เพียงแต่หากนางเปิดร้านจริงจะทำลายสมดุลค่าครองชีพของโลกยุคนี้ ได้ยินว่ายุคราชวงศ์โจวฮ่องเต้เปิดอาณาจักรโดยถือกำเนิดจากการค้าข้าว ดังนั้นเขาจึงควบคุมราคาข้าวได้เป็อย่างดี ทำให้เกษตรกรยังคงมีรายได้ ในขณะเดียวกันทุกคนก็ยังมีกำลังซื้อข้าวได้ อย่างไรก็ตามอาหารสามมื้อนั้นแยกจากข้าวไม่ได้
เดิมทีเกษตรกรมีรายได้น้อยที่สุดอยู่แล้ว กระทั่งเเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ พวกเขายังต้องค้างค่าภาษี หลิวเต้าเซียงไม่อยากทำลายสมดุลนี้ หากข้าวปลาอาหารยิ่งมาก ราคาก็ย่อมต่ำ ทำให้เกษตรกรยากจะมีชีวิตอยู่ได้
นางรู้สึกว่าการมีห้วงมิติสามารถช่วยเื่ไก่ได้อยู่แล้ว ทำให้อยู่ในราชวงศ์โจวได้อย่างหมดกังวลและยังได้รับผลประโยชน์อย่างใหญ่หลวง
ฉะนั้นจึงห้ามใช้ข้อได้เปรียบนี้ที่์ประทานให้ ทำให้ท่านผิดหวัง
“ท่านแม่ การเลี้ยงไก่ก็แค่ได้เงินค่าเหนื่อย ท่านเองก็รู้ คำโบราณกล่าวไว้ดี ข้าวสารหนึ่งถังแลกไก่ได้หนึ่งชั่ง หมายถึงว่าไก่แค่อาศัยการกินนั้นไม่ได้ตัวโต”
หากว่าวัตถุดิบน้อยไป จะส่งผลต่ออารมณ์ของไก่และจะไม่วางไข่
หลิวฉีซื่อเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ นางดูแลบัญชีในบ้านมาหลายสิบปีจะไม่เข้าใจเื่นี้ได้อย่างไร จึงเอ่ย “ก็มีเ้าอยู่ไม่ใช่หรือ?”
ความหมายคือนางเลี้ยงไก่ แล้วหลิวซานกุ้ยยังต้องรับผิดชอบเื่ค่าอาหารให้นางอีกหรือ!
หลิวเต้าเซียงฟังแล้วโมโหจนปอดแทบะเิ มีย่าบ้านไหนบ้างที่เ้าเล่ห์เช่นนี้!
ถูกต้อง หลิวฉีซื่อ้าให้บุตรชายตนเองช่วยเหลือ อีกทั้งคิดมาดีแล้วว่าหากเขาไม่ตกลง นางก็จะโวยวายเรียกร้องความสนใจอีก
หลิวซานกุ้ยโกรธมากจนไม่อยากคุยกับมารดา
สำหรับคำขอที่ไม่สมเหตุสมผลของนาง เขาเองก็ไม่ใส่ใจ
“อะไร เหตุใดจึงทำหน้าตายเช่นนี้? เ้าอยากให้พ่อแม่เ้ารีบตายแล้วไปเกิดใหม่สินะ!” หลิวฉีซื่อเห็นเขาไม่พอใจก็เริ่มด่า
“ท่านแม่!” หลิวซานกุ้ยอยากจะบอกว่า ตัวเขาเองยังต้องพึ่งพาภรรยาและลูกๆ มาเลี้ยงเขาอยู่เลย
เมื่อนึกถึงเื่ที่ไร้ยางอายเช่นนี้ หลิวซานกุ้ยแทบอยากจะหารูแล้วมุดหนีเสียให้ได้
แต่พอนึกดู เพื่อให้บุตรสาวของตนมีสถานะที่ดี และเพื่อให้ภรรยามีศักดินาที่สวยงามสง่า เมื่อบุตรสาวออกเรือนไปจะไม่ถูกใครรังแกในอนาคต เขาจึงยอมอดทนให้
เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าตอนที่บุตรสาวคนที่สามเกิดมา รูปร่างนั้นผอมแห้งราวกับลูกแมว ซุกอยู่ในอกของมารดาและร้องไห้ หากไม่ตั้งใจฟังก็ไม่ได้ยินด้วยซ้ำ
แล้วย้อนนึกถึงว่าบุตรสาวคนรองห้ามปรามท่านย่าไม่ให้จับบุตรสาวคนที่สามของเขากดน้ำตายในกะละมัง นางจึงถูกท่านย่าเหวี่ยงไปกระแทกกับเสาอย่างแรง แต่ท่านย่ากลับไม่ยอมควักเงินเรียกหมอให้
ดังนั้นทุกสิ่งที่หลิวเต้าเซียงทำหลังจากที่นางฟื้นขึ้นมา จึงอยู่ในสายตาของหลิวซานกุ้ยมาโดยตลอด และเขาเองก็เห็นเป็เื่ที่สมควร
ทุกอย่างถูกบีบคั้นโดยท่านย่าของนาง
มีบุตรสาวของใครบ้างที่ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงมและรักใคร่ทะนุถนอม?
“ะโอะไรกัน อยากตายหรือ ะโเสียงดัง แม่เ้ายังไม่ตาย” หลิวฉีซื่อชักจะรำคาญ
ภาระในบ้านยิ่งอยู่ไปก็ยิ่งหนักขึ้น ส่วนบ้านจวงจื่อในจังหวัดก็เป็รูที่ไม่มีก้น ใส่เงินเข้าไปแต่กลับไม่ได้ยินแม้เสียงตกกระทบพื้น
หลังจากที่แยกครอบครัว แม้ว่าชีวิตของบุตรชายทั้งหลายจะมีขึ้นมีลง แต่ก็ไม่เหมือนหลิวซานกุ้ยที่โชคดีอย่างต่อเนื่อง บทจะมั่งคั่งก็มั่งคั่งขึ้นมา อีกทั้งปีแรกมีเงิน ปีที่สองเงินก็ยังไหลมาเทมา
แค่เพียงนางหลับตา ในสมองก็เต็มไปด้วยเงินก้อนที่เรียงรายในลัง
หากจะถามว่านางเสียใจที่แยกครอบครัวหรือไม่ บอกได้เลยว่าขณะนี้ความเสียใจของหลิวฉีซื่อนั้นเพิ่มขึ้นเป็สองเท่าตัว
แต่นางกลับไม่เคยคิดว่า หากไม่แยกบ้าน แล้วหลิวเต้าเซียงจะกล้าหาเงินได้อย่างเปิดเผยเช่นนี้หรือ?
คำตอบคือไม่แน่นอน
หลิวเต้าเซียงไม่้าใช้เงินของตัวเองเพื่อเลี้ยงหมาป่าตาขาวกลุ่มนี้
ยิ่งไปกว่านั้น หมาป่าตาขาวกลุ่มนี้หากทำอะไรไม่ตรงกับความตั้งใจ (ของพวกนาง) ก็จะเอามีดแทงข้างหลังอย่างไม่ลังเล มีดขาวเข้าไป กลับออกมาอีกทีเป็สีเื อำมหิตเท่าที่จะทำได้
คนในตระกูลหลิวส่วนใหญ่เชิดชูผลประโยชน์ไว้สูงสุด
เน่าั้แ่รากของต้น
ความโกรธของหลิวฉีซื่อไม่ทำให้หลิวซานกุ้ยเกรงกลัวจนถอยหนี แต่กลับทำให้เขาไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใด
ดูเสีย นี่คือคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็มารดาหรือ
เขาไม่ใช่ลูกในไส้จริงๆ ด้วย
มิฉะนั้น เหตุใดจึงกดขี่แต่เขาทุกครั้ง แล้วยังขูดรีดเงินจากเขาแค่คนเดียว?
เพราะว่าไม่ใช่ลูกในไส้ จึงไม่เ็ปใจสินะ!
“ท่านแม่ ข้าไม่มีทางรับปาก สิทธิ์การยกเว้นภาษีสามสิบไร่ข้าไม่มีทางยกให้ ส่วนเื่เลี้ยงไก่ หากท่านใคร่เลี้ยงก็เลี้ยง แต่ไม่เกี่ยวกับครอบครัวของลูก แน่นอนว่าลูกสามารถรับปากได้เื่หนึ่ง หากว่าไก่ของท่านมีปัญหาอะไร ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยชีวิตพวกมัน แต่ว่า นอกเหนือจากความสามารถของลูกแล้ว คงต้องพึ่งบัญชา์เท่านั้น”
หลิวฉีซื่อยืนเหวอและอึ้งไป!
หลิวซานกุ้ยไม่เคยแข็งแกร่งขนาดนี้มาก่อน
ชุ่ยหลิวแอบบิดตัวไปข้างหลังหลิวฉีซื่อ นางไม่้าปล่อยโอกาสทำเงินนี้ไป คนที่ฉลาดหลักแหลมอย่างนางฟังออกถึงคำพูดของหลิวซานกุ้ยแต่แรกแล้ว “ท่านฮูหยิน นายท่านสามบอกว่าการเลี้ยงไก่ไม่ได้กำไร ก็คงแปลว่าไม่มีรายได้มากนัก หรือไม่ เราก็เลี้ยงหมูเถิด”
การเลี้ยงหมูนั้นไม่ลําบากเท่ากับการเลี้ยงไก่ ฤดูใบไม้ผลิอากาศยังเย็น ลูกไก่ตัวเล็กเกินไปและตายง่าย แต่ลูกหมูนั้นเลี้ยงง่ายกว่ามาก
“เลี้ยงหมู?” ดวงตาของหลิวฉีซื่อกลอกไปมา
“ท่านแม่ เราสามารถเลี้ยงหมูได้” หลิวเหรินกุ้ยเอ่ย คำพูดของชุ่ยหลิวนั้นราวกับช่วยสะกิดหน้าต่างในห้องที่มืดมิดออก ในสายตาของเขา ชุ่ยหลิวนั้นทั้งฉลาดและน่ารักเสมอ
หลิวเหรินกุ้ยใช้คำว่า ‘เรา’ ซึ่งหมายความว่าเขา้ามีส่วนร่วมด้วย
หลิวฉีซื่อฟังไม่ออก เดิมทีที่นางโวยวายเช่นนี้ก็เพื่อบุตรชายสองคนตรงหน้า ตอนนี้บุตรชายคนรองมีความสนใจ นางจึงหันไปมองบุตรชายคนเล็ก
“ท่านแม่ ที่โสโครกมีแต่แมลงแบบนั้น ท่านคงไม่อยากเรียกให้ลูกไปหรอกนะ?”
หลิววั่งกุ้ยนึกถึงสถานที่เช่นนั้นก็รู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว
เขากลัวว่ามารดาจะตอแยไม่เลิก จึงเอ่ยต่อ “ท่านแม่ หากข้าไปทำงานเช่นนั้น ใครจะช่วยท่านไขว่คว้ายศถาบรรดาศักดิ์เล่า”
ราวกับว่ายศถาบรรดาศักดิ์ไม่มีค่าอย่างไรอย่างนั้น
หลิวเต้าเซียแอบเหล่มอง การเข้าสู่ราชสำนักเปรียบดั่งทหารนับหมื่นนับพันก้าวข้ามสะพานอันโดดเดี่ยว มิได้ง่ายปานนั้น!
ใครจะรู้ว่าผู้ใดจะได้เป็คนสุดท้ายที่หัวเราะ
หลิวฉีซื่อที่ยังคงโวยวายเื่ไม่มีเงินใช้ ตอนนี้ก็เริ่มปรึกษาเื่เลี้ยงหมูกับบุตรชายอีกสองคนด้วยใบหน้าสงบ
ส่วนครอบครัวของหลิวซานกุ้ยนั้นถูกเมินไว้อีกทาง
ในไม่ช้า หลิวฉีซื่อก็นึกถึงเ้าสามที่ถูกลืมไป
“ซานกุ้ย เ้าดูสิ พี่รองเ้ายอมเอาเงินออกมาสร้างคอกหมู ตอนนี้ในชื่อน้องชายเ้ายังคงมีเพียงที่ดินที่แบ่งได้แปดไร่ สองปีมานี้ที่เขาเล่าเรียนก็ล้วนพึ่งพาที่นาเ่าั้ ตอนนี้ได้เป็ซิ่วไฉ ค่าใช้จ่ายก็พุ่งสูง ถึงอย่างไรครอบครัวเ้าก็ต้องซื้อลูกหมู หรือไม่ก็ช่วยน้องสี่เ้าออกเงิน แล้วก็ หากมีเสบียงธัญญาหารก็ลากมาหน่อย ในบ้านมีที่ดินแค่นี้ จะเพียงพอให้หมูกินได้อย่างไร”
ใบหน้าของหลิวซานกุ้ยเขียวคล้ำ มารดามีแต่พยายามคิดหาหนทางเอาเงินจากเขา
หากนางพยายามเอาไปเพื่อตนเองหรือท่านพ่อก็ไม่เป็ไร แต่ที่น่าโมโหคือ นางคิดหาหนทางเพื่อสนับสนุนพี่รองกับน้องสี่ หากว่าพี่ใหญ่กลับมา ก็คงต้องให้เขารับผิดชอบในส่วนของพี่ใหญ่ด้วยใช่หรือไม่?
“ท่านแม่ ้าเลี้ยงกี่ตัว?”
หลิวฉีซื่อชูนิ้วออกมาแล้วกล่าวว่า “สิบตัว...”
ก่อนที่นางจะพูดจบ ก็เห็นหลิวเหรินกุ้ยที่อยู่ด้านข้างขยิบตาใส่นาง
น้อยไปหรือ?
จะว่าไปก็ถูก บุตรชายสามของนางสามารถเลี้ยงได้ถึงหนึ่งพันตัว นางที่เป็มารดา ถึงอย่างไรก็ควรเลี้ยงหลักร้อยตัว
“ไม่ใช่สิ หนึ่งร้อยตัว”
ลูกหมูหนึ่งตัวหนักราวสิบชั่ง ราคาชั่งละสี่สิบอีแปะ หนึ่งร้อยตัวเท่ากับสี่สิบตำลึง
ทันทีที่นางพูดออกมา ไม่เพียงแต่หลิวซานกุ้ยที่สีหน้าไม่ดี กระทั่งหลิวต้าฟู่ที่เอาแต่สูบยาสูบอยู่ก็ถึงกับสำลักควัน
เขาเอื้อมมือออกมาแคะหูของตน แล้วเอ่ยถาม “ยายเฒ่า เมื่อครู่เ้าบอกว่าอะไรนะ?”
หลิวฉีซื่อที่เดิมทีก็ร้อนตัวอยู่แล้ว เมื่อถูกหลิวต้าฟู่ถามอีกจึงนึกถึงเื่ราวหลายปีก่อนหน้านั้นแล้วเอ่ยอย่างโมโห “ข้าบอกว่าหนึ่งร้อยตัว ทำไม ข้าไม่ได้บอกว่าจะเลี้ยงหนึ่งพันตัวสักหน่อย นี่ก็เพื่อเขาทั้งนั้น”
หลิวเหรินกุ้ยแอบถอนหายใจ วิสัยทัศน์ของท่านแม่ช่างสั้นยิ่งนัก เหตุใดไม่บอกไปว่าขอเลี้ยงหนึ่งพันตัว
เขาแอบตามสืบมาแล้ว ปีที่แล้วที่ครอบครัวหลิวซานกุ้ยสามารถรุ่งเรืองมั่งคั่งได้ ได้ยินมาว่าไปติดค้างเสบียงกับคนอื่นไว้ก่อน จึงหมุนเงินได้ก้อนใหญ่
หากเขาสามารถขอเส้นสายตรงนั้นได้ ไม่แน่ว่าอีกไม่นาน เขาเองก็สามารถมีชีวิตแบบเ้าของที่ดินผู้ร่ำรวยได้
เมื่อคิดว่าจะมีเงินจำนวนมากไว้ปูเตียงนอน หัวใจของเขาก็ร้อนผ่าว
หลิวเหรินกุ้ยซึ่งยังอยู่ในภวังค์ฝัน ทันใดนั้นก็มีเสียงแหลมกรีดร้องดึงสติเขากลับมา
“เ้าเฒ่าไม่ตายดี เ้าคนชั่ว เ้าหน้าขาวพันปี กินของแม่ใช้ของแม่ แล้วยังคิดทรยศกันอีกหรือ?” หลิวฉีซื่อเป็คนแข็งแกร่งมาแต่ไหนแต่ไร
นางไม่ได้ถูกหลิวต้าฟู่ทุบตีมานานแล้ว
ครั้งสุดท้ายที่ถูกทุบตีก็เป็ปีที่แล้ว...
หลิวต้าฟู่ถือปล้องยาสูบและไล่ทุบตีนาง พร้อมกับด่าไปด้วย “ข้าจะตีนางเฒ่าที่อยู่ดีไม่ว่าดีอย่างเ้า กล้าเอ่ยปากออกมาได้ ต่อไปหากเ้ายังกล้าคิดขอเงินกับซานกุ้ยอีก เราก็แยกบรรพบุรุษไปเลย”
แยกบรรพบุรุษ?
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมาทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ!
คนทั้งห้องเบิกตาโพลง กระทั่งหายใจยังต้องระมัดระวัง
ชายชราโกรธของจริง!
หลิวเต้าเซียงความรู้สึกช้าไปหน่อยแล้วได้สติ หากเป็ดั่งที่หลิวต้าฟู่กล่าวมาจริง แยกบรรพบุรุษ นั่นคือครอบครัวฝั่งหลิวซานกุ้ยก็จะกลายเป็อีกหนึ่งเชื้อสายของสกุลหลิว และหลิวซานกุ้ยก็กลายเป็บรรพบุรุษคนแรกของนาง…
พ่อจะเป็บรรพบุรุษ!
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าสมองของตนเองตามไม่ค่อยทัน
“ท่านพ่อ อย่าโกรธไปเลย อย่างน้อยท่านแม่ก็คลอดพี่ชายน้องชายในตระกูลหลิวหลายคน บ้านตระกูลหลิวเรามีพี่น้องเยอะ การแตกหน่อสืบสกุลก็เร็วกว่าตระกูลอื่น”
หลิวเหรินกุ้ยไม่้าแยกหลิวซานกุ้ยออกไปเพียงลำพัง เื่ที่มีหน้ามีตาเช่นนี้ เหตุใดไม่เกิดกับตัวเขา
เขาหันไปหาหลิวฉีซื่ออีกครั้งและพูดว่า “ท่านแม่ ท่านพูดให้น้อยหน่อยเถิด ท่านพ่อเองก็โมโหจริงแล้ว มีอะไรก็คุยกันดีๆ ไม่ได้หรือ?”
หลิวต้าฟู่มองไปที่หลิวฉีซื่อด้วยสายตาที่เ็า “เ้า้าเลี้ยงหมู ข้าไม่คัดค้าน หากว่าในบ้านไม่มีเงินก็ให้ร่างเป็ลายลักษณ์อักษรไว้ รอจนฤดูใบไม้ร่วงปีหน้าขายหมูแล้ว ก็นำเงินค่าลูกหมูคืนเ้าสาม”
หลิวฉีซื่อพึมพําอย่างไม่มีความสุข “ทุกคนก็เป็คนในครอบครัวเดียวกัน ไยต้องคำนวณชัดเจนอย่างนั้น”
“ฮึ พี่น้องแท้ๆ ก็ยิ่งต้องทำบัญชีให้ชัดเจน หากอยากมีสัมพันธ์พี่น้องที่ยืนยาวก็ยิ่งต้องทำเื่เหล่านี้ให้ชัดเจน” หลิวต้าฟู่เวลาที่ไม่โมโหนั้นดุจดั่งพระโพธิสัตว์กวนอิม แต่หากได้โมโห ความเด็ดเดี่ยวของเขานั้นแน่วแน่มีจุดยืน เื่ใดที่ตัดสินใจแล้วก็ไม่เคยมีใครสามารถโน้มน้าวเขาได้ แม้แต่หลิวฉีซื่อเองก็ตาม
เขามองไปที่ครอบครัวฝั่งสามที่ยืนอยู่อีกฝั่ง หลิวเหรินกุ้ยกับหลิววั่งกุ้ยที่ยืนอยู่อีกฝั่ง และมีหลิวซุนซื่อที่ยืนคนเดียว!
เขาไม่้าให้บุตรชายของเขาแบ่งแยกกัน
-----