อยู่ๆ สาวน้อยผู้นั้นก็พูดว่า “พี่ชาย” อีกทั้งดูจากลักษณะแล้วเหมือนจะคุ้นเคยกับตนอยู่ไม่น้อย หยางหนิงจึงเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย “เ้ารู้จักข้าหรือ?”
“อืม...!” สาวน้อยพยักหน้าลงด้วยความตื่นเต้น “ข้ารู้ ข้ารู้ พี่เสี่ยวเตี๋ยเคยเอ่ยถึงท่านให้ข้าฟัง นางบอก...นางบอกว่าท่านเป็ญาติเพียงคนเดียวของนาง พี่...พี่ชาย ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”
หยางหนิงยกนิ้วหนึ่งขึ้นทาบริมฝีปากของตนเป็สัญญาณให้ทุกคนไม่ต้องส่งเสียงดังจนเกินไป พวกหญิงสาวทั้งหลายต่างก็พยักหน้าลงอย่างเชื่อฟัง หยางหนิงจึงทำการขยับเข้าไปใกล้อีกเล็กน้อยพร้อมเอ่ยถามต่อ “เหตุใดพวกเ้าถึงถูกขังอยู่ในที่แห่งนี้?”
พวกหญิงสาวหันมามองกันและกันอยู่แวบหนึ่ง ก่อนที่หญิงสาวผู้ที่มีอายุเยอะพอควรผู้นั้นจะเป็คนเอ่ยตอบ “ข้า...ข้ามีนามว่าซิ่วเอ๋อร์ พวกเรา...พวกเราถูกหลอกให้มายังที่แห่งนี้”
“ถูกหลอก?” หยางหนิงเกิดอาการตกตะลึงไปชั่วขณะ
“ข้าและพ่อแม่ของข้าอพยพมาที่เมืองแห่งนี้เมื่อหลายเดือนก่อน วันหนึ่งก็มีคนมาหาพวกเราและบอกกับพ่อแม่ข้าว่าจะมารับข้าให้ไปเป็สาวใช้ มีอาหารและที่พักให้ อีกทั้งทุกเดือนยังสามารถรับเงินได้ถึงสองตำลึงเงิน” ซิ่วเอ๋อร์เอ่ยอธิบายเสียงเบา “พวกเราล้วนไม่อาจประทังชีวิตของตนต่อไปได้อีกแล้วจึงไม่ได้ทำการปฏิเสธ คนผู้นั้นพาข้าไปด้านในจวนที่พักอีกหลังหนึ่งก่อน ตอนที่ไปถึงนั้น ด้านในก็มีพี่น้องที่เป็หญิงสาวอายุใกล้เคียงกับข้าอยู่อีกหลายคน พวกเรารออยู่ในนั้นเป็เวลาสองถึงสามวัน ก่อนที่ในคืนวันหนึ่งพวกเราจะถูกเรียกให้ขึ้นรถม้าคันหนึ่ง จากนั้น...จากนั้นพวกเราก็มาถึงที่แห่งนี้แล้ว ั้แ่นั้นเป็ต้นมาก็ไม่เคยได้ออกไปข้างนอกอีก พ่อแม่ของข้าเองก็ไม่รู้ว่าข้าอยู่ในที่แห่งนี้”
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้” หยางหนิงขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นก่อนจะเอ่ยถามต่อ “เ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดพวกเขาถึงต้องพาพวกเ้ามายังสถานที่แห่งนี้?”
หญิงสาวทั้งหลายต่างพากันส่ายศีรษะ ก่อนที่ซิ่วเอ๋อร์จะเอ่ยตอบ “หลังจากที่พวกเรามายังสถานที่แห่งนี้แล้ว คนผู้นั้นก็เริ่มทำการสอนขับร้องบทเพลงให้กับพวกเรา แต่ไม่ได้ให้พวกเราทำอะไรอื่น และก็ไม่อนุญาติให้พวกเราถามให้มากความ หากทำการฝึกซ้อมได้ดี พวกเขาก็จะดูแลพวกเราดีขึ้นเล็กน้อย หากฝึกซ้อมได้ไม่ดี ก็จะไม่ให้กินข้าว อีกทั้งยังโดนแส้ฟาด...!” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ขอบตาของนางก็เริ่มเป็สีแดงแล้ว ก่อนที่น้ำเสียงจะยิ่งแ่เบาลง “ข้าได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้มีคนไม่สามารถขับร้องได้ไม่ดี ถึงขั้นถูก...ถูกฟาดจนตาย”
“เช่นนั้นก็หมายความว่าเสี่ยวเตี๋ยเองก็ฝึกขับร้องบทเพลงและร่ายรำกับพวกเ้า?” หยางหนิงขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมกับเอ่ยถามเสียงต่ำ
ซิ่วเอ๋อร์พยักหน้าลงพร้อมเอ่ยต่อ “เสี่ยวเตี๋ยมาถึงก่อนพวกเราเล็กน้อย ตอนที่พวกเรามาถึงกลุ่มของพวกนางก็ฝึกซ้อมได้เป็อย่างดีแล้ว” ก่อนที่นางจะเงียบไปชั่วณะ และกดเสียงให้ต่ำลงมากขึ้นและเอ่ยต่อ “ข้าได้ยินมาว่าผู้ที่ซ้อมร่ายรำได้ดีที่สุด ตกดึกยังสามารถไปที่ห้องครัวเพื่อทำงานได้อีกด้วย”
“ห้องครัว?”
“อืม ฮูหยินบางครั้งตกดึกอยากจะกินอะไรรองท้อง เพราะฉะนั้นบางครั้งห้องครัวจะเหลือสองคนเอาไว้เตรียมปรนนิบัติรับใช้” ซิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น “เสี่ยวเตี๋ยร่ายรำได้ดีมาก เพราะฉะนั้นบางครั้งก็สามารถไปอยู่ที่ห้องครัวได้”
ตอนนี้หยางหนิงถึงจะเข้าใจบางอย่างได้ พลางลอบคิดในใจว่าการที่เสี่ยวเตี๋ยสามารถออกจากจวนแห่งนี้ได้ มีความเป็ไปได้อย่างสูงว่าจะถือโอกาสหลบหนีออกไปตอนที่ทำงานในห้องครัว แต่ทำเช่นนั้นก็ถือว่าเสี่ยงอันตรายเป็อย่างมาก
“เช่นนั้นคืนวันนี้เสี่ยวเตี๋ยเองก็อยู่ที่ห้องครัว?”
ซิ่วเอ๋อร์ส่ายศีรษะพร้อมเอ่ยต่อ “เมื่อก่อนต่อให้ตกดึกพวกนางจะอยู่ที่ห้องครัว แต่เวลากลางวันพวกเราก็ยังคงพบเห็นพวกนางอยู่ แต่ว่าครั้งนี้ผ่านมาหลายวันแล้วที่ไม่ได้พบพวกนาง บางที...บางทีพวกนางอาจจะจากไปแล้ว”
“จากไปแล้ว?” หยางหนิงขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น “เ้าหมายความว่าพวกนางไม่ได้อยู่ในจวนนี้แล้ว? จริงสิ พวกนางที่เ้าหมายถึงคือผู้ใดอีก?”
ซิ่วเอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเบา “เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินพวกนางบอกว่า ภายในจวนแห่งนี้มีคนไปๆ มาๆ อยู่จำนวนมาก มาใหม่กลุ่มหนึ่งก็จะส่งออกไปกลุ่มหนึ่ง หลังจากที่ฝึกขับร้องกับการร่ายรำได้เป็อย่างดีแล้วก็จะถูกส่งออกไปจากที่แห่งนี้ อีกทั้งยังไม่มีใครสามารถหาพวกนางได้พบอีก เสี่ยวเตี๋ย...เสี่ยวเตี๋ยและพวกนางมาที่นี่เป็เวลานานแล้ว การขับร้องและร่ายรำก็ได้ฝึกซ้อมมาเป็เวลานานแล้ว และนี่ก็ไม่ได้เห็นเงาของพวกนางมาเป็เวลาหลายวัน เพราะฉะนั้น...เพราะฉะนั้นข้าเลยคิดว่าพวกนางได้ถูกส่งตัวออกไปแล้ว”
เมื่อหยางหนิงได้ยินประโยคดังกล่าว ใจของเขาก็รู้สึกหนักอึ้ง หูตาพร่าเลือนไปหมด
เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบาต่อ “ที่แห่งนี้ยังมีอีกกี่คน?”
ซิ่วเอ๋อร์รีบเอ่ยตอบ “เดิมมีอยู่ประมาณยี่สิบกว่าคน วันนี้...!” นางเหลือบมองไปทางหญิงสาวหลายคนที่อยู่ด้านข้างกำแพง “วันนี้มาอีกสี่คน น่าจะมีถึงสามสิบกว่าคนแล้ว”
หยางหนิงพยักหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะลอบคิดอยู่ในใจว่าจำนวนคนนั้นตรงกับจำนวนที่ฮูหยินฮวาเอ่ยขึ้นก่อนหน้านี้ พลางกดเสียงลงต่ำและเอ่ยต่อ “หากพวกเ้าออกไปจากที่แห่งนี้ จะสามารถหาพ่อแม่ของตนพบหรือไม่?”
“ออกจากที่แห่งนี้?” แววตาของซิ่วเอ๋อร์มีความปติยินดีปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัด “เ้า...เ้าหมายความว่าพวกเราสามารถออกไปจากที่แห่งนี้ได้?” หญิงสาวคนอื่นๆ เองก็มีสีหน้าดีใจปรากฎขึ้นเช่นกัน เวลานี้พวกนางไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวต่อหยางหนิงอีก ซ้ำยังคิดว่าเขาเป็เหมือนผู้พิทักษ์ที่พระเ้าส่งลงมา ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะขยับตัวมาโอบล้อมเขาเอาไว้
หยางหนิงเอ่ยออกมาเบาๆ “หากคิดจะออกจากที่แห่งนี้ ก่อนอื่นต้องรู้ให้แน่ชัดว่าจวนแห่งนี้มีคนเฝ้ายามอยู่มากน้อยเพียงใด พวกเ้าพอจะทราบหรือไม่?”
หญิงสาวทั้งหลายหันมามองหน้ากัน ก่อนที่ซิ่วเอ๋อร์จะเอ่ยตอบ “ข้าเคยเห็นคนหน้าตาไม่เหมือนกันประมาณสี่ห้าคน ทุกคนล้วนแต่ดูดุร้ายเป็อย่างมาก ทว่าข้ารู้มาว่าประตูหลักของจวนแห่งนี้ทุกวันคืนจะมีคนประมาณสองคนทำการเฝ้าเวรยาม พวกเขา...พวกเขาล้วนแต่มีดาบอยู่ในมือ”
หยางหนิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นพวงกุญแจในมือของตนไปให้กับซิ่วเอ๋อร์และเอ่ยออกมาเบาๆ “นี่เป็กุญแจของพวกห้องพักเหล่านี้ เ้าไปบอกให้ทุกคนทำการเตรียมตัวกันเอาไว้ก่อน ห้ามส่งเสียงดังออกมาเป็อันขาด ก่อนที่ข้าจะกลับมา ทุกคนอย่าทำอะไรหุนหันโดยพลการ รอจนข้ากลับมาแล้วค่อยพาพวกเ้าออกไป”
“ถ้าอย่างนั้น...ถ้าอย่างนั้นเ้าจะพาพวกเราออกจากจวนแห่งนี้ได้อย่างไร?” ซิ่วเอ๋อร์เอ่ยออกมาอย่างเป็กังวล “ประตูใหญ่ทางนั้นมีคนเฝ้าอยู่ อีกทั้งในมือของพวกเขายังมีดาบ พวกเราออกไปไม่ได้”
หยางหนิงลอบคิดอยู่ในใจว่าที่แท้พวกนางก็ไม่รู้ถึงช่องรูที่อยู่ล่างกำแพงทางสวนดอกไม้ เขาเองก็ไม่ได้เอ่ยออกมาในทันที รอจนหญิงสาวผู้นั้นรับกุญแจไปแล้ว เขาถึงทำการรีบรุดออกไปจากประตู เขารีบเดินไปบนโต๊ะเล็กและหยิบเอาดาบยาวมาไว้ในมือก่อน จากนั้นก็หยิบเอาถุงหนังที่บรรจุสุราถุงหนึ่งบนโต๊ะมาด้วย จากนั้นเขาก็วิ่งไปทางกำแพงที่มีเหล่าซิงนอนสลบอยู่ และจึงสาดน้ำสุราลงบนใบหน้าของเขา
เหล่าสิงเมื่อถูกสุราสาดใส่ก็ฟื้นขึ้นมาในทันที เขารู้สึกว่าท้ายทอยของตนปวดหนึบยิ่งนัก ก่อนจะเบิกตาโตและพบว่าเบื้องหน้ามีบุรุษโพกหน้าอยู่ผู้หนึ่ง ชั่ววินาทีที่เขากำลังจะร้องะโออกมานั้นกลับรู้สึกได้ว่าลำคอของตนมีบางอย่างเย็นๆ ทาบเอาไว้อยู่ พร้อมกับได้ยินน้ำเสียงเยือกเย็นที่เอ่ยตามมา “ถามคำหนึ่งก็ตอบคำหนึ่ง มิเช่นนั้นแล้วข้าจะตัดคอของเ้าทิ้งเสีย”
เมื่อเอ่ยจบ คมของดาบยาวก็ยังถูลงบนลำคอของเขาไปเล็กน้อยอีกด้วย เหล่าสิงสั่นสะท้านไปทั่วร่างก่อนจะร้องตอบ “อืมๆ” เบาๆ ออกมา
เพื่อให้ไม่เกิดเหตุผิดพลาด หยางหนิงจึงได้ดึงผ้าชิ้นหนึ่งมาปิดครึ่งหน้าของตนไว้อยู่ก่อนแล้วขณะวางดาบทาบอยู่บนลำคอของเหล่าสิง พร้อมเอ่ยถามขึ้น “เหตุใดจึงต้องขังหญิงสาวเหล่านี้เอาไว้ด้วย?”
และในขณะที่เหล่าสิงกำลังจะอ้าปากเอ่ยตอบนั้น หยางหนิงก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ขอเตือนอะไรเ้าอย่างนะ หากเอ่ยผิดออกมาแม้แต่คำเดียว ข้าจะตัดคอของเ้าทิ้งในทันที”
เหล่าสิงจึงพูดขึ้นว่า “ทั้งหมดนี้...ทั้งหมดนี้ล้วนไม่ใช่ฝีมือของข้า เป็...เป็หัวหน้าเซียว...เป็หัวหน้าเซียวที่เป็คนทำ ข้า...ข้าเองก็ทำเพียงเพื่อจะมีเงินกินอาหาร ข้า...ข้าเป็มือปราบภายใต้บังคับบัญชาของหัวหน้าเซียว...!”
หยางหนิงนิ่งอึ้งไปก่อนจะเอ่ยถามเสียงเย็น “พวกคนชุดดำในจวนที่เหลือก็ล้วนแต่เป็มือปราบ?”
เหล่าสิงเอ่ยตอบ “พวกเราล้วนแต่เป็มือปราบของหยาเหมิน ปฏิบัติตาม...ปฏิบัติตามคำสั่งของหัวหน้าเซียว ภายในจวนรวมถึงข้าด้วย ทั้งหมดมีมือปราบอยู่ในที่แห่งนี้ถึงหกคน”
หยางหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างตกตะลึง
เดิมเขาคิดว่าคนชุดดำเหล่านี้เป็เพียงแค่ลูกน้อยที่ถูกจ้างมาก และคิดว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับหยาเหมินคงมีเพียงแค่เซียวอี้ชุ่ยและลูกน้องคนสนิทของเขามือปราบเฝิงเพียงสองคน แต่ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า พวกลูกน้องในจวนแห่งนี้มีฐานะที่แท้จริงเป็ถึงมือปราบของหยาเหมิน
มือปราบนั้นมีหน้าที่ประพฤติตัวเป็เยี่ยงอย่าง รักษาความสงบให้กับประชาชน ใครจะรู้ได้ว่าคนเหล่านี้กลับเป็ผู้ที่อยู่เื้ัในการทำเื่ชั่วช้าเช่นนี้
“หญิงสาวเหล่านี้ล้วนแต่เป็คนที่ถูกพวกเ้าหลอกมา?”
เมื่อถูกดาบที่หนาวเย็นทาบอยู่บนลำคออ บวกกับแววตาที่ดุร้ายของหยางหนิง เหล่าสิงก็ประพฤติตัวเรียบร้อยมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “หัวหน้าเซียวนั้นจัดการให้คนตามหาหญิงสาวประเภทนี้ในหมู่ผู้อพยพ อายุต้อง...อายุต้องน้อยกว่าสิบห้าปี หน้าตางดงาม ขอเพียงพบเจอก็ให้ใช้ข้ออ้างในการจ้างมาเป็สาวใช้หลอก...หลอกให้มาอยู่ในกำมือ และส่งไปพักที่อื่นก่อนไม่กี่วัน จากนั้น...จากนั้นค่อยถูกส่งมายังที่แห่งนี้โดยไม่ทิ้งร่องรอย...!”
“จากนั้นล่ะ?”
“จากนั้น...จากนั้นก็มอบให้...มอบให้กับฮูหยินฮวาเป็ผู้ฝึกสอนขับร้องบทเพลงกับพวกนาง” เหล่าสิงเอ่ยต่อ “รอจนพวกนางเริ่มมีพื้นฐานบ้างแล้ว ก็จะสามารถ...ก็จะสามารถส่งตัวออกไปได้”
“ส่งตัวออกไป?” สิ่งที่หยางหนิงอยากรู้มากที่สุดก็คือสถานที่ที่เสี่ยวเตี๋ยถูกส่งไปคือที่ใดกันแน่ “ส่งไปที่ใด?”
เหล่าสิงเอ่ยตอบ “เื่นั้น...เื่นั้นข้าไม่รู้จริงๆ...อ๊า อย่า...อย่าลงมือ ข้าจะพูดทุกอย่าง...!” หลังจากลังเลไปครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ข้าเพียงแต่รู้...ข้าเพียงแต่รู้ว่าขอเพียงถึงเวลา ท่านรองเฝิง...อ่ะ หรือก็คือมือปราบเฝิงของหยาเหมิน เขาจะใช้รถม้ามารับคนจากไป เท่าที่ข้ารู้ว่า จะทำการ...จะทำการส่งไปที่เมืองหลวง!”
“เมืองหลวง?” หยางหนิงนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะขมวดคิ้วแน่นแล้วเอ่ยถามต่อ “เ้าหมายความว่ามือปราบเฝิงจะเป็คนส่งพวกนางไปที่เมืองหลวงด้วยตัวเอง?”
เหล่าสิงเอ่ยตอบด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ท่านรองเฝิง...ท่านรองเฝิงแค่ต้องส่งคนออกไปนอกเมือง ด้านนอกเมืองจะมีคนดำเนินการต่อ จากนั้น...จากนั้นก็จะมีคนส่งพวกนางไปที่เมืองหลวง ข้ารู้แต่เพียงเท่านี้ เื่อื่นข้าไม่รู้แล้วจริงๆ เซียว...เซียวอี้ซุ่ยจัดการเื่ทุกอย่างด้วยความรอบคอบ เื่ที่ไม่ควรรู้ก็จะไม่ให้พวกเรารับรู้โดยเด็ดขาด และเื่ที่ส่งไปเมืองหลวงนั้นก็...นั้นก็เป็ตอนที่ท่านรองเฝิงดื่มเหล้าเมาและหลุดปากเอ่ยออกมา”
หยางหนิงดูจากท่าทางของเขาแล้วไม่เหมือนคนโกหก จึงเอ่ยถามต่อด้วยเสียงทุ้มต่ำ “พวกเ้าส่งคนไปเมืองหลวงกี่คนแล้ว? เริ่มทำเื่ชั่วๆ อย่างนี้ั้แ่เมื่อใดกัน?”
“ทำมาได้...ทำมาได้สองปีแล้ว” เหล่าสิงไม่กล้าขยับตัว “หลังจากที่เกิดาที่ฮวายฉุ่ย ก็มีผู้อพยพเข้ามาจำนวนมาก เริ่มแรกผู้ที่มานั้นล้วนแต่เป็ผู้ที่ร่ำรวยมีฐานะไม่น้อย พวกเขานำเงินทองจำนวนมากอพยพมายังสถานที่แห่งนี้ จากนั้นจึงค่อยเดินทางลงใต้ต่อ ตอนนั้น...ตอนนั้นเซียวอี้ซุ่ยก็เริ่มหลอกใช้พวกศิษย์พรรคกระยาจก ให้พวกเขาเล็งไปที่พวกคนมีฐานะเ่าั้และขโมยเงินทองของพวกเขา ทำให้ได้เงินทองมาจำนวนมาก ภายหลังพวกคนเ่าั้ก็ล้วนแต่มุ่งหน้าไปทางใต้ พวกคนมีฐานะที่มาก็น้อยลงไปเรื่อยๆ และก็มีพวกคนยากจนที่อพยพมาที่แห่งนี้เพิ่มมากขึ้น เซียวอี้ซุ่ยเลยคิดลงมือไปทางพวกผู้อพยพเหล่านี้”
“เ้าหมายถึงพวกหญิงสาวเหล่านี้?”
เหล่าสิงเอ่ยตอบ “ใช่ ทั้งหมดล้วนแต่เป็ความคิดของเขา เริ่มั้แ่สองปีก่อน ไปๆมาๆ ก็มีคนถูกส่งมาที่จวนแห่งนี้ราวสองร้อยคน โดยคนส่วนมากภายหลังก็ได้ถูกส่งตัวออกไปแล้ว”
“เ้าเป็ถึงมือปราบ ควรเลือกที่จะปกป้องทางฝั่งของประชาชน เหตุใดต้องร่วมมือกระทำชั่วกับเขาและทำเื่ที่น่าอัปยศ ผิดศีลธรรมเช่นนี้ด้วย?” เมื่อหยางหนิงได้ยินคำตอบดังกล่าวก็รู้สึกะเืใจยิ่งนัก แววตาของเขาปรากฏประกายแห่งความหนาวเย็นออกมา ขณะที่น้ำเสียงก็มีความเยือกเย็นยิ่งนัก
เหล่าสิงเอ่ยตอบ “พวกเราล้วนแต่เป็เพราะเขาถึงมาเป็มือปราบได้ และนับั้แ่วันที่เป็มือปราบ พวกเราก็ได้ขึ้นมาบนเรือลำเดียวกับเขาแล้ว หากผิดคำสั่งของเขา ไม่ต้องพูดถึงว่าอาหารชามหนึ่งจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ กระทั่งชีวิตก็คงยากที่จะรักษาได้อีก เซียวอี้ซุ่ยนั้นโเี้อำมหิต ต่อหน้าแล้วเขา...ต่อหน้าแล้วเขาถือเป็มือปราบ แต่เขากลับทำการติดต่อทั้งกับฝ่ายชั่วและฝ่ายดี ภายในอำเภอเมืองฮุ่ยเจ๋อแห่งนี้มีกลุ่มโจรป่าบางส่วนอาศัยอยู่มาโดยตลอด อีกทั้งเพราะมีความสัมพันธ์อันดีกับเขา หัวหน้าโจรบางคนยังถึงขั้นสาบานเป็พี่น้องกับเขาด้วย...!”
“เช่นนั้นพวกโจรขุนนางก็กลายเป็ครอบครัวเดียวกันแล้วสิ” หยางหนิงสบถออกมาเบาๆ ทว่าตอนนี้เขากลับเข้าใจแล้วว่าเซียวอี้ซุ่ยไม่เพียงแต่มีผู้สนับสนุนอยู่เื้ัที่เมืองหลวง ภายในอำเภอเมืองฮุ่ยเจ๋อแห่งนี้ก็ยังสามารถสร้างเครือข่ายองค์กรมืดได้ด้วยเช่นกัน