ชวิ้ง!
อาวุธิญญาอย่างกระบี่เพลิงกัลป์ของซูเหยียนปรากฏขึ้นมาหลังจากการหลอมรวมพลังิญญาที่ร้อนระอุ ด้วยเพราะกระบี่ที่ถือว่าเป็อันดับหนึ่งยิ่งนางเป็ผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นเฉลียวฉลาดที่ในหนึ่งศตวรรษจะเกิดขึ้นสักครั้ง เพราะเหตุนี้นางจึงกลายเป็ความหวังและความภาคภูมิใจของวงศ์ตระกูล ถึงแม้ว่าผู้เป็พ่ออย่างซูซีเฉิงจะเป็ถึงเสนาบดีของสหพันธ์แต่ก็ยังคาดหวังให้บุตรสาวได้ขึ้นเป็อันดับหนึ่งในยุทธภพอยู่ดี
“ตอนนี้เ้ามีพลังพอที่จะเรียกอาวุธิญญาหรือยัง?” นางถามอย่างเป็ห่วง
“แน่นอน ข้ายังไม่ได้แย่ขนาดนั้น”
ข้ายิ้มอ่อนก่อนจะคว้าอากาศด้านหน้าที่เกิดจากการหลอมรวมของพลังิญญาให้กลายเป็อาวุธที่คุ้นเคยกระบี่คมจันทราค่อยๆ ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างช้าๆ ในอากาศกระบี่คมจันทราเป็กระบี่ขนาดกลางที่มีตัวเล่มเป็สีดำและมีส่วนคมขาวดุจหิมะเมื่อใดที่มีแสงจันทร์ตกกระทบก็จะเผยให้เห็นเส้นสีแดงส่องประกายราวกับเคยผ่านการฆ่าฟันรวมถึงภาพเหตุการณ์ที่ข้าไม่อยากจะนึกถึงครั้งนั้นด้วย
“ข้อตกลงเดิมไม่ใช้พลังิญญา” ซูเหยียนว่าพลางยิ้ม
“ไม่”
ข้าส่ายหน้าแล้วพูดต่อ“เ้าสามารถใช้พลังิญญาได้สองในสิบส่วนเพราะข้าเองก็ใช้พลังได้สองในสิบส่วนเช่นกัน”
“อืม อย่างนั้นก็ได้!”
จู่ๆกระบี่เพลิงกัลป์ก็เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นมากะทันหันจนข้าถอยออกห่าง
“เข้ามาเลย!”
“อืม!”
ซูเหยียนจับกระบี่แน่นพร้อมกับแววตาที่บ่งบอกถึงการท้ารบร่างที่บอบบางทิ้งน้ำหนักลงปลายเท้าเพียงเท่านั้นกระบี่ก็เปล่งประกายเปลวเพลิงสีเืออกมาก่อนจะพุ่งด้วยความเร็วดุจลมกรด
เคร้ง!
กระบี่ทั้งสองพุ่งเข้าปะทะกันจนจะสะท้อนออกข้าจึงถือโอกาสถอยกลับไปครึ่งก้าวและรีบพลิกข้อมือเพื่อให้กระบี่คมจันทราสลับไปอยู่ใต้คมกระบี่ของนางแล้วดันตัวเข้าไปที่หน้าอกอย่างรวดเร็ว
“อ๊าย!”
ซูเหยียนรีบกดกระบี่ลงแต่ก็ช้าไปเสียแล้วและทันทีที่กระบี่ของข้ากระแทกลงบนหน้าอกของนาง จู่ๆก็มีเสื้อเกราะสีแดงปรากฏขึ้นมาเพื่อสกัดกั้นการปะทะก่อนจะหายกลับเข้าไปในร่างกายของนางดังเดิมและนี่ก็คือ เกราะรบซึ่งผู้ฝึกฝนิญญาที่แข็งแกร่งทุกคนจำเป็ต้องสร้างเกราะรบจากการฝึกฝนพลังิญญาเพื่อป้องกันตัวไม่อย่างนั้นจะไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานส่วนตัวข้าเองที่เคยโดนทำลายการบำเพ็ญมาก่อนนั้นยังไม่สามารถสร้างมันขึ้นมาได้แต่ก็คงไม่นานเกินรอ
ซูเหยียนยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแล้วเงยหน้ามองด้วยสีหน้าที่เหี่ยวเฉา“ข้าก็พยายามปรับเปลี่ยนเพลงกระบี่ของตระกูลซูแล้ว แต่ทำไม...”
ข้ายิ้มอ่อนแล้วบอกไปอย่างแน่วแน่“ความหนักแน่น”
“ความหนักแน่น?” ใบหน้าสวยงามถามอย่างสงสัย
พอเห็นแบบนั้นก็เลยเริ่มอธิบาย“ใช่ เ้ายังมีความหนักแน่นไม่พอถึงแม้เ้าจะมีพลังิญญาอย่างล้นหลามแต่พลังก็มาจากแผ่นดินใหญ่ดังนั้นความหนักแน่นของเ้าจะเป็ตัวชี้วัดความเร็วและความน่ายำเกรงของกระบี่เพลงกระบี่ของตระกูลซูฟาดฟันและเก็บกระบี่อย่างรวดเร็วหากว่าเ้าใช้ความหนักแน่นกับกระบวนท่าเมื่อครู่อีกสักสองถึงสามส่วนพลังของเ้าก็จะเพิ่มขึ้นเหมือนกัน”
“จริงเหรอ?” นางแสดงอาการตื่นเต้นก่อนจะกวัดแกว่งกระบี่เพลิงกัลป์ในมือแล้วตั้งกระบวนท่าเมื่อครู่อีกรอบ“ปู้อี้เชวียน เ้าช่วยสอนข้าทีว่าจะใช้ความหนักแน่นอย่างไรถึงจะแสดงพลังสูงสุดของกระบี่ได้”
“อืม”เมื่อเดินไปอยู่ข้างตัวนางก็ได้กลิ่นน้ำหอมและครีมบำรุงผมที่ราคาแพงไม่น้อย
“ต่ำลงอีกนิด” ข้าบอก
“แบบนี้เป็ไง?”
“สูงอยู่ดี”
นางขยับปรับเปลี่ยนท่าแล้วถามขึ้น“แล้วตอนนี้ล่ะ?”
“ต่ำเกินไปอีกแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น...เ้าช่วยข้าแล้วกัน” นางบอก
“มัน...จะดีเหรอ?” ข้าถามอย่างลังเล
“พวกเราเป็ผู้ฝึกฝนิญญา จะมัวไปสนเื่พวกนั้นทำไม”นางบอกเพื่อคลายความกังวล
“ได้”
ข้าก้มตัวลงใช้มือทั้งสองจับเรียวขาที่ขาวดุจดั่งหิมะแล้วกดลงเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้น “มุมนี้...เอ่อ...เ้าสลายเกราะไปก่อนได้หรือเปล่าข้าร้อนมือ”
สิ่งที่ข้าคิดไม่ถึงคือใบหน้าที่งดงามของซูเหยียนกลับมีพลังบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจนใบหน้าแดงระเรื่อ“สลายไปแล้ว...”
หลังจากเกราะรบสลายไปจนเกิดเป็แสงส่องสว่างไปทั่วแล้วข้าก็ได้ัักับขาขาวๆ นั่นจริงๆ สักที และทันทีที่แตะมือลงไปแม้ััจะนุ่มนวล แต่ก็ไม่อาจแสดงออกมาได้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ยิ่งทำให้ว้าวุ่นจนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน “แบบนี้...กดลงไปต่ำกว่าเดิมนิดหน่อย ก้าวขาซ้ายไปข้างหน้าสักเล็กน้อย” ข้าอธิบายอย่างช้าๆ
“แบบนี้ได้หรือยัง?” นางถามอย่างลังเล
“อืม ก็...ประมาณนี้แหละ”
นี่เป็ครั้งแรกที่ได้อยู่กับหญิงแบบถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้ยิ่งทำให้ข้าใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมา ทั้งยังความรู้สึกที่มีความสุขนั้นอีกนี่มันเื่บ้าอะไรกัน!
ขณะกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเสียงของตั้นไถเหยาก็ดังแทรกขึ้นมา “อะแฮ่ม...” ”
เมื่อได้ยินซูเหยียนก็หน้าแดงแล้วเริ่มอธิบายทันที“เอ่อ...คือว่า คือข้ากับปู้อี้เชวียนกำลัง...”
ข้าเองก็รีบถอยห่างหนึ่งก้าวแล้วพูดเสริม“ตั้นไถเหยา จริงๆ แล้วคือ...”
“ไม่ต้องอธิบายหรอกน่า”ตั้นไถเหยาว่าแล้วเผยรอยยิ้มที่มีลักยิ้มออกมาน่าเอ็นดู แล้วพูดต่อ“คนที่องอาจชาติทหารอย่างพวกเราไม่จำเป็ต้องอธิบายให้เสียเวลา อีกอย่างเราต่างก็มีประสบการณ์กันทั้งนั้นจะมัวอธิบายอยู่ทำไม”
ท่าทางที่รู้ดีแบบนี้มันอะไรกัน? ข้ายืนอึ้งมองสาวงามที่อ่อนหวานและบริสุทธิ์ตรงหน้าดูเหมือนว่าเปลือกนอกที่ใสซื่อของตั้นไถเหยาจะมีอะไรให้น่าค้นหาไม่น้อยเหมือนกัน
“ข้าไม่คุยกับเ้าแล้ว!”
ซูเหยียนเดินหน้าแดงออกไปฝึกเพลงกระบี่ต่อแต่กลับล้มไม่เป็ท่า ซึ่งข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็แบบนั้นไปได้อย่างไร
ส่วนตั้นไถเหยาเดินเข้ามากระซิบข้างหู“ปู้อี้เชวียน บอกข้ามาตรงๆ ว่าจับขาของเสี่ยวเหยียนแล้วเป็อย่างไรบ้าง?”
ข้าตอบไปอย่างเก้อเขิน“ก็งั้นๆ แหละ...”
“เ้านี่มันจริงๆ เลยนะปู้อี้เชวียนทั้งที่ตัวเองได้เปรียบยังทำตัวน้อยใจไปได้ ทำไม หรืออยากจะลูบของข้าแทน?” นางพูดขึ้นมาด้วยความโมโหเหมือนอยากจะหาความยุติธรรมให้เพื่อนตัวเองนางไม่พูดเปล่า แต่ยังเปิดกระโปรงสั้นพลิ้วจนเผยให้เห็นท่อนขาขาวชวนหลงใหลออกมา
ข้าส่ายหัวแล้วปฏิเสธไป“ไม่ๆ ไม่ต้อง อย่ามาล้อเล่นกับข้านะ เพราะข้าจริงจังกับทุกเื่ใครจะรู้ว่าเ้าพูดเล่นแต่ข้าอาจจะทำจริงๆ ก็ได้”
ตั้นไถเหยามองมาอย่างรู้ทันแล้วพูดขึ้น“เฮอะ ทั้งที่อยากจะยิ้มจนแก้มฉีกแต่กลับต้องแกล้งทำตัวเหมือนน้อยเนื้อต่ำใจ...จริงด้วยสิ เมื่อวานเ้าโดนอัดจนไม่เหลือสภาพเดิมเลยนี่แล้วทำไมตอนนี้กลับเหมือนไม่ได้เจ็บป่วยอะไรเลยล่ะ? เ้าใช้ยาอะไรรักษากันแน่ข้าจำได้ว่ารากบัวหิมะก็ไม่ได้มีสรรพคุณดีขนาดนี้สักหน่อยปกติแล้วเวลากระดูกหักถึงจะมียาดีแค่ไหนก็ต้องพักอย่างน้อยสามวันแต่กับเ้าแค่วันเดียวก็หายแล้ว”
ข้าจะบอกว่าเป็ยาพันิญญาก็ไม่ได้ก็เลยบอกอย่างอื่นแทน “น่าจะเป็เพราะร่างกายที่มันไม่เหมือนคนอื่นและพร์ที่ไม่เหมือนใครของข้าล่ะมั้ง”
แววตาของนางเปลี่ยนไปก่อนจะพูดขึ้น“พูดแบบนี้จะบอกว่าเ้ายาวกว่าคนอื่นงั้นสินะ?”
“...”
ไม่ได้ๆ!ถ้ายังขืนคุยกับนางต่อ จะต้องตกหลุมพรางคนเ้าเล่ห์อย่างนางแน่ๆ
แต่บุคลิกที่ร่าเริงแจ่มใสและเป็กันเองของนางไม่ว่าใครมาเห็นก็ต้องชอบใจอยู่ไม่น้อย
...
เวลาล่วงเลยจนถึงสองทุ่มตรงและร่างกายก็ได้รับการฟื้นฟูไปกว่าเจ็ดถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้วข้าจึงกลับไปหาเฉิ่นปู้หยุนเช่นเคยส่วนซูเหยียนและตั้นไถเหยาที่คิดว่าต้องมีเื่สนุกรออยู่จึงไม่ปฏิเสธที่จะตามข้าไปด้วย
เราทั้งสามเดินไปบนทางเท้าเล็กๆโดยมีซูเหยียนอยู่ตรงกลางส่วนข้ากับตั้นไถเหยาเดินขนาบข้างมีเพียงแสงจากดวงจันทร์ที่ส่องกระทบพื้นดินไปตลอดทางและแน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงเราสามคนเท่านั้นแต่ยังมีศิษย์อีกไม่น้อยที่มุ่งหน้าไปหาเฉิ่นปู้หยุนอย่างเร่งรีบเช่นกัน
“พวกเ้าจะไปไหนกัน?” ข้าถามขึ้น
“ไปดูอะไรสนุกๆ ไงล่ะ...”
ซูเหยียนพูดเสียงเรียบ“นี่เ้ายังไม่รู้หรือไงว่าข่าวที่เ้าประลองกับเฉิ่นปู้หยุนขึ้นขึ้นพาดหัวบนหน้าหนังสือพิมพ์ของสำนักว่า‘ศิษย์สำรองกระจอกๆแต่สามารถรับมือกับอันดับัอย่างเฉิ่นปู้หยุนได้ถึงสี่กระบวนท่า’ไม่รู้ว่าเ้าไปทำอะไรให้พวกสื่อของสำนักไว้ถึงได้ขยันกระจายข่าวของเ้าขนาดนี้”
ซูเหยียนเองก็ฉลาดไม่เบาถึงรู้ว่าการขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์สำนักไม่ใช่เื่ดีโดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้โด่งดังและมีระดับพลังยังไม่ถึงขั้นยิ่งแล้วใหญ่
และข้าเองก็บังเอิญไปตรงกับสิ่งที่ว่ามาพอดีข้าประลองกับเฉิ่นปู้หยุนก็จริงอยู่ แต่ที่ว่าพลังแตกต่างกันมากก็ไม่เชิงซะทีเดียวข้าเองก็เสียเปรียบมาั้แ่ต้น เพราะขาดปราณิญญาไปแล้วซึ่งต่อให้ฝึกฝนจนแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ก็ใช้พลังได้แค่สองในสิบส่วนนั่นหมายความว่าข้าจะใช้วรยุทธ์ออกมาได้เพียงสองส่วนเท่านั้น
กระท่อมไม้บนเทือกเขาลั่วเซี่ยมีแสงไฟส่องสว่างไปทั่วบริเวณคาดไม่ถึงว่าจะมีผู้ที่ชอบดูอะไรแบบนี้ ซึ่งถ้ากะคร่าวๆ ก็มีไม่ต่ำกว่าสามร้อยคนไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ระดับสูงเช่นกัน
ตั้นไถเหยามองไปอย่างพิจารณาแล้วพูดขึ้น“มีศิษย์หลายคนที่มาประลองเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง ทำให้มีอาจารย์หลายท่านมาคอยสอดส่องเพื่อใช้โอกาสนี้เลือกศิษย์คนโปรดและนำไปฝึกฝนฝีมือให้เก่งยิ่งขึ้น”
พอได้ยินแบบนั้นแล้วข้าก็เลยพูดขึ้น“จะมีอาจารย์มาสนใจข้าบ้างหรือเปล่า?”
ตั้นไถเหยาส่ายหัวแล้วพูดแบบไม่เกรงใจ“ตอนนี้คงจะยาก เพราะตอนนี้เ้าก็แค่หนังหนา หรือจะให้พูดอีกอย่างก็แค่ทนมือทนเท้าได้เท่านั้นหากเ้าไม่โจมตีเพื่อแสดงพลังหรือพร์ออกมาคงไม่มีอาจารย์ชั้นสูงหรือนักรบคนไหนสนใจในตัวเ้าแน่ๆ”
“เ้าปลอบใจคนเก่งจริงๆเลยนะ” ข้าพูดประชดประชัน
“แน่นอนอยู่แล้ว และวันนี้จ้าจะต้องทนให้ได้ถึงห้ากระบวนท่านะเดี๋ยวข้ากับซูเหยียนจะคอยให้กำลังใจเ้าเอง ดูนั่นสิเพื่อนสนิทของเ้าคนนั้นมานู้นแล้ว”
และคนที่นางบอกก็คือซ้งเชียนนั่นเอง
“ท่านมาแล้วเหรอพี่เชวียน!” ซ้งเชียนโบกมือให้แต่ไกลด้วยความสนิทสนม
เห็นแบบนี้แล้วข้าเองก็ไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก“เ้าก็มารอดูข้าโดนอัดด้วยอีกคนงั้นเหรอ?”
ซ้งเชียนปัดไม้ปัดมือแบบไม่ได้สนใจก่อนจะพูดขึ้น“ท่านก็รู้ดีว่าเฉิ่นปู้หยุนเป็ถึงจอมยุทธ์ลำดับที่เจ็ดของอันดับัคนที่มาล้วนแต่มาให้เขาอัดทั้งนั้น ซึ่งท่านเองก็คงจะไม่ต่างกันแค่รอดูว่าใครจะสามารถรับมือเข้าได้ถึงสิบกระบวนท่าและมีสิทธิ์เป็ศิษย์คนโปรดของเขาก็เท่านั้น”
“เ้านี่มัน!...”
ข้าเอ็ดเขาไปก่อนจะมองไปรอบๆก็เห็นว่ามีศิษย์เจ็ดถึงแปดคนนอนหมดสภาพหลังแพ้ประลองในแต่ละวันเฉิ่นปู้หยุนจะรับแค่สิบคนและดูเหมือนว่าจะครบแล้วส่วนคนที่สิบเอ็ดอย่างข้าที่เขายังยอมให้ประลองได้คงเพราะเห็นแก่หน้าพี่เสวียนยินเป็แน่
“เ้ามาแล้วเหรอ?” เฉิ่นปู้หยุนมองปราดมาแต่ไกลถามขึ้นพร้อมกับการยิ้มมุมปาก
“อืม ข้ามาแล้ว”
“แล้วข้าจะลงมือได้หรือยัง?”
“เข้ามาเลย!”
ของแบบนี้มันต้องตรงไปตรงมาแบบชายชาตรีอกสามศอก!