จ้าวซีเหอพาฉู่เมิ่งเอ๋อร์ไปยังเรือนแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ห่างไกล เรือนแห่งนี้มีชื่อว่าสวนไผ่ เนื่องจากเรือนแห่งนี้มีต้นไผ่ปลูกอยู่เต็มไปหมด ทำให้บรรยากาศดูเงียบสงบและสวยงาม
จ้าวซีเหอรู้ว่าบิดาไม่อยากเห็นหน้าฉู่เมิ่งเอ๋อร์ทุกวัน จึงพามาที่เรือนซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลนี้ ทว่ากลับทำให้ฉู่เมิ่งเอ๋อร์รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก
จู่ๆ ท่าทีของจ้าวซีเหอก็แปรเปลี่ยนไปเป็เ็า เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ใคร่ใส่ใจนัก “ในเมื่อเข้ามาอยู่ในตำหนักอ๋องก็ต้องทำตามกฎของตำหนักอ๋อง เข้าใจหรือไม่”
ฉู่เมิ่งเอ๋อร์มองท่าทางของจ้าวซีเหอที่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเป็เ็ากับนางอย่างนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แม้นนางรู้สึกไม่พอใจ ทว่าไม่อยากแสดงออกมา เพราะกลัวว่าเขาจะโกรธนาง นางจึงจำใจต้องรับคำอย่างว่าง่าย “เ้าค่ะ เมิ่งเอ๋อร์ทราบแล้ว”
หญิงสาวสองสามคนซึ่งดูท่าจะเป็สาวใช้เดินเข้ามา ก่อนจะโค้งตัวคำนับ “บ่าวคารวะอนุฉู่เ้าค่ะ”
จ้าวซีเหอหันหลังให้ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “นี่คือสาวใช้ที่ข้าส่งมาให้รับใช้เ้า ต่อไปพวกนางจะรับผิดชอบดูแลทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเ้า แล้วเ้าต้องจำไว้อย่างหนึ่ง ห้ามเดินไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้าภายในตำหนักอ๋องเด็ดขาด”
ฉู่เมิ่งเอ๋อร์มองท่าทางเ็าของจ้าวซีเหออย่างน้อยใจขณะพยักหน้ารับ จ้าวซีเหอสั่งงานสาวใช้อีกไม่กี่ประโยคก็จากไป
หนิงมู่ฉือได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวั้แ่ฉู่เมิ่งเอ๋อร์เข้าประตูตำหนักอ๋องมาแล้ว ทว่านางแกล้งทำเป็ฝืนยิ้ม พอได้ยินท่านอ๋องกล่าวว่าจะมีการแข่งขันระหว่างนางกับพ่อครัวหลวง นางจึงเอาแต่ตั้งใจพัฒนาฝีมือการทำอาหารของตัวเองอยู่ในห้องครัว
คนของตำหนักอ๋องในเวลานี้ต่างวุ่นวายไม่น้อยเลยทีเดียว
ทว่าหัวหน้าขันทีของฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินซึ่งมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเื่ทุกอย่างที่เกี่ยวกับฮ่องเต้วุ่นวายใจยิ่งกว่าเสียอีก ขันทีพ่อครัวหลายคนต่างพากันมาบ่นกับเขาว่าไม่ยินยอมเื่หนิงมู่ฉือเยี่ยงนั้นเยี่ยงนี้ อยากจะแข่งกับหนิงมู่ฉือสักครา
ขันทีหัวหน้าพ่อครัวเดินอย่างนอบน้อมมายังตำหนักซึ่งฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินประทับอยู่ เมื่อมาถึงก็คุกเข่าลงกับพื้น
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินมองเหตุการณ์ตรงหน้าซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างแปลกใจ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม “มีเื่ใดหรือ”
ขันทีหัวหน้าพ่อครัวมองฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินก่อนจะใช้เสียงเล็กแหลมของตนเองกล่าวตอบ “ทูลฝ่าา บ่าวมีเื่อยากทูลขอพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ยิ้มพลางเอ่ยถามขันทีหัวหน้าพ่อครัว “เื่ใด หรือเ้าเหนื่อยกับการเป็พ่อครัวแล้ว จึงอยากย้ายไปทำตำแหน่งอื่น”
ขันทีหัวหน้าพ่อครัวมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก รีบก้มหน้าก่อนจะตอบ “ฝ่าาเข้าพระทัยบ่าวผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ผลการแข่งทำอาหารกับต่างแคว้นทำให้บรรดาขันทีพ่อครัวหลวงต่างรู้สึกไม่ยินยอม บ่าวจึงอยากขอให้มีการจัดการแข่งขึ้นอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินนึกถึงวันที่พ่อครัวหลวงของตนเองทำขายหน้าแขกต่างแคว้น ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าไม่พอใจ กล่าวกับขันทีหัวหน้าพ่อครัวซึ่งนั่งคุกเข่าด้วยน้ำเสียงดุดัน “พวกเ้ายังขายหน้าไม่พออีกใช่หรือไม่ ถ้าไม่ใช่เพราะวันนั้นแม่ครัวจากตำหนักอ๋องช่วยกู้หน้ากลับคืนมาให้ ราชวงศ์ของเราคงต้องขายหน้าให้ต่างแคว้นอีกคราเป็แน่!”
ขันทีหัวหน้าพ่อครัวได้ยินคำเอ็ดจากฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจิน ตัวสั่น สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ต่อมา ได้ยินเสียงฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินถอนหายใจ “เอาเถิด นานแล้วที่ในวังไม่มีเื่ครึกครื้น เราอนุญาตให้จัดการแข่งขันขึ้นอีกครั้งได้”
ขันทีหัวหน้าพ่อครัวคาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินจะทรงรับปาก เงยหน้ามองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ก่อนจะก้มหน้ากล่าวขอบพระทัย
“วันที่สามสิบเดือนสิบเป็วันดี จัดการแข่งขันในวันนั้นก็แล้วกัน ต่อไปเื่เล็กน้อยเช่นนี้ไม่ต้องมาหาเรา เื่ของห้องเครื่อง เรายกอำนาจการดูแลทั้งหมดให้แก่เต๋อเฟยไปแล้ว” ใน่นี้ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินกำลังยุ่งกับงานบ้านงานเมือง เขายกมือนวดขมับทั้งสองข้าง เพื่อคลายอาการปวดศีรษะ
ขันทีหัวหน้าพ่อครัวหาโอกาสเอ่ยปากขอตัว ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
ครั้นได้ยินว่าฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินพระราชทานอำนาจทุกอย่างที่เกี่ยวกับห้องครัวให้แก่เต๋อเฟย ในใจซูเฟยรู้สึกโกรธแค้นยิ่งนัก จึงไปหา “พันธมิตร” ในตอนนี้ของนาง...องค์หญิงซีเยวี่ยเพื่อปรับทุกข์
องค์หญิงซี่เยวี่ยในตอนนี้กำลังอ่านจดหมายที่ถูกส่งมาจากแคว้นของตัวเอง ส่งมาเตือนว่าให้รีบลงมือได้แล้ว ทว่าตอนนี้ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินป้องกันตัวเองดีมาก แม้แต่หน้านางก็ไม่ยอมพบ แล้วนางจะลงมือได้อย่างไร
ได้ยินเสียงซูเฟยจากด้านนอกประตู นางรีบเผาจดหมายทิ้งทันที ไม่ให้เหลือแม้แต่เศษซาก
ซูเฟยเปิดประตูเข้ามา นางรีบลุกขึ้นยืน ส่งยิ้มพร้อมกับยอบกายคำนับ “ซีเยวี่ยถวายบังคมพระสนมซูเฟยเพคะ”
ซูเฟยเห็นองค์หญิงซีเยวี่ยมีรูปโฉมงดงาม ทั้งยังเยาว์วัย ใบหน้าซูเฟยฉายแววลุ่มลึกครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาอ่อนหวานดังเดิม นางส่งยิ้มให้องค์หญิงซี่เยวี่ย “น้องซีเยวี่ยนี่กิริยามารยาทงดงามประหนึ่งดอกบัวที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ เรียนรู้กฎของวังหลวงได้ไม่เลวเลย”
องค์หญิงซีเยวี่ยยิ้มรับคำชม ก่อนจะเดินไปจุดเทียนหอม เมื่อควันลอยขึ้นสูง กลิ่นดอกกล้วยไม้พลันอบอวลไปทั่วห้อง
ซูเฟยได้กลิ่นแล้วรู้สึกสดชื่นเหลือเกิน เดินไปนั่งก่อนจะเอ่ยออกมา “กลิ่นเทียนหอมนี้หอมดีจริง น้องซีเยวี่ยได้มาจากที่ใดหรือ”
องค์หญิงซีเยวี่ยยังพูดภาษาจีนได้ไม่คล่องนัก เอ่ยอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “เทียนหอมนี้คือกลิ่นดอกกล้วยไม้เพคะ หากพี่สาวชื่นชอบ หม่อมฉันยินดียกให้เพคะ”
ซูเฟยใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากแย้มยิ้มออกมา ทว่าผ่านไปสักพัก สีหน้าเปลี่ยนเป็ทุกข์ตรม ไม่เพียงแค่นั้นยังถอนหายใจออกมาอีกด้วย
องค์หญิงซีเยวี่ยได้ยินเสียงถอนหายใจ มองหน้าซูเฟยพร้อมกับเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “พระสนมทรงเป็อันใดไปหรือเพคะ”
“น้องคงไม่รู้ว่าฝ่าาไม่ได้เสด็จมาหาข้านานแล้ว แถมยังยกอำนาจทั้งหมดของห้องเครื่องให้เต๋อเฟยดูแลอีก น้องสาวว่า ฝ่าาทรงไม่โปรดข้าแล้วใช่หรือไม่” ใบหน้าของซูเฟยเต็มไปด้วยความเศร้าโศกขณะเอ่ยเื่ที่กังวลออกมา
“ไม่ใช่หรอกเพคะ เื่ในห้องเครื่องไม่ใช่ว่าเต๋อเฟยทรงรับผิดชอบอยู่แล้วหรือเพคะ ่นี้ฝ่าาทรงยุ่งกับงานราชกิจ คงไม่ค่อยมีเวลานักนะเพคะ” องค์หญิงซีเยวี่ยมองซูเฟยอย่างระมัดระวัง
ซูเฟยยิ้มก่อนจะหันหน้าไปหาองค์หญิงซีเยวี่ย มองด้วยแววตาคมปลาบ “น้องซีเยวี่ย เหตุใดหลายวันมานี้ฝ่าาถึงไม่เสด็จมาหาน้องเลย”
“ซีเยวี่ยไร้ความสามารถ ไม่อาจทำให้ฝ่าาทรงโปรดหม่อมฉันได้” องค์หญิงซีเยวี่ยหลุบตาขณะตอบ
ซูเฟยใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากยิ้มออกมา ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือแววถากถาง “เื่ที่น้องรับปากในตอนแรกเมื่อใดถึงจะทำสำเร็จ น้องต้องใกล้ชิดกับฝ่าาให้มาก ฝ่าาถึงจะเลื่อนยศให้ข้าได้”
องค์หญิงซีเยวี่ยพยักหน้าขณะคิดในใจว่า ซูเฟยช่างน่ากลัวเหลือเกิน นางมองส่งจนซูเฟยเดินออกไปไกล ก่อนจะเบนสายตาไปยังใบไม้ที่เริ่มเปลี่ยนเป็สีเหลืองนอกหน้าต่าง ในใจแอบลอบถอนหายใจออกมา