ตุ้บ!!!
พลังิญญาของเฉิ่นปู้หยุนหลอมรวมเป็เปลวไฟอันร้อนระอุราวกับผู้เป็นายได้กลืนกินลูกปืนเข้าไปเสียอย่างนั้นเพียงแค่ถีบแรกูเาก็สั่นะเืไปทั้งลูกแรงสะท้อนจากการปะทะทำให้ข้าลอยสูงขึ้นไปบนอากาศและตกสู่พื้นดินด้วยเสียงที่ดังสนั่นแต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็ยังอยู่ในท่าัพันศิลาได้เหมือนเดิม
ในกระบวนท่าที่สองของเฉิ่นปู้หยุนเขากลับใช้ฝ่ามือแทนัสีเขียวมรกตที่แหวกว่ายออกมาในอากาศโผล่มาให้เห็นกว่าครึ่งตัวก่อนจะพุ่งเข้ามาพร้อมกับหมัดอันทรงพลัง
และนั่นคือขั้นเซียนของวิชาลมหายใจัในขั้นที่สี่ปราณัเอกา!
ทุกคนต่างตกอยู่ในความตะลึงงันเพราะถึงจะมีไม่กี่คนที่ฝึกฝนได้ถึงขั้นที่สี่แต่กลับไม่มีใครไต่ระดับไปถึงขั้นเซียนเลยสักคนมากที่สุดก็แค่ระดับสมบูรณ์ของขั้นที่สี่และข้ามไปขั้นที่ห้าเลยมากกว่า
การโจมตีด้วยฝ่ามือครั้งนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆเพราะถ้าข้าอ่อนแอคงจะแพ้ไปั้แ่กระบวนท่านี้เรียบร้อยแล้ว
พอตกอยู่ในสถานการณ์ที่คู่ต่อสู้ใช้พลังอย่างไม่ไว้หน้าแค่เสียงตวาดดังลั่นเพียงครั้งเดียวก็ทำให้พลังิญญาปะทุและแล่นไปทั่วร่างเหมือนม้าที่กำลังวิ่งด้วยพละกำลังจนฝุ่นตลบเผยให้เห็นัเกล็ดเลื่อมมันวาวให้ประจักษ์แก่ทุกสายตาราวกับมีชีวิตจริงๆ
วิชาลมหายใจัขั้นที่สี่ระดับเซียนปราณัเอกา!
ว้าว...
ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นต่างโห่ร้องออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“พระเ้า!เ้าศิษย์สำรองนี่ฝึกฝนจนเก่งขนาดนี้แล้วเหรอ เป็ไปไม่ได้!”
“มันต้องเล่นตุกติกแน่ๆ!”
“ภาพลวงตา มันจะต้องเป็ภาพลวงตาแน่ๆ!แกหลอกพวกเราไม่ได้หรอกนะ ไอ้กระจอก!”
...
และในขณะที่ผู้คนกำลังสงสัยขณะที่ทุกคนกำลังสงสัยไปต่างๆนานา ฝ่ามือหนักของเฉิ่นปู้หยุนก็ซัดลงมา!
ปัง!
พลังปราณัเอกาของข้าไม่สามารถต้านทานฝ่ามืออันทรงพลังจนแตกกระจายไม่เป็ท่าด้วยแรงสะท้อนจากพลัง ทำให้ร่างของข้าปลิวถลาไปชนต้นไม้จนขาดครึ่งก่อนจะทะลุไปกระแทกกับหินก้อนใหญ่จนกระอักเืสีแดงข้นออกมาฤทธิ์ของน้ำยาพันิญญาที่กำลังสงบนิ่งก็เริ่มะเิออกมาช้าๆ
ข้ายัง้าแรงโจมตีและอาการาเ็ที่หนักกว่านี้!
แม้สภาพใบหน้าจะเต็มไปด้วยเืแต่ก็ยังพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นเพื่อเดินไปหาเฉิ่นปู้หยุนและบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงซุบซิบนินทาก็กลับมาอีกครั้ง
“มันอยากจะเป็ศิษย์คนโปรดของเฉิ่นปู้หยุนจนบ้าไปแล้วหรือไง?”
“ฮึช่างไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวเอาเสียเลย ก็แค่คนฝีมือกระจอกๆ คนหนึ่งแต่กลับฝันกลางวันถึงสิ่งที่ไม่มีทางเป็ไปได้!”
“เขาเจ็บหนักขนาดนั้นจะตายหรือเปล่านะ?”
“ใครจะรู้ว่ามันจะตายหรือไม่ตายแต่ตายๆ ไปก็ดี ไอ้พวกมักใหญ่ใฝ่สูงแบบนี้ ไม่เหมาะที่จะเป็ศิษย์ของสำนักหมื่นิญญาของเรา!”
และในขณะเดียวกันก็มองเห็นใบหน้าคนที่กำลังโกรธจัดเมื่อได้ยินเสียงนินทาอย่างซูเหยียนและตั้นไถเหยารวมไปถึงแววตาที่แสดงออกถึงความเป็ห่วงของซ้งเชียน “ท่านยังไหวหรือเปล่าพี่เชวียนข้าว่าอย่าฝืนดีกว่านะ!”
“ไม่เป็ไร ไม่ต้องเป็ห่วง”
ข้ายังคงเดินไปข้างหน้าทีละก้าวๆแล้วมาหยุดตรงหน้าเฉิ่นปู้หยุน “ท่านอาจารย์ ได้โปรดช่วยชี้แนะ!”
“ฮึ ช่างไม่กลัวตายซะจริงๆ!”
เฉิ่นปู้หยุนหัวเราะในลำคอเบาๆก่อนจะพูดต่อ “งั้นก็มาต่อกันเลย ข้าจะจู่โจมจนกว่าเ้าจะยอมแพ้ไปเอง!”
ชั่วพริบตาเดียว เฉิ่นปู้หยุนก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วก่อนจะคว้าคอเสื้อของข้าแล้วรวบรวมพลังเพลงขาเมฆาหมอกอันทรงพลังไว้ที่ขาขวาแล้วซัดเข้ามาที่หน้าท้อง
ขณะเดียวกันข้าก็รีบเรียกพลังัพันศิลาที่หลอมรวมเป็เปลวไฟเพื่อป้องกันตัวเองจากการโจมตี
ตูม!
สะเก็ดไฟแตกกระจายไปทั่วสารทิศ ก่อนจะรู้สึกจุกขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดแต่ยังถือว่าโชคดีที่พลังเมื่อครู่มีกำลังมากพอที่จะสกัดกั้นพลังของเฉิ่นปู้หยุนได้ส่วนหนึ่งไม่อย่างนั้นข้าอาจจะไม่ได้แค่จุกแต่คงต้องพ่ายแพ้ไปแล้วอย่างแน่นอน
แม้จะมีการสกัดกั้นพลังได้แต่เสื้อผ้าตรงหน้าท้องก็ยังฉีกขาดเพราะความร้อนจนเผยให้หน้าท้องสีแทนโผล่ออกมา
ตุ้บ ตั้บ ตุ้บ!!!
เฉิ่นปู้หยุนใช้เข่าโจมตีตรงจุดเดิมซ้ำๆถึงสามรอบ แต่เหมือนว่าทุกๆ ครั้งของการโจมตีจะถูกพลังพร์ของข้าดูดซับและดึงเอาส่วนหนึ่งมาป้องกันกลับเสมอแต่ถึงจะเป็แบบนี้ความอดทนของคนเราก็มีขีดจำกัด และตอนนี้ข้าเองก็สะบักสะบอมจนยืนแทบไม่ไหว
“หกกระบวนท่าแล้ว!”
“นึกไมถึงว่าเ้านี่จะรับมือได้ถึงหกกระบวนท่าและยังยืนได้ต่อ!”
“เ้าคนนี้มันเกิดปีลาหรือไงถึงได้โง่และหัวรั้นขนาดนี้โดนซัดจนเละเป็โจ๊กแล้วยังไม่ร้องขอชีวิตอีก แถมจะขอให้ฆ่าอีกหรือไง?” ศิษย์ที่อยู่บริเวณนั้นต่างเริ่มพูดคุยกันขึ้นมาอีกรอบ
“ชีวิตสำคัญที่สุดนะปู้อี้เชวียน!!!”ซูเหยียนะโบอก
คนอื่นๆ ต่างก็หันไปมองด้วยความสงสัยว่าทำไมสาวงามที่เป็ถึงอันดับหนึ่งของรุ่นถึงได้ดูเป็ห่วงเป็ใยศิษย์ตัวสำรองคนนี้นัก
ตั้นไถเหยาเองก็พูดขึ้นมาเหมือนกัน“เ้าอย่าฝืนอีกเลย ปู้อี้เชวียน!”
ซ้งเชียนยิ่งแล้วใหญ่เขาใจนหน้าซีดก่อนจะพูดขึ้น “พี่เชวียน ท่านไหวหรือเปล่าถ้าไม่ไหวก็ยอมแพ้เถอะนะ อย่างน้อยๆ เขาก็เป็ถึงลำดับที่เจ็ดในอันดับัถึงจะแพ้ไปเราก็ไม่ขายหน้าหรอก...”
เฉิ่นปู้หยุนมองมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะพูดเสียงเรียบ“เ้ายังจะสู้ต่อ?”
ร่างกายที่สะบักสะบอมค่อยๆยืนขึ้นแล้วตั้งท่าัพันศิลาด้วยพลังิญญาเฮือกสุดท้ายอันน้อยนิดในร่าง “ไม่ข้ายังไม่ล้มและจะไม่ยอมแพ้...”
“งั้นข้าจะทำให้เ้าล้มเอง!!!”เฉิ่นปู้หยุนตวาดลั่นก่อนจะเหวี่ยงกำปั้นที่เต็มไปด้วยพลังิญญาเข้ามาที่ท้องเต็มแรง
ตุ้บ!!!
สิ้นเสียงดังสนั่นร่างทั้งร่างก็ลอยปลิวไปไกลก่อนจะสลบไปกลางอากาศในทันทีถึงตรงนี้คงไม่ต้องเดาเลยว่าคงจะมีแต่สายตาและน้ำเสียงที่ดูถูกเหยียดหยามเหมือนเช่นที่ผ่านมา
“ปราณัเอกาแล้วยังไงล่ะในเมื่อสุดท้ายก็แพ้ตามเคย!”
“ั้แ่เกิดมาข้ายังไม่เคยเห็นพลังปราณัเอกาที่อ่อนแอขนาดนี้มาก่อนเลยยังไงก็เป็แค่ศิษย์สำรอง ไม่มีใครเอาเนื้อหมามาขึ้นแท่นบูชาใช่ไหมล่ะ? ฮ่าๆๆ”
“จะบ้าหรือไง สำนักไม่ให้กินเนื้อหมาพวกชมรมคนรักหมาพาตัวมันออกไปจัดการที!”
...
ข้าตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของวันใหม่ตามเคยแต่ที่ต่างออกไปคือร่างกายกลับสดชื่นมีชีวิตชีวาและไม่มีคนคอยดูแลอยู่ข้างๆก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นแผ่นกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่งเมื่อหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็ลายมือที่สวยงามและเรียบเรียงไว้อย่างบรรจง‘เ้าหมูเชวียน ข้ากับอาเหยากลับไปพักผ่อนแล้วนะ เ้าเองก็พักผ่อนให้มากๆข้าให้อาหารไก่แทนเ้าแล้ว และก็อย่าฝืนเพราะตอนนี้เ้ามีเืออกที่อวัยวะภายในขอให้เ้ารักษาตัวเองได้โดยเร็ว และถ้ามีเื่อะไรก็มาหาข้ากับอาเหยาได้ที่ศิษย์ห้องหนึ่งของสำนักจิงอิง’
ศิษย์ห้องหนึ่งของสำนักจิงอิง?
ข้ายิ้มอ่อนเมื่ออ่านจบสำนักหมื่นิญญามีการเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วและจะมีการทดสอบทุกๆ สามเดือนถ้าให้คาดคะเนความสามารถของซูเหยียนและตั้นไถเหยาหลังจากนี้อีกสามเดือนคงจะเลื่อนไปสำนักจวี๋ฉีและถ้าราบรื่นกว่านั้นก็อาจจะเข้าไปในสามสำนักใหญ่ชั้นในเลยก็เป็ได้แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องคอยดูความสามารถของพวกนางทั้งสองแล้วล่ะ
แต่ข้าก็เป็เพียงศิษย์สำรองธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่ขนาดจะเข้าไปนั่งเรียนกับคนอื่นๆ ยังไม่มีสิทธิ์อาศัย่เวลาไปส่งกระบี่ให้พอได้แอบดูอาจารย์แต่ละท่านสอนเกี่ยวกับเพลงกระบี่วายุสังหารเพลงกระบี่ลม กระบวนท่าทลายิญญา และวรยุทธ์อื่นๆ แค่นั้นอันที่จริงข้าก็ไม่เคยเรียนเ้าสามกระบวนท่าที่ว่าแบบจริงจังสักทีเพราะั้แ่เกิดมาก็เรียนตามมีตามเกิด รอดูว่าคนในเมืองจะสอนอะไร ยิ่งหยินเย่เฉิงเป็เมืองเล็กๆอยู่ในเขตทางเหนือ มันเล็กจนขนาดว่าบนแผนที่ยังไม่มีการทำเครื่องหมายไว้ด้วยซ้ำดังนั้นข้าก็เลยเรียนเคล็ดวิชาามาั้แ่เด็กและไม่ได้เรียนวิชาพื้นฐานของวรยุทธ์อย่างจริงๆจังๆ และในสายตาของคนพวกนี้ เคล็ดวิชาาคงเป็ได้แค่วิชาบ้านป่าเมืองเถื่อนดีๆนี่เอง
หากมีโอกาสข้าจะต้องเรียนรู้วรยุทธ์พวกนี้สักหน่อยเพราะจะช่วยเพิ่มสมรรถภาพในการต่อสู้ของข้าได้อย่างมาก!
ก่อนจะออกไปกินข้าวเช้าที่โรงอาหารข้าหยุดดูไก่ในเล้าอยู่ครู่หนึ่งจนสังเกตเห็นว่าพวกมันโตกว่าวันแรกเกือบเท่าตัวเลยทีเดียวหลังจากกินข้าวเสร็จข้าก็ถือโอกาสนี้ซื้อข้าวสารกลับมาฝากพวกลูกเจี๊ยบและแบ่งบางส่วนสำหรับต้มกับผักไวกินด้วย
แน่นอนว่าหลังจากที่กินจนอิ่มแปล้ก็เริ่มการฝึกฝนต่อ
หลังจากถูกอัดจนเละมาเมื่อวานวันนี้ร่างกายก็กลับมากระปรี้กระเปร่าเพราะฤทธิ์ของน้ำยาพันิญญาพละกำลังของข้าก็เพิ่มขึ้นมาทีละน้อยจนรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงจากภายในร่างกายเืลม กระดูก และอวัยวะภายในต่างๆ ก็สมานตัวกันและแข็งแรงมากขึ้นซึ่งเป็เค้าลางบ่งบอกว่าข้ากำลังจะบรรลุการบำเพ็ญขั้นหลอมปราณแล้ว
เพียงแต่การบรรลุครั้งนี้ไม่ใช่เื่ง่ายอย่างน้อยๆ ก็ตอนนี้...
หลังจากเคลื่อนพลังอยู่หลายรอบและแข็งแกร่งจนมองเห็นก้อนพลังิญญาวิ่งผ่านอยู่ใต้ิัคล้ายักำลังแหวกว่ายในอากาศส่วนพลังที่ได้รับจากเฉิ่นปู้หยุนก็กำลังก่อตัวเป็รูปร่างของัที่ยังไม่สมบูรณ์นักซึ่งระดับสมบูรณ์ในขั้นที่ห้าของวิชาลมหายใจัคือภาพของัที่พันรัดอยู่บนร่างของผู้ฝึกฝนและเริ่มปรากฏชัดตามพลังที่เพิ่มขึ้น กระทั่งชัดเจนที่สุดนั่นแปลว่าได้บรรลุเรียบร้อยแล้ว
เวลาล่วงเลยมาถึงตอนเที่ยงข้าก็เห็นเค้าลางการเริ่มต้นที่ดีขึ้นมา...
เมื่อเป็อย่างนั้นแล้วข้าจึงไม่คิดอะไรมากก่อนจะรีบกินโสมโลหิตไปครึ่งท่อนและเริ่มฝึกต่อจนเวลาผ่านไปกระทั่งบ่ายสามโมง ัตัวนั้นก็กลับมาปรากฏให้เห็นชัดมากกว่าเดิม
พอคลื่นลมสงบ ฟ้าก็กลับมาสดใสอีกครั้งเช่นเดียวกับพลังของข้าที่เพิ่มขึ้นหลังถูกซัดจนไม่เหลือสภาพเดิมอย่างน่าอัศจรรย์ทั้งที่ศิษย์หลายต่อหลายคนในสำนักไม่มีทางฝึกฝนวิชาลมหายใจัถึงขั้นที่ห้าได้ต่างจากข้าที่ก้าวหน้าไปกว่าครึ่งทางซึ่งแน่นอนว่าระดับสมบูรณ์ย่อมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม!
ในตอนนี้เองก็รู้สึกถึงความอ่อนล้าที่แล่นไปตามร่างกายจึงคิดได้ว่าไม่ควรเร่งรีบและเลือกที่จะหยุดพัก
ข้ามองไปที่รถเข็นอันว่างเปล่า ความคิดที่อยากจะไปขนกระบี่กลับมาเกลาก็ผุดขึ้นข้าจึงรีบใส่ชุดของสำนักและออกไปทำงานทันที
...
แม้แสงแดดจะร้อนระอุแต่สนามฝึกก็ยังเต็มไปด้วยลูกศิษย์ของสำนักและเสียงการสั่งสอนของอาจารย์
“กระบวนท่าัพันศิลาเป็รากฐานและพื้นฐานของวิชาลมหายใจัดังนั้นจะต้องจดจำให้ดีและห้ามลืมเด็ดขาด”
เสียงที่คุ้นหูและเคยบาดหมางกับข้าอย่างอาจารย์ผู้ช่วยหลัวเหวินดังขึ้นมาก่อนจะเห็นเ้าตัวที่ยืนอยู่ไม่ไกลพร้อมกับนักเรียนชั้นสูงที่กำลังฝึกฝนและตอนนี้แต่ละคนก็มองตามสายตาขอหลัวเหวินมายังข้าที่ยืนอยู่โดยมีบางคนที่เห็นแล้วก็จำข้าได้ทันที
หลัวเหวินกระตุกยิ้มก่อนจะพูดขึ้น“จะต้องสร้างพื้นฐานให้มั่นคงไม่อย่างนั้นจะพังลงไม่เป็ท่าและกลายเป็พวกกระจอกอย่างศิษย์ตัวสำรองพวกนั้น”
ข้าก้มหน้าลงไปเก็บกระบี่ที่ใช้งานไม่ได้แล้วขึ้นมาวางบนรถโดยไม่ได้พูดอะไร
แต่หลัวเหวินกลับจ้องมาแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อวดเก่ง“บางคนก็เกิดมาเพื่อเก็บขยะเหมือนคนที่อยู่ข้างหลังข้าตอนนี้และถ้าพวกเ้าไม่อยากเป็เหมือนเขา ก็จะต้องตั้งใจฝึกซ้อม”
ซึ่งข้าไม่มีทางแสร้งว่าไม่สนใจคำพูดดูถูกแบบนี้แน่นอน!
“ท่านกำลังหมายถึงข้าหรือเปล่า?”ข้าเงยหน้าขึ้นถาม
“เ้า?”
หลัวเหวินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาแล้วพูดต่อ“บังเอิญว่าตรงนี้มีศิษย์ตัวสำรองอยู่พอดีงั้นข้าก็จะแสดงวิธีการใช้กระบวนท่าัพันศิลาให้ทุกคนได้เห็นสักหน่อย...เ้าหยิบกระบี่แล้วเข้ามาโจมตีข้าได้เลย”
ข้ารู้สึกงุนงงกับคำสั่งที่ได้ยินก่อนจะถามขึ้น“โจมตีท่าน?”
หลัวเหวินตวาดเสียงดังก่อนพลังิญญาจะแผ่ซ่านแล้วมีหางัเขียวปรากฏออกมาจากด้านหลังนี่คือกระบวนท่าัพันศิลาที่เข้าถึงแก่นแท้ น่าจะเป็เพราะแสดงพลังออกมาจนหมดมันถึงได้น่าเกรงขามขนาดนี้และถ้าเกิดว่าข้าจู่โจมเขาในตอนนี้ก็จะต้องโดนพลังอันทรงอำนาจของัพันศิลาซัดกลับมาอย่างรุนแรงนั่นเท่ากับทำให้ตัวเองขายหน้าต่อศิษย์ของสำนักอีกหลายคนเพราะยังไงข้าก็ยังอยู่ในขั้นหลอมปราณแต่หลัวเหวินอย่างต่ำก็น่าจะเป็ขั้นเทวิญญาระดับกลาง ซึ่งสูงกว่าข้าถึงสามขั้นมันไม่ใช่สิ่งที่วิชาลมหายใจัจะสามารถย่นระยะความแตกต่างที่มากขนาดนี้ได้
“ทำไม เ้าไม่กล้างั้นหรือ?”หลัวเหวินแสยะยิ้มแล้วพูดขึ้น
ข้ารู้สึกเดือดดาลขึ้นมาในใจเมื่อเจอกับพวกที่ไม่ยอมให้คนอื่นดีกว่าตนทั้งที่เป็ถึงอาจารย์แต่กลับทำเื่แบบนี้ ข้าก็จะสนองให้เอง!