เหล่าสิงเอ่ยออกมาพร้อมกับถอดถอนหายใจ “เซียวอี้ซุยนั้นใช้ประโยชน์จากพวกศิษย์พรรคกระยาจกในการบุกปล้นคนรวย ใช้ประโยชน์จากพวกขุนนางในการหลอกลวงพวกหญิงสาว หลายปีมานี้เขาได้รับเงินตำลึงจำนวนไม่น้อย ในอำเภอเมืองฮุ่ยเจ๋อแห่งนี้ เขาคนเดียวเรียกได้ว่ามีอำนาจมากพอที่จะสามารถควบคุมทุกอย่างบนแผ่นดินนี้เลยก็ว่าได้...!” เขามองไปทางหยางหนิงก่อนจะเอ่ยต่อ “น้องชาย ข้าฟังจากน้ำเสียงของเ้าดูเหมือนจะมีอายุไม่มากนัก การกระทำในวันนี้คิดว่าคงเป็เพราะอารมณ์ชั่ววูบ เ้าน่าจะรู้ว่าหากล่วงเกินเซียวอี้ซุ่ยแล้ว เช่นนั้นผลลัพธ์ก็จะเหนือกว่าจินตนาการอยู่มากนัก เ้าเก็บดาบไปก่อนและรีบหนีไปเถิด ข้าจะทำเหมือนว่าเื่ในค่ำคืนนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
หยางหนิงลอบคิดอยู่ในใจว่าหากเขากลัว เขาก็คงจะไม่มาแล้ว ก่อนจะเอ่ยถามต่อ “ในเมื่อเ้าไม่รู้ว่าหญิงสาวเหล่านี้จะถูกส่งไปที่ใดกันแน่ เช่นนั้นนอกจากเซียวอี้ซุ่ยและสุนัขบ้าตัวนั้นแล้วก็จะไม่มีผู้ใดอื่นรับรู้อีก?”
“ฮูหยินฮวาน่าจะรู้” เหล่าสิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “ฮูหยินฮวานั้นร่วมมือกับเซียวอี้ชุ่ยตั้งนานแล้ว กิจการเหล่านี้หญิงร่านผู้นั้นเกี่ยวข้องด้วยั้แ่ต้นจนจบ สิ่งที่นางรู้จะต้องมีไม่น้อยเป็แน่ น้องชาย สิ่งที่ควรพูดข้าก็ได้พูดไปหมดแล้ว ดาบนี้ของเ้า...รบกวนเ้าเก็บไปก่อนเถิด”
“เซียวอี้ซุ่ยตอนนี้อยู่ที่ใด?” หยางหนิงไม่เพียงแต่ไม่เก็บดาบลง อีกทั้งยังกำมันเอาไว้แน่นขึ้น ขอเพียงเหล่าสิงพูดว่าเซียวอี้ซุ่ยไม่อยู่ในจวนสกุลฮวา แบบนั้นก็ถือว่าโกหกอย่างแน่นอน เช่นนั้นเขาก็จะให้เ้านี่ต้องหลั่งเืเสียหน่อย
เหล่าสิงรีบเอ่ยตอบ “ตอนนี้เขาอยู่ด้านในจวน พักอยู่ที่เรือนเดี่ยวด้านข้างกำแพงของด้านท้ายตำหนัก ด้านหน้าประตูมีต้นกล้วยอยู่สองต้น เวลาเขามาที่แห่งนี้ก็มักจะพักที่นั่นเสมอ”
หยางหนิงขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนจะค่อยๆ ลดดาบลง
เมื่อตอนที่คมดาบออกห่างจากลำคอของเหล่าสิง เหล่าสิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทันใดนั้นดวงตาทั้งสองของเขาก็ปรากฏความเยือกเย็นออกมา ขณะที่มือขวาออกแรงสะบัดและเศษดินกลุ่มหนึ่งก็ได้โยนเข้ากระแทกใบหน้าของหยางหนิง
ที่แท้ใน่เวลาที่เขาอยู่เงียบๆ ไม่พูดไม่จานั้น มือขวาของเขาก็ได้กำเอาเศษดินที่อยู่บนพื้นขึ้นมากองหนึ่งแล้ว ต่อหน้าเขาก็ได้ทำการเอ่ยตอบหยางหนิงด้วยความสัตย์จริง แต่ทางลับเขาก็ได้ทำการเตรียมพร้อมลงมือเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าหยางหนิงจะโผกหน้าเอาไว้ แต่เขากลับสามารถจำแนกจากน้ำเสียงของหยางหนิงได้ว่าบุคคลผู้นี้อายุยังน้อย จึงคิดแต่ว่าหยางหนิงนั้นมีประสบการณ์ไม่มาก จะต้องคิดไม่ถึงว่าเขาจะถือเอาโอกาสนี้มาลงมือ หากสามารถจับเ้าคนผู้นี้ที่ลักลอบเข้ามาในจวนยามวิกาลได้นั้น จะต้องได้รับความดีความชอบเป็อย่างมากแน่
เมื่อเศษดินถูกปาออกไป เหล่าสิงก็คิดว่าหยางหนิงจะต้องเกิดอาการตื่นตระหนกเพราะความคาดคิดไม่ถึงเป็แน่ เขาจึงคิดอยากใช้โอกาสที่หยางหนิงเกิดอาการตื่นตระหนกและยกเท้าขึ้นถีบหยางหนิง ก่อนจะถือโอกาสออกไปะโเรียกพวกพ้องให้มาช่วย
ทว่าหยางหนิงนั้นกลับดูเหมือนได้เตรียมความพร้อมไว้อยู่ก่อนแล้วก็มิปาน เขาขยับตัวหลบเศษดินนั้นไปได้อย่างง่ายดาย และในชั่วขณะที่ขยับตัวหลบนั้น แขนของเขาก็ออกแรงสะบัดไปครั้งหนึ่ง เหล่าสิงรู้สึกได้ถึงความเ็ปที่พุ่งเข้ามาตรงลำคออย่างกะทันหัน ก่อนที่ดวงตาทั้งสองจะเบิกกว้างขึ้นทันที ทว่าเขาในตอนนี้ได้ถูกหยางหนิงตัดคอหอยไปเป็ที่เรียบร้อยแล้ว ตรงต้นคอมีโลหิตสีแดงสดพุ่งทะลวงออกมา ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องมานี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงความงดงามและเยือกเย็นของโลหิตสีแดงสด
เหล่าสิงยกสองมือขึ้นอุดแผลที่ลำคอของตน เืสดยังคงไหลรินออกมาอย่างต่อเนื่องผ่านทางรอยแยกของาแ ในคอหอยมีเสียง “ซือๆๆ” ดังออกมา เหล่าสิงคิดอยากจะร้องะโทว่าเสียงของเขากลับไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ ร่างกายค่อยๆ บิดเบี้ยวไปเล็กน้อย ทว่าไม่นานการบิดเบี้ยวของร่างกายก็ค่อยๆ สงบลง จนกระทั่งไม่อาจขยับต่อไปได้อีก
หยางหนิงจ้องไปทางดวงตาที่ดุร้ายขึ้นอย่างกะทันหันและค่อยๆ ไร้ซึ่งแสงสว่างของเหล่าสิง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและสูดหายใจเข้าไปลึกๆ พร้อมกับก้าวเท้าเบาๆ ออกจากเรือนพักไป ท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้นเงียบสงบไร้ซึ่งซุ่มเสียง ขณะที่หยางหนิงถือดาบและรีบรุดไปที่เรือนพักของฮูหยินฮวาอย่างรวดเร็ว
เขาจำที่เหล่าสิงเอ่ยขึ้นได้ว่าเซียวอี้ซุ่ยนั้นพักอยู่ที่เรือนเดี่ยวข้างกำแพงของด้านหลังตำหนัก ด้านหน้าของเรือนพักมีต้นกล้วยอยู่สองต้น ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิดทำให้เขาทำการค้นหาอยู่พักหนึ่ง ทว่าไม่นานเขาก็มองเห็นว่าด้านหน้าไม่ไกลออกไปนักมีต้นกล้วยอยู่สองต้นจริงๆ
ด้านข้างต้นกล้วยนั้นมีเรือนพักเดี่ยวอยู่จริงๆ หยางหนิงค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ โดยประตูของเรือนพักนั้นกำลังปิดอยู่ โชคดีที่กำแพงของเรือนไม่สูงมากนัก หยางหนิงเก็บดาบไปที่ข้างเอวของตนก่อนจะปีนข้ามกำแพงไปได้อย่างง่ายดาย เขาเหลือบไปเห็นว่าด้านในของห้องพักนั้นมีแสงสว่างของเทียนไขส่องทะลุผ่านหน้าต่างกระดาษออกมา เขาค่อยๆ ะโเข้าไปด้านในเรือนพักอย่างระมัดระวัง ขณะครุ่นคิดภายในใจว่าหากไม่เกิดเื่เหนือความคาดหมายแล้ว เซียวอี้ซุ่ยและฮูหยินฮวาจะต้องอยู่ภายในห้องพักอย่างแน่นอน
เขาขยับตัวอย่างแ่เบาเข้าไปใกล้หน้าต่างก่อนจะได้ยินเสียงที่ทำให้ผู้คนต้องรู้สึกหน้าแดงด้วยความเขินอายดังมาจากด้านในห้องพัก เสียงของฮูหยินฮวาที่ร้องคร่ำครวญอย่างชัดเจนล่องลอยออกมา หยางหนิงรู้ได้ทันทีว่าขณะนี้ชายหญิงทั้งสองกำลังเริงสำราญกันอยู่ และในขณะเดียวกันเขาก็มั่นใจว่าผู้ที่อยู่ด้านในนั้นคือเซียวอี้ซุ่ย
หยางหนิงกวาดสายตามองเรือนพักแวบหนึ่งก่อนจะเห็นว่าด้านในสวนมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง จึงตัดสินใจขยับเข้าไปใกล้และหลบอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่นั้น
แม้ว่าเขาจะมีความกล้าหาญเป็อย่างมาก ทว่าเขากลับไม่ใช่คนมุทะลุ
เซียวอี้ซุ่ยนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ ใน่สมัยเช่นนี้ส่วนสูงของคนส่วนมากนั้นจะค่อนข้างเตี้ย ส่วนสูงของเซียวอี้ซุ่ยนั้นถือได้ว่าเด่นเป็สง่าเหนือผู้คน อีกทั้งคนผู้นี้กลับเป็ถึงหัวหน้ามือปราบของเมืองฮุ่ยเจ๋อ วรยุทธ์ของเขาจะต้องไม่มีทางด้อยเป็แน่
แม้ว่าหยางหนิงจะมั่นใจในฝีมือของตนเป็อย่างมาก ทว่าเพราะถูกร่างกายที่ผอมแห้งนี้จำกัดความสามารถเอาไว้ ทำให้เรี่ยวแรงของเขาลดถอยลงไปมาก หากต้องต่อสู้กับเซียวอี้ซุ่ยซึ่งๆ หน้าแล้วก็ไม่แน่ว่าจะเป็คู่ต่อสู้กับเซียวอี้ซุ่ยได้
อีกทั้งในจวนแห่งนี้ยังมีมือปราบอยู่อีกหลายคน หากทำให้พวกเขารู้ตัวแล้ว ผลลัพธ์ก็ยากที่จะทำการจินตนาการได้
เป็ไปได้อย่างมากว่าเสี่ยวเตี๋ยนั้นได้ถูกมือปราบส่งตัวออกไปแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่านางอยู่ที่ใดและจะมีสภาพเป็เช่นไรแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการที่เสี่ยวเตี๋ยนั้นมีบุญคุณช่วยชีวิตหยางหนิงเอาไว้ ต่อให้เป็คนทั่วไป ด้วยนิสัยของหยางหนิงแล้วจะต้องทำการตรวจสอบเื่นี้ให้รู้ลึกถึงต้นตอ รายละเอียดและที่มาที่ไปอย่างแน่นอน
บริเวณโดยรอบนั้นเงียบสงบเป็อย่างมาก เห็นได้ชัดว่าพวกมือปราบภายในจวนคนอื่นๆ รู้ดีถึงเื่เหล่านี้ระหว่างฮูหยินฮวาและเซียวอี้ซุ่ย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ที่แห่งนี้
หยางหนิงนั้นกลับไม่ถือสาที่จะต้องเฝ้ารอเช่นนี้
ตอนนั้นที่เขาได้รับการฝึกฝนมา เขานั้นนอนราบกับกองหญ้าเป็เวลาหลายชั่วโมงไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน เวลานี้การรออยู่ใต้ต้นไม้ก็ทำให้เขามีความอดทนเป็อย่างมาก ไม่รู้สึกร้อนรนอะไร
ค่ำคืนในฤดูเก้า แสงดวงดาวและจันทราสว่างไสว อากาศค่อนข้างจะหนาวเย็นอยู่บ้างแล้ว หยางหนิงนั้นสวมเพียงเสื้อผ้าชั้นเดียวจึงรู้สึกหนาวเย็นอยู่ไม่น้อย ทว่าเขาก็ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับตัวเช่นเดิม
ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนอนเพียงใดแล้ว ภายในห้องพักที่ไม่เกิดเสียงใดๆ มาเนิ่นนานก็มีความเคลื่อนไหวบางอย่าง ทำให้หยางหนิงแหงนหน้าขึ้นมองทิศทางของดวงจันทร์และแสงดาวบนท้องฟ้า พระจันทร์เสี้ยวเอียงไปทางด้านตะวันตกบ่งบอกว่าเป็เวลาเที่ยงคืนแล้ว
หยางหนิงค่อยๆ วางดาบในมือของตนลงก่อนจะทำการขยับร่างกายที่เริ่มเป็เหน็บชาเบาๆ จากนั้นก็รัดผ้าที่โผกหน้าเอาไว้ให้แน่นขึ้นแล้วจึงค่อยหยิบดาบหนักขึ้นมาถือไว้ในมืออีกครั้ง
หยางหนิงทำการย่องไปทางหน้าต่างก่อนจะได้ยินเสียงกรนเบาๆ ดังออกมาจากด้านใน พลางคิดว่าเซียวอี้ซุ่ยนั้นเหน็ดเหนื่อยกับการรับมือสาววัยกลางคนผู้นี้มาเนิ่นนาน ตอนนี้กำลังทำการนอนหลับพักผ่อนเพราะความเหนื่อยล้า
เขาจึงขยับเดินไปทางเบื้องหน้าของประตูหลัก ประตูห้องพักเช่นนี้ตกดึกจะต้องลงกลอนไม้ไว้อย่างแน่นอน ทว่าวิธีสะเดาะกลอนไม้ของประตูเช่นนี้นั้นง่ายดายเป็อย่างยิ่ง หยางหนิงใช้ฝั่งคมดาบที่บางๆ ของมีดในมือตนแทงผ่านไปที่ช่องว่างระหว่างประตู ก่อนจะดันขึ้น้าเล็กน้อยอย่างช้าๆ ไม่นานนักก็พบกับสิ่งกีดขวางบางอย่าง
ท่วงท่าของเขารวดเร็วเป็อย่างมาก เขาออกแรงดันขึ้นเพียงเล็กน้อย กลอนก็ถูกดันให้หลุดลงไป เสียงของมันไม่ดังมากนัก ขณะที่หยางหนิงได้ยินเสียงกรนจากด้านในห้องที่ยังคงสม่ำเสมอเช่นเดิม เขาถึงได้ทำการผลักประตูเข้าไปอย่างเบามือและก้าวเข้าไปด้านในห้องพักอย่างไร้ซุ่มเสียง
เซียวอี้ซุ่ยนั้นอยู่ทางฝั่งซ้ายด้านข้างของห้องพัก หยางหนิงรอให้ดวงตาของตนคุ้นชินกับความมืดมิดภายในห้องก่อนจะทำการก้าวเดินเข้าไปด้านใน บางทีอาจเป็เพราะประตูได้ทำการปิดสนิทแล้วทำให้ไม่มีใครคิดว่าจะมีคนลักลอบเข้ามา เพราะฉะนั้นประตูของห้องนอนมิได้ทำการลงกลอนเอาไว้
หยางหนิงกลั้นลมหายใจของตนก่อนจะค่อยๆ ผลักประตูเข้าไปด้านในทีละนิดๆ จากนั้นจึงค่อยก้าวเท้าเข้าไปด้านในห้องพักอย่างเบาฝีเท้า
ภายในห้องพักนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นประหลาด มีกลิ่นของเม็ดเหงื่อ มีกลิ่นหอมที่คละคลุ้ง อีกทั้งยังมีกลิ่นคาวของโลหิตที่ค่อนข้างฉุนอีกด้วย
หยางหนิงมองเห็นว่าผ้าม่านด้านข้างตั่งเตียงได้ถูกปล่อยลงมาแล้ว เขาจึงค่อยๆ ขยับเท้าเข้าไปใกล้ด้านข้างของเตียง ขณะที่มือกำดาบของตนเอาไว้แน่น ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งออกไปและแหวกช่องว่างของผ้าม่านที่ปิดลงมาอย่างเบามือ
ภายในความมืดมิดนั้นเขามอเห็นเซียวอี้ซุ่ยที่มีร่างกายเปลือยเปล่ากำลังนอนขวางอยู่บนนั้น ขณะที่รูปร่างอวบอิ่มขาวเนียนของฮูหยินฮวานั้นกำลังนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาเซียวอี้ซุ่ย มือหนึ่งของนางวางทาบอยู่บนหน้าอกของเซียวอี้ซุ่ย ขณะที่ขาเรียวยาวอีกข้างหนึ่งก็วางพาดร่างของเซียวอี้ซุ่ยไว้ด้วยเช่นกัน นี่ถือเป็ภาพแนบชิดรักใคร่กันของชายหญิง
แน่นอนว่าหยางหนิงไม่มีเวลามาชื่นชมรูปร่างที่อวบอิ่มของฮูหยินฮวา แววตาของเขามีความเยือกเย็น ขณะใช้มือที่ถือดาบค่อยๆ ขยับไปเบื้องหน้า คมดาบค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้เซียวอี้ซุ่ย
ทว่าคมดาบยังไม่ทันได้เข้าใกล้เซียวอี้ชุ่ย หยางหนิงก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง ทันใดนั้นเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าเดิมเซียวอี้ชุ่ยนั้นมีเสียงกรนที่ดังสนั่นดุจฟ้าร้อง ทว่าไม่รู้ว่าั้แ่เมื่อใดที่เสียงนั้นได้สงบลงเสียงแล้ว และในเวลานี้ ดวงตาของเซียวอี้ซุ่ยกลับลืมขึ้นอย่างกะทันหัน ขาข้างหนึ่งของเขาออกแรงถีบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ถีบเอาผ้าห่มนุ่มบนเตียงกระเด็นออกไปด้วย
หยางหนิงร้องะโอยู่ในใจว่าตนช่างเลอะเลือนยิ่ง เวลานี้ต้องสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง และก็ไม่มีอะไรที่ต้องทำการลังเลต่อไปอีก เขาร้องออกมาเบาๆ เสียงหนึ่งก่อนจะเอียงดาบในมือของตนและออกแรงฟันทำให้ผ้าห่มผืนนั้นต้องขาดสะบั้น และใน่เวลาเพียงสั้นๆ นี้ เซียวอี้ซุ่ยก็ได้พลิกตัวขึ้นยืนแล้ว เท้าข้างหนึ่งของเขาออกแรงถีบมาทางหยางหนิง
หยางหนิงรู้ว่าตนได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยากแล้ว และเป็ดั่งที่ตนคาดการณ์เอาไว้ว่าเซียวอี้ซุ่ยนั้นไม่ใช่คนที่มีฝีมืออ่อนด้อยจริง
เพียงแต่ในใจของเขารู้ดีว่าเวลาเช่นนี้ยิ่งต้องสงบสติอารมณ์ของตนลง เมื่อเห็นเซียวอี้ซุ่ยยกเท้าออกแรงถีบ เขาก็ไม่ได้ทำการถอยหลบ แต่กลับใช้ร่างกายที่เล็กกระทัดรัดของตนในการวาดดาบยาวในมือเข้าขาอีกข้างหนึ่งของเซียวอี้ซุ่ย
ขาข้างหนึ่งของเซียวอี้ซุ่ยนั้นถีบเข้าใส่อากาศ ในขณะที่ไม่นานนักก็รู้สึกถึงความเ็ปเป็อย่างมากของขาอีกข้าง ร่างกายของเขารู้สึกหนักอึ้งจากดาบที่ฟันมาที่เท้าของตนของหยางหนิง
ดาบในมือของหยางหนิงนั้นแหลมคมเป็อย่างมาก เมื่อดาบสะบัดไปเพียงชั่วพริบตา ครึ่งขาท่อนล่างของเซียวอี้ซุ่ยก็ได้แยกออกจากร่างกายไปแล้ว โลหิตพุ่งทะลวงออกมา ขณะที่ขาท่อนล่างของเซียวอี้ซุ่ยถูกตัดออก ทำให้ท่อนด้านล่างนั้นว่างเปล่า ร่างของเขาทั้งร่างก็หล่นกระแทกลงบนเตียงอย่างแรง
เมื่อหยางหนิงโจมตีด้วยดาบได้สมดั่งใจหมายในคราแรก เขาก็ไม่ได้ลังเลอีก เมื่อถึงวินาทีที่เซียวอี้ซุ่ยล้มตกลงบนเตียงนั้น ดาบใหญ่ในมือของหยางหนิงก็ได้ทาบลงบนคอของเขาเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ รอจนดาบยาวของหยางหนิงทาบลงบนลำคอของเซียวอี้ซุ่ยแล้ว ฮูหยินฮวาถึงจะค่อยทำการดันตัวให้ลุกขึ้นนั่ง ดวงตาเย้ายวนยังคงง่วงงุน ขณะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหวานช่ำ “ทำไมหรือ?” จากนั้นไม่นานนางก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ พอมองสังเกตดูอย่างละเอียดถึงเห็นว่าบุรุษโผกหน้าคนหนึ่งกำลังเอาดาบทาบอยู่บนลำคอของเซียวอี้ซุ่ย ภายใต้ความตกตะลึงทำให้นางนิ่งค้างไปชั่วขณะ จากนั้นก็เริ่มทำการกรีดร้องออกมาเสียงดัง หยางหนิงจึงทำการตะคอกเสียงใส่ “หากทำการร้องอีกแม้แต่เสียงเดียว ข้าจะสังหารเขาในทันที!”
ฮูหยินฮวายกมือขึ้นปิดปากของตน ขณะที่ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว รอจนนางเหลือบไปเห็นว่าด้านข้างของหมอนนั้นมีท่อนขาด้านล่างที่อาบไปด้วยเือยู่ท่อนหนึ่ง ตาของนางก็เหลือกขึ้น้าก่อนที่ร่างกายจะหงายหลังสลบลงไป
เซียวอี้ซุ่ยที่ถูกตัดขาท่อนล่างไปนั้น บริเวณแผลที่ถูกตัดก็มีเืสดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง สีหน้าของเขาซีดเผือด ขณะที่หน้าผากมีเม็ดเหงื่อเย็นผุดขึ้น ทั่วทั้งร่างกายสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว แต่ว่าคนผู้นี้ก็ถือได้ว่าเป็บุรุษผู้กล้าหาญ เขาพยายามเพ่งสมาธิขณะจ้องไปทางดวงตาของหยางหนิงอย่างไม่ยอมละสายตาพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ท่าน...ท่าน้าเงินตำลึงหรือว่า...หรือว่า้าชีวิต?”
“เงินตำลึงนั้นก็้า และถ้าหากไม่สารภาพมาแต่โดยดี ชีวิตก็้าด้วย!”
“ได้...!” เซียวอี้ซุ่ยเอ่ยตอบ “เงินตำลึง...เงินตำลึงอยู่ในถุงเงินด้านในเสื้อ บนโต๊ะมีแหวนและเครื่องประดับศีรษะ ท่าน...ท่านสามารถเอาไปได้หมดเลย...!” แม้ว่าจะพยายามดึงสติเอาไว้ แต่ความเ็ปจากการสูญเสียขาก็ทำให้ร่างกายของเขาอดไม่ได้ที่จะสั่นระริกไม่หยุด
เขาจ้องไปทางใบหน้าของหยางหนิง หยางหนิงนั้นโผกผ้าปิดหน้าเอาไว้ แน่นอนว่าทำให้เขาไม่อาจมองเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน ทว่าแววตาพิฆาตนั้นกลับทำให้เซียวอี้ซุ่ยรู้ว่าครั้งนี้ตนคงจะต้องโชคร้ายมากกว่าดีเป็แน่ ทว่าตัวเขาคิดว่าหากฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ทำการปิดหน้าเอาไว้ หากตนมองเห็นเข้าเช่นนั้นก็จะต้องสิ้นชีวิตลงอย่างแน่นอน ตอนนี้ในเมื่อทำการปิดหน้าเอาไว้ เช่นนั้นบางทีอาจยังมีความหวังสุดท้ายหลงเหลืออยู่
“เงินตำลึงนั้นไม่รีบ!” หยางหนิงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คนไปที่แห่งใดแล้ว?”
“คน?”
“พวกหญิงสาวที่ถูกเ้าส่งตัวออกไป” หยางหนิงกดเสียงตนให้ทุ้มค่ำพร้อมเอ่ยต่อ “พวกนางถูกเ้าส่งไปที่ใดแล้ว? หากเ้าสารภาพออกมาตามตรง บางทีข้าอาจจะไว้ชีวิตเ้าได้”
“ท่าน...ท่านมีญาติอยู่ในกลุ่มคนเ่าั้?” เซียวอี้ซุ่ยเอ่ยตอบ “หากเป็เช่นนี้ ข้า...ข้าคงต้องขอโทษท่าน และ...และข้ารับประกันว่าจะต้องส่งนางกลับมาให้ท่านอย่างแน่นอน”
“เลิกพูดพล่ามเสียที” หยางหนิงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “คนอยู่ที่ใด?”
เซียวอี้ซุ่ยเอ่ยตอบ “พวกนางถูกกระจายไปคนละทิศทาง ท่าน...ท่านอยากรู้ถึงเบาะแสของผู้ใด?” ก่อนจะชี้นิ้วไปทางหมอนบนเตียง “ด้านล่างมี...มีสมุดบันทึกอยู่ นั่นเป็ตำแหน่งที่อยู่ที่พวกนางมุ่งหน้าไป พวก...พวกเราสามารถหาได้จากในนี้...!”
“เอามา!”
เซียวอี้ชุ่ยยกมือขึ้นและชี้นิ้วมาทางดาบบริเวณลำคอของตน หยางหนิงถึงทำการผ่อนแรงลงเล็กน้อย ขณะที่เซียวอี้ซุ่ยพยักหน้าลงและเอ่ยตอบ “ขอบ...ขอบคุณมาก!” เขาเอียงศีรษะไปเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปคลำหาด้านล่างหมอน รอจนกระทั่งเซียวอี้ซุ่ยดึงมือออกมา กลับได้ยินเสียงร้องของเซียวอี้ซุ่ยก่อนที่แสงสีเงินจะพุ่งเข้าใส่หยางหนิง