เพราะว่าอากาศร้อน สวี่ตี้กับเจิ้งป๋อหยวนจึงไม่ได้นอนอยู่ในกระโจม แต่มาปูเตียงหนังหมาป่านอนข้างกองไฟกันคนละผืน
สวี่ตี้มองดาวเต็มท้องฟ้า กองไฟข้างกายยังมีกิ่งไม้ติดไฟอยู่ ขยับกิ่งไม้ไฟก็โหมขึ้นมาจนมีกลิ่นหอมลอยออกมา พี่ๆ องครักษ์สองคนหลังจากกินข้าวเสร็จก็ไปนอนหลับในกระโจมของตนเอง
สวี่ตี้มองเจิ้งป๋อหยวนที่มานอนเหมือนกับตนเอง ก่อนจะถาม “ป๋อหยวน เ้าได้วางแผนหรือไม่ว่าต่อไปจะทำอะไร?”
เจิ้งป๋อหยวนเอ่ย “วางแผนเอาไว้ขอรับ ข้าวางแผนเอาไว้ว่าจะเข้าทหาร ตอนเด็กๆ ข้าติดตามท่านปู่ ความหวังของท่านปู่ก็คือลูกหลานในสกุลผิงซีโหวสามารถกลับมาเป็แม่ทัพที่มั่นคงอีกครั้ง ั้แ่เด็กข้าจึงเรียนวิชาการต่อสู้กับเหล่าท่านอาจารย์ เพื่อที่ในอนาคตจะได้เข้าไปเป็ทหาร”
สวี่ตี้เอ่ย “ไม่ว่าจะอย่างไร ขอแค่มีเป้าหมายก็สามารถทำให้ตัวเองพยายามเพื่อเป้าหมายนี้ได้สำเร็จ”
เจิ้งป๋อหยวนถอนหายใจ “เ้าเองก็รู้ว่าในจวนของข้า ท่านพ่อก็รักแม่เลี้ยงของข้า ให้ความสำคัญกับลูกที่แม่เลี้ยงคลอดออกมามากกว่าข้า ข้ากับน้องสาวก็เป็ตัวขวางหูขวางตาเขา หากข้ายืนหยัดเองไม่ได้ ข้าก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้ น้องสาวของข้าคาดว่าจะมีชีวิตได้ไม่นาน เดิมทีข้ายังไม่เข้าใจ ต่อมาข้าถึงได้เข้าใจ ถ้าหากข้ายอมรับสิ่งที่พวกเขากำหนดให้ ไม่แน่ว่าจะยังเหลือทางรอดให้กับข้า ตอนนี้ข้าหนีออกมา คาดว่าในสายตาของพวกเขา ข้าก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว พี่สวี่ ข้าคิดมานานมากแล้ว ข้าอยากจะเปลี่ยนตัวตนแล้วเข้าไปเป็ทหารขอรับ”
สวี่ตี้คิดอยู่นานก่อนจะเอ่ย “เื่นี้ก็เป็ความคิดที่ดี แต่ว่าเ้าคิดดีหรือยังว่าจะเปลี่ยนสถานะเป็อะไร?”
เจิ้งป๋อหยวนส่ายหน้า “ข้ายังคิดไม่ออก รอข้าเจอท่านลุงแล้วปรึกษากับเขาสักหน่อย ตอนนี้ข้านอกจากเื่นี้แล้ว ยังมีเื่น้องสาวของข้าอีก แล้วก็ไม่รู้ว่าตอนนี้นางเป็อย่างไรบ้าง ท่านย่าก็อายุมากแล้ว ปกป้องน้องสาวของข้าได้ไม่กี่ปี ให้น้องสาวอยู่ที่จวนนั้นผู้เดียว ก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่”
สวี่ตี้กล่าว “เื่นี้เ้าจะต้องปรึกษากับท่านลุงของเ้าให้ดี หากไม่ได้จริงๆ เ้าก็หาครอบครัวสามีให้กับน้องของเ้า แม้จะต้องให้อีกฝ่ายเอาน้องสาวเ้าไปเลี้ยงก่อนหลายปีก่อนเข้าหอก็ได้ บางครั้งผลประโยชน์ควรทิ้งก็ต้องทิ้ง ไม่มีอะไรสำคัญกว่าชีวิตของตัวเองอีกแล้ว”
ได้ยินประโยคนี้ของสวี่ตี้ ดวงตาของเจิ้งป๋อหยวนก็สว่างขึ้น เขาครุ่นคิด “หลายปีมานี้จวนผิงซีโหวไม่ได้มีรายได้อะไร พวกร้านค้าไร่สวนในมือพวกนั้น ทุกปีก็ไม่ได้มีกำไรอะไรมากมาย แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับหน้าตา ตอนที่แม่เลี้ยงของข้าแต่งเข้ามาก็ไม่ได้มีสินเดิมอะไร โหวเย่จึงแบ่งทรัพย์สินในมือของตัวเองไปให้กับแม่เลี้ยงผู้นั้น ข้ารู้สึกว่าข้าสามารถถือโอกาสใช้เื่นี้มาจัดการได้”
ครู่หนึ่งสวี่ตี้ก็คิดเื่หนึ่งขึ้นมาได้ แล้วเอ่ยถาม “เมื่อหลายปีก่อนในจวนของพวกเ้ามีคนออกไปสู้รบมากมายขนาดนั้น มีผู้าุโที่ตายจากไปก่อนโดยที่ไม่มีลูกหลานหรือไม่?”
เจิ้งป๋อหยวนคิดอยู่นานมาก “น้องชายของท่านปู่ทิ้งลูกชายที่เพิ่งจะคลอดออกมาแล้วไปทำา เด็กคนนั้นยังไม่ทันได้บรรลุนิติภาวะก็ตายจากไปแล้ว”
สวี่ตี้กล่าว “เช่นนั้นก็เริ่มจับจากจุดนี้ คิดหาวิธีให้บิดาของเ้าย้ายเ้าไปสืบทอด ไปสืบทอดตระกูลของทางด้านน้องชายปู่ของเ้า”
เจิ้งป๋อหยวนฟังแล้วก็เอ่ย “เช่นนี้ก็มีความยากนิดหน่อย อย่างไรข้าก็เป็บุตรภรรยาเอกคนก่อน”
สวี่ตี้หัวเราะ “เ้าเป็ลูกภรรยาเอกคนก่อน แล้วก็เพราะสถานะนี้ถึงได้ทำให้แม่เลี้ยงของเ้าเกลียดเ้าเข้ากระดูก บนโลกใบนี้ไม่มีเื่ที่ทำแล้วไม่สำเร็จ อยู่ที่ว่าเ้าจะพยายามหรือไม่ จะทุ่มเทเพื่อผลประโยชน์ที่เท่าเทียมกันหรือไม่เท่านั้น”
เจิ้งป๋อหยวนพิจารณาอยู่ค่อนคืน ตอนเช้ามาก็ตาแดงพูดกับสวี่ตี้ “ตอนที่พวกเราผ่านเมืองหลวง ข้าอยากจะกลับไปสักรอบ ไปคุยกับท่านลุงขอรับ”
สวี่ตี้มองเจิ้งป๋อหยวน “เช่นนั้นถึงเมืองหลวงแล้วข้าจำเป็ต้องรอเ้าหรือไม่?”
เจิ้งป๋อหยวนตอบ “พี่ใหญ่สวี่ ขอรบกวนท่านรอข้าสักหน่อย หลังจากข้าเอาแผนของข้าไปคุยกับท่านลุงก็จะไปกับท่าน ข้าอยากจะไปดูแคว้นที่บรรดาท่านปู่ของข้าใช้ชีวิตปกป้องเอาไว้เป็อย่างไร”
สวี่ตี้กล่าว “เช่นนั้นก็ได้ แต่ว่าข้าไม่อยากจะเข้าเมือง ถ้าหากเ้าอยากจะปรึกษากับลุงของเ้า ข้าไม่แนะนำให้เข้าไปในเมือง ตอนนี้พวกเรายังไม่รู้ว่าอยู่ในสถานการณ์อะไร แล้วก็ไม่รู้ว่าพวกเขามีท่าทีอย่างไรกับเ้าที่หายตัวไปหลายวัน ทางที่ดีที่สุดให้ไปหาที่พักนอกเมือง จากนั้นก็หาเหตุผลเอาลุงของเ้าออกมาพบให้ได้”
เจิ้งป๋อหยวนฟังแล้วก็พยักหน้า “ท่านลุงเคยพูดกับข้า ถ้าหากมีเื่ด่วนอะไร ก็ให้ข้าไปที่ร้านแป้งทอดที่อยู่ทางตะวันออกตรอกที่สอง ทิ้งจดหมายเอาไว้ให้เขาแล้วจะมีคนมาบอกกับเขาเอง”
สวี่ตี้พยักหน้า เป็การแสดงออกว่าตัวเองรับรู้แล้ว
หลังจากหยุดพักที่พักด้านนอกเมืองหลวง สวี่ตี้ก็ให้องครักษ์คนหนึ่งส่งจดหมายไปที่ตรอกที่สองตรงทิศตะวันออก องครักษ์คนนั้นรอจนกระทั่งคนของร้านแป้งทอดไปหาลุงของเจิ้งป๋อหยวน แล้วตามหลังลุงของเจิ้งป๋อหยวนกลับมาที่พัก
แน่นอนว่าลุงของเจิ้งป๋อหยวนแอบมา พอเห็นเจิ้งป๋อหยวน ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็แดงก่ำ ก่อนจะเล่าถึงสถานการณ์ของจวนผิงซีโหวตอนนี้แบบคร่าวๆ
หลังจากสวนด้านนอกเมืองถูกเผา เจิ้งป๋อหยวนก็หายตัวไป เสี่ยวเฉินซื่อให้ผิงซีโหวเย่ประกาศว่าเจิ้งป๋อหยวนตายไปแล้ว เสี่ยวเฉินซื่อรู้สึกว่า ขอแค่ประกาศว่าเจิ้งป๋อหยวนตายไปแล้ว เขาก็เป็คนตาย ต่อไปถึงแม้จะกลับมาก็ไม่มีสถานะอะไร จวนผิงซีโหวก็เป็ของลูกตัวเองแล้ว ผลสรุปคิดไม่ถึงว่าคนแรกที่ปฏิเสธกลับเป็ผิงซีโหวเย่
ทางด้านสกุลเฉินลุงใหญ่ก็บีบบังคับบิดาของตัวเองไม่ให้ยอมรับว่าเจิ้งป๋อหยวนตายไปแล้ว เพราะเหตุนี้ ผิงซีโหวเย่จึงพูดกับคนภายนอกว่า เจิ้งป๋อหยวนทำความผิด หลังจากถูกตีจนาเ็ไปทั้งตัวก็ไปรักษาตัวอยู่ที่สวนนอกเมืองอยู่ตลอด ส่วนเื่หาคน ผิงซีโหวเย่กลับไม่ได้ลงมือทำอะไร แต่ลุงใหญ่สกุลเฉินรู้ น้องสาวบุตรอนุของตัวเองได้จ้างคนมาตามหาเจิ้งป๋อหยวนไปทั่ว หลังจากเจอแล้วก็ให้ฆ่าทิ้งซะ ตอนนี้เสี่ยวเฉินซื่อได้ฉีกหน้ากากแล้ว ได้ฉีกกระชากสิ่งที่ปกปิดเื่น่าอายกับทางด้านสกุลเฉินออกไปหมดสิ้นแล้ว
ผิงซีโหวเย่เองก็รู้ถึงการกระทำของเสี่ยวเฉินซื่อ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงไม่ได้ออกมาห้าม เขารู้ว่าคนของสกุลเฉินรู้เบาะแสของเจิ้งป๋อหยวน ในเมื่อตอนนี้คนสกุลเฉินไม่ร้อนใจ ตัวเขาเองก็ไม่จำเป็ที่จะร้อนใจ
ดวงตาของลุงใหญ่แดง “ป๋อหยวน เ้าสามารถออกจากจวนหลังนั้นได้ ข้าก็วางใจแล้ว”
เจิ้งป๋อหยวนเช็ดน้ำตา “ท่านลุง ข้ามีวิธี ทำสำเร็จแล้วไม่แน่ว่าจะสามารถออกจากจวนหลังนั้นได้จริงๆ ขอรับ”
ลุงใหญ่กล่าว “เ้าพูดออกมาก่อน ข้าจะดูว่าลงมือทำแล้วจะยากแค่ไหน”
เจิ้งป๋อหยวนบอก “ปู่รองของข้ามีลูกชายคนหนึ่งก่อนที่จะไปทำา เขาอยู่ได้ไม่นานก็ตายจากไป ท่านลุง ข้าอยากจะไปสืบทอดรุ่นของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็ข้าหรือน้องสาวก็จะมีทางรอดอีกเส้นทางหนึ่งขอรับ”
ลุงใหญ่ฟังแล้วก็เงียบไปนาน “นี่ก็เป็วิธีหนึ่ง หากทำเช่นนี้ สินเดิมของแม่เ้าก็ไม่สามารถเอาไปได้แล้ว”
เจิ้งป๋อหยวนกล่าว “นั่นล้วนเป็ของนอกกาย ชีวิตของข้ากับน้องสาวสำคัญกว่า อีกอย่างหลายปีมานี้ที่ข้าติดตามท่านลุง ข้าก็สามารถหาของมาได้ไม่น้อย ท่านลุง หากท่านว่างเมื่อไหร่ก็จัดการสินเดิมของท่านแม่ โดยเฉพาะร้านค้ากับสวน ทำบัญชีเอาไว้ แล้วไปต่อรองกับแม่เลี้ยงของข้าดีๆ ถึงแม้นางจะเป็แม่เลี้ยงที่สืบทอดจวนโหว แต่ในมือของตัวเองไม่มีสมบัติอะไรเลย ต่อไปลูกของนางแต่งงานก็จะได้รับผลกระทบ ถ้าหากในมือของนางมีสินเดิมของแม่ข้าล่ะ?”
ลุงใหญ่ฟังแล้วก็พยักหน้า “เช่นนั้นก็ได้ เ้าไม่ต้องออกหน้า ข้าจะไปคุยกับแม่เลี้ยงของเ้า ข้าคิดว่าเก้าในสิบส่วนจะคุยสำเร็จ น้องสาวลูกอนุของข้าคนนั้น ข้าเห็นมาั้แ่เด็ก ความจริงแล้วเป็คนที่โลภมาก โอกาสเช่นนี้นางไม่มีทางปล่อยไป”
เจิ้งป๋อหยวนกล่าว “แล้วก็น้องสาวของข้า ถึงแม้คนดูแลข้างกายของนางจะเป็ท่านลุงช่วยหามาให้ แต่ว่าจะต้องเอาเื่นี้ไปคุยกับนางให้ชัดเจน ท่านคุยกับนางจนเข้าใจแล้ว สินเดิมของนางข้าจะต้องหามาให้นางจนเพียงพอ ไม่ให้นางจดจ้องที่สินเดิมแค่นั้นของท่านแม่ พวกเราสองคนพี่น้องในตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ ทางที่ดีที่สุดคือให้ข้ากับน้องสาวไปสืบทอดทางด้านปู่รองของข้าขอรับ”
ลุงใหญ่พยักหน้า “เื่นี้เ้าวางใจได้ เื่บนโลกนี้ หากเ้าตั้งใจคิดออกมา ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะคิดหาวิธีแก้ไม่ออกแล้ว แม่เลี้ยงของเ้าคนนี้ ั้แ่นางแต่งงานไปที่จวนผิงซีโหวข้าก็เริ่มคิดเกี่ยวกับนาง ไม่ต้องพูดถึงเื่ความเข้าใจในสถานการณ์ต่างๆ นิสัยนางเป็คนเช่นไรข้าก็เข้าใจนางพอสมควร”
หลังจากเจิ้งป๋อหยวนปรึกษากับท่านลุงของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ก็ยังคงแต่งตัวเป็บ่าวรับใช้ของสวี่ตี้ ติดตามสวี่ตี้เดินทางไปทางใต้ต่อ ตัวสวี่ตี้ไม่แม้แต่จะเข้าไปในเมืองหลวง เขาคิดว่าตอนที่ผ่านเมืองหลวงอีกครั้งค่อยไปเยี่ยมท่านทวดของตัวเอง ครั้งนี้ถึงแม้จะเดินทางช้า แต่ยังต้องรีบเดินทางไปเจียงหนาน
หลังจากสวี่ตี้กับเจิ้งป๋อหยวนไปแล้ว สวี่จือก็รู้สึกว่าในใจวูบโหวง ตอนทำอะไรก็ไม่รู้ว่าเหม่อลอยไปที่ใด แม่นมลู่ไม่ค่อยจะใส่ใจเท่าไหร่ เพราะสวี่จือกับเจิ้งป๋อหยวนไม่ได้ใกล้ชิดกันเป็ส่วนตัว อีกอย่างสวี่เหรากับจางจ้าวฉือก็ไม่รู้ว่าลูกสาวตัวเองที่อายุเพิ่งจะแปดเก้าขวบจะมีความคิดอะไรกับบุรุษคนหนึ่ง แต่สวี่ไป่ไม่คิดเช่นนั้น
สวี่ไป่เริ่มรู้ั้แ่ปฏิกิริยาของสวี่จือตอนที่เจอกับเจิ้งป๋อหยวนครั้งแรก เขาคิดว่าปฏิกิริยานั้นของสวี่จือคือรักแรกพบ แต่เพราะว่าพี่สาวเป็คนที่นิ่งสงบอ่อนโยน นิสัยไม่เปิดเผยมากนัก ถึงได้สะกดความรู้สึกของตัวเองได้ สวี่ไป่รู้สึกมาตลอดว่า คนสมัยนี้อย่าเห็นว่าอายุมากหรือไม่ แต่ทางด้านความรู้สึก ความจริงแล้วก็ถือว่าไวมาก ไม่เช่นนั้นจะแต่งงานตอนอายุไม่กี่สิบปี แล้วมีลูกตอนอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีได้อย่างไร
หลังจากเจิ้งป๋อหยวนไปแล้ว สวี่ไป่ไม่มีอะไรทำก็เริ่มที่จะสำรวจพี่สาวของตัวเอง จะมองอย่างไรพี่สาวของเขาก็ทุ่มเทให้ไปทั้งใจแล้ว สวี่ไป่รู้สึกว่าเื่มันชักจะเลยเถิดไปกันใหญ่แล้ว
สวี่ไป่ไม่หวังให้พี่สาวตัวเองมีรักครั้งแรกไวขนาดนี้ อีกทั้งสวี่ไป่รู้สึกว่าครอบครัวของเจิ้งป๋อหยวนนั้นวุ่นวายเกินไป วันนั้นที่เจิ้งป๋อหยวนเล่าเื่พวกนั้นให้ฟัง สวี่ไป่จำเอาไว้ขึ้นใจ หลังจากกลับมาก็มักจะฟังแม่นมลู่กับสวี่จือพูดกันเื่เก่าๆ ของจวนผิงซีโหวบ่อยๆ แน่นอนว่าแม่นมลู่กับสวี่จือไม่คิดว่าสวี่ไป่จะฟังเื่พวกนี้เข้าใจ ตอนที่พูดกันจึงไม่ได้แอบสวี่ไป่พูด เขาได้ยินเื่พวกนี้ก็นำไปรวมกันในสมองของตัวเอง ก็ได้รวบรวมความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงภายในจวนผิงซีโหวมาได้พอสมควร
หลังได้ยินเื่ราวความรักวัยหนุ่มสาวมากมายขนาดนั้น ทำให้สวี่ไป่เข้าใจ สตรีคนหนึ่ง หลังจากแต่งงานไปแล้วที่ให้ความสำคัญที่สุดก็คือความสัมพันธ์กับแม่สามี มีแม่สามีที่เข้าหาได้ง่าย ถึงความสัมพันธ์กับสามีจะแย่ ก็ยังใช้ชีวิตในจวนต่อไปได้ไม่เลว ถ้าหากเจอกับแม่สามีเื่มาก ไอ๊หยา นั่นก็ถือว่าตกที่นั่งลำบากจริงๆ แล้ว มารดาของเจิ้งป๋อหยวนจากไปแล้ว มีแม่เลี้ยงคนใหม่เข้ามา ทั้งยังเป็คนที่ชอบหาเื่ด้วย หากมีแม่สามีเช่นนี้จริงๆ แค่คิดสวี่ไป่ก็ตัวสั่นแล้ว พี่สาวของตนหากจะเข้าไปในจวนผิงซีโหวจริงๆ ก็เป็กระต่ายขาวเข้าถ้ำหมาป่าไม่ใช่หรืออย่างไร?
ยิ่งสวี่ไปคิดก็ยิ่งกลัว การต่อสู้ในบ้านในวังอะไรพวกนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับครอบครัวตัวเองเลยไม่ใช่หรืออย่างไร เื่ร้ายกาจเช่นนั้นจะให้คนในครอบครัวตนเองที่เต็มไปด้วยแสงอาทิตย์เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยได้หรือ?
สวี่ไป่นั่งอยู่ที่บันไดหน้าประตู พลางเอามืออ้วนๆ เท้าคาง คิดไปก็กังวลไป คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากัน
สวี่จือเพิ่งจะกลับเข้ามาจากด้านนอกพอดี พอเข้าเรือนมาก็เห็นสวี่ไป่นั่งอยู่บนบันได จึงอดที่จะเข้าไปหยิกแก้วสวี่ไป่ไม่ได้ นางยิ้มแล้วกล่าว “เ้าคิดกังวลเื่อะไรอีกแล้วหรือ? หน้าจะขมวดเข้าหากันเป็ก้อนซาลาเปาแล้ว”
สวี่ไป่มองสวี่จือก่อนจะถอนหายใจ “ข้ากำลังกังวลเื่ท่างปี้ขอยับ”
สวี่จือถามเขาด้วยความแปลกใจ “พี่จะมีเื่อะไรให้เ้ากังวลหรือ มา บนพื้นมันเย็น ขึ้นมาก่อน พี่จะทำขนมถั่วเขียวให้เ้า พวกเราเข้าไปกินกันในห้องเถิด”
รอทั้งสองคนเข้ามาในห้อง สวี่จือก็ล้างมือให้สวี่ไป่ จากนั้นก็ยกจานขนมถั่วเขียวมาวางบนโต๊ะอุ่น มองน้องชายที่นั่งลงตรงข้ามตัวเอง ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ย “มา พูดกับพี่ ว่าเ้ากังวลอะไรเื่พี่หรือ?”
สวี่ไป่รู้สึกว่าขนมถั่วเขียวที่ตนชอบกินมากสุดก็มีรสชาติเฝื่อน หยิบขึ้นมาดูในมือก่อนจะวางลง “ท่างปี้ ข้ารู้ว่าท่างจ้อบปี้จายเจิ้ง”
สวี่ไป่พูดจบก็เห็นสวี่จือหน้าแดง ก่อนจะพูดออกมาอย่างมีชนักติดหลัง “เ้าพูดไร้สาระอันใดน่ะ”
สวี่ไป่กล่าว “ท่างปี้ ท่างวางใจเถิด ข้าไม่บอกใครทั้งนั้น จริงๆ นะขอยับ ตอนที่ท่างเห็นปี้จายเจิ้งครั้งแรกข้าก็รู้แย้วว่าท่างจ้อบเขา ปกติแย้วก็เลือกของที่ปี้จายเจิ้งจ้อบแล้วทำไปให้ ความจริงจ้อบก็จ้อบแย้ว ขอแค่ปี้จายฉกุลเจิ้งเป็งคงที่เที่ยงตรง จิกจายดี ดีกับท่าง ข้าก็ไม่มีความเห็นอะไย ข้าคิกว่าคงในครอบครัวของปี้จายเจิ้งจ้อบหาเื่ แต่ละคงมีแผงกางมากมาย อยู่กับพวกเขาคงเหนื่อยตายเยย”
สวี่จือลุกขึ้น ยกจานขนมถั่วเขียวขึ้นมาแล้วพูดออกมาด้วยความโกรธ “หากเ้ายังพูดจาเลอะเทอะอีก ต่อไปขนมหวานที่ข้าทำเ้าก็ไม่ต้องกินแล้ว”
สวี่ไป่รีบจับมือสวี่จือ ก่อนจะพูดประจบ “ท่างปี้ อย่าทำเช่งนี้ขอยับ ในเมื่อมีปังหา พวกเราก็ต้องแก้ไขปังหาฉิขอยับ”
สวี่จือถูกสวี่ไป่ลากให้มานั่งลง “น้องชาย เ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้ เ้าพูดเช่นนี้ไม่เพียงจะทำลายชื่อเสียงของข้า ยังทำลายชื่อเสียงของพี่เจิ้งด้วย คนเขาเจอเื่ทุกข์ยาก แล้วมาพักกับบ้านเราชั่วคราว พวกเราก็ต้องดูแลเขาให้ดี เหตุใดเ้าถึงได้พูดถึงเขาเช่นนั้น?”
สวี่ไป่กล่าว “เอาล่ะๆ ข้าผิดไปแย้ว ข้าผิดไปแย้ว ปี้ฉาวคงดี ท่างอย่าโกรธไปเลย ต่อไปข้าจะไม่พูกอีกแล้วตกลงหยือไม่? ท่างปี้ ข้าเห็นท่างทำขนมถั่วเขียวอร่อยกว่าครั้งที่แล้วมากเยย ข้าจ้อบแบบนี้ ต่อไปท่างปี้ทำให้ข้าอีกได้หยือไม่?”
พูดกันไปแล้วในเด็กทั้งสามคนในครอบครัว คนที่เอาใจคนเก่งที่สุดก็คือสวี่ไป่ ขอแค่เขา้าก็สามารถทำหน้าหนาอาศัยอายุยังน้อยของตัวเองเอาใจคนจนความโกรธหายไป สวี่จือเป็เด็กใสซื่อจะไปเป็คู่มือของเขาได้อย่างไร? พูดสองสามคำ สวี่จือก็ลืมเื่คำพูดจี้ใจที่สวี่ไป่พูดกับตัวเองเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้นแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้