที่กำลังวิ่งอยู่ตรงกลาง มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าอาชาตัวอื่นๆ ขนบนแผงคอนั้นยาวมาก อีกทั้งมีความแข็งแรงและกล้าหาญ มันกล้าหาญที่จะปกป้องฝูงอาชาในยามวิกฤติได้ และแม้แต่สุนัขป่า อาชาตัวนั้นก็สามารถต่อสู้กับมันได้ ในเวลานั้นเป็เพราะข้ารีบพุ่งตรงเข้าไปที่ฝูงอาชาและนำสุนัขป่าเข้ามา จากนั้นผู้นำฝูงอาชาก็ขับไล่สุนัขป่าออกไป ทำให้ข้าสามารถมีชีวิตรอดมาได้”
เมื่อพูดถึงจุดนั้น ฉินหยีหนิงได้ลุกขึ้นเดินตามหลังชายหนุ่มด้วยระยะห่างอยู่สามก้าว เงยหน้าขึ้นมองภาพวาดอาชาแปดตัว
“ภาพวาดนี้วาดอาชาที่แข็งแกร่งและภาพวาดก็สดใสมาก แต่จิตรกรท่านนี้ อาจวาดผู้นำอาชาไว้ตรงกลางเพื่อเน้นความโดดเด่นและสวยงามของผู้นำอาชา จะต้องรู้ว่าในฝูงอาชาป่านั้น ผู้นำอาชาเป็ผู้นำฝูง ทำให้ภาพวาดนี้วาดผู้นำอาชาได้ผิดตำแหน่งเสียแล้ว และนี่คือเหตุผลที่ข้าพูดว่าจิตรกรต้องไม่เคยเห็นฝูงอาชาตัวจริงอย่างไรละเ้าคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า และหันไปจ้องมองที่ฉินหยีหนิง ั์ตาของเขามองเข้าไปในดวงตาที่สดใสของนาง จากนั้นก็เบือนหนีอย่างรวดเร็ว แต่หูของเขาเปลี่ยนเป็สีแดงแล้ว “แม่นางมีประสบการณ์มากมาย ครั้งนี้ข้าได้รับความรู้จากแม่นางแล้ว”
ฉินหยีหนิงสั่นศีรษะ “คุณชายก็พูดเกินไป ข้ายังไม่เคยได้ศึกษาภาพวาดจริงๆ เพียงแค่สามารถมองออกว่าภาพวาดภาพนี้วาดได้ดี ส่วนที่เหลือนั้นข้าพูดไปมั่วๆ เ้าค่ะ คุณชายโปรดให้อภัยด้วยนะเ้าคะ”
“แม่นางพูดอะไรเช่นนั้น”
ทั้งสองกำลังพูดด้วยความเกรงอกเกรงใจกันและกัน จังหวะนั้นก็ได้ยินเสียงคนร้องแจ้ง “ท่านอ๋องมาแล้ว”
จากนั้นเป็เสียงฝีเท้าย่ำเดินสับสน
เมื่อมองไปรอบๆ เห็นชายคนหนึ่งเดินออกจากลานหลังบ้าน เขามีอายุประมาณห้าสิบปี ผู้ชายคนนี้รูปร่างสูงมาก สวมชุดสีม่วงสวมมงกุฎทองคำสีม่วงและเก็บเคราไว้ด้วย นอกจากนั้นไม่สามารถมองหน้าตาของเขาได้ชัดเจน ระหว่างก้าวเท้าเขาเสมือนเสือักำลังเยื้องย่าง ในอ้อมกอดของเขามีผู้หญิงทรงเสน่ห์สวมผ้าคลุมสีเขียวอ่อน
ท่านอ๋องหนิงเข้ามาในห้องโถง พอเห็นฉินหยีหนิงจึงเบิกตากว้าง จากนั้นถึงหันไปเห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาหัวเราะออกมาและโบกมือ
ชายหนุ่มคำนับก่อนเอ่ยขึ้น “แม่นางมีเื่จะพูดคุยกับท่านอ๋องหนิง ข้าขอไม่รบกวนแล้ว” เมื่อพูดเสร็จก็คำนับอีกหนพร้อมเดินออกไปด้วยความสุภาพและมีมารยาท เขาเดินไปทางฉากไม้แกะสลักและเลี้ยวหายเข้าไปทางด้านหลังของฉากนั้น
ท่านอ๋องหนิงนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก ปล่อยให้หญิงสาวซึ่งยิ้มแย้มมีเสน่ห์อย่างชาญฉลาดนั่งอยู่บนต้นขาของเขา และเอ่ยพูดเสียงต่ำน่าเกรงขามออกมา “เ้าเป็บุตรสาวของอัครมหาเสนาบดีฉินหรือ? มาหาเปิ่นหวาง2มีเื่อันใด?”
****************
1 ฟู่หวาง (父王) เสด็จพ่อ โอรสธิดาเรียกผู้เป็บิดาที่เป็เชื้อพระวงศ์
2 เปิ่นหวาง (本王) คำเรียกที่บรรดาอ๋องหรือสมาชิกเชื้อพระวงศ์ใช้เรียกตนเอง