หลัวจิ่งขมวดคิ้วยาวแน่น ดวงตาสว่างไสวดุจดวงดาวจ้องเจินจูเขม็ง ราวกับ้ามองให้ทะลุตัวนาง
เจินจูหยุดชะงักการกระทำหยอกล้อกับเสี่ยวจิน ดวงตาที่ร้อนระอุพินิจพิเคราะห์เจาะลึกจ้องนางอยู่นานมาก หากนางเป็ก้อนน้ำแข็ง คาดว่าคงถูกเขาหลอมละลายไปหมดแล้ว
เฮ้อ นางรู้ว่าพอกลับหมู่บ้านมาเมื่อวานและเขาจับได้ซึ่งๆ หน้า หลังจากนั้นเหลียงหู่เกิดเื่ หากเขาไม่สงสัยสิถึงจะแปลก เ้าหนุ่มนี่ยิ่งฉลาดอยู่ด้วย
แต่สงสัยก็สงสัยไปสิ ไม่มีหลักฐานจะสามารถทำอะไรนางได้
เจินจูหันหลังกลับ ทำท่าแลบลิ้นปลิ้นตาไปทางเขา
หลัวจิ่งดวงตาเป็ประกาย คิดอะไรขึ้นได้กะทันหันจึงเดินตรงมาทางนาง
เจินจูใ เขาคิดจะทำอะไร? คงไม่ใช่ว่าคิดจะใช้กำลังป่าเถื่อนบีบบังคับให้สารภาพใช่ไหม?
นางตบหน้าอกเบาๆ ท่าทางใเล็กน้อย
บนใบหน้านิ่งสุขุมของหลัวจิ่งนางเกือบขำออกมา
“แค่กๆ”
เขาแกล้งกระแอมไอ กดรอยยิ้มน้อยๆ ไว้พร้อมกับจัดการสีหน้าให้เป็ปกติ แล้วจ้องนางเขม็งด้วยดวงตาสองข้างดั่งคบเพลิง “เป็… เสี่ยวเฮยทำหรือ”
รูม่านตาเจินจูหดเล็กลง หัวใจเต้นเร็วขึ้นฉับพลัน เ้าเด็กน่าตายนี่ อย่าทำให้คนใเพียงนี้ได้หรือไม่ เ้าไม่ใช่ทหารเร็วตรวจสอบคดีเสียหน่อย ที่จะรู้เบาะแสเพียงนิดก็สามารถตามสืบเงื่อนงำได้แล้ว
“อะไร? เสี่ยวเฮยทำอะไร? มันข่วนเ้าหรือทำอะไรแย่ๆ หรือ?” เจินจูหัวเราะแห้งๆ สองที ยืนกรานไม่ยอมรับ
หลัวจิ่งเห็นความหวาดผวาเพราะทำเื่ไม่ดีของนางอยู่ในสายตา ยิ่งยืนยันความคิดของเขาขึ้นไปอีก มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นน้อยๆ เข้าไปใกล้หนึ่งก้าว “เมื่อวานเ้าพาเสี่ยวเฮยไปสำรวจเส้นทางล่ะสิ มิน่าเล่าถึงไม่เห็นมันเลยทั้งวัน กลางดึกก็ไม่รู้ว่าวิ่งกลับมาจากที่ไหน อื้ม ช่างเหน็ดเหนื่อยตรากตรำและมีผลงานใหญ่หลวงจริงๆ”
“…ฮ่าๆ” เจินจูข่มอาการที่อยากจะเช็ดเหงื่อไว้ หัวเราะแห้งๆ “กล่าวอะไรกัน วันไหนบ้างที่เสี่ยวเฮยไม่วิ่งเพ่นพ่านไปทั่ว ผู้ใดจะรู้ว่ามันวิ่งไปเล่นที่ไหนบ้าง”
กล่าวจบ นางละสายตาไปและตบเสี่ยวจินเบาๆ “กินอิ่มแล้ว ไปไล่ตรวจตราหนึ่งรอบไป ดูว่ามีตัวอะไรสายตาไม่ดีแล้ววิ่งเข้ามาพาลเกเรในอาณาเขตของเ้าบ้าง”
“แว้ก” เสี่ยวจินตอบรับ สองปีกกางสยายบินจากไป พาให้เกิดฝุ่นละอองพักหนึ่ง
“ไอ๊หยา เ้านกเหม็นโฉ่นี่ กระพือปีกจนใบหน้าข้าเต็มไปด้วยดินแล้วข้าต้องไปล้างหน้าหน่อย”
ใต้ฝ่าเท้าดั่งมีสายลมพัดพาไปก็ไม่ปาน พริบตาเดียวได้วิ่งจากไปไกลแล้ว
“…”
หนีได้เร็วมากนี่ หลัวจิ่งสองแขนกอดอก หรี่ตามองเงาร่างที่จากไปไกล
ยามอู่ของวันถัดมา
ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงยังแสดงความคิดเห็นต่างๆ นานาด้วยเื่การาเ็ของเหลียงหู่เป็กลุ่มกระจัดกระจาย
แต่ในหมู่บ้านเหลียงผิงกลับมีข่าวที่น่าใยิ่งกว่าแพร่ออกมา
เหลียงหู่ถูกคนฆ่าตายแล้ว!
ข่าวคราวนี้คล้ายกับเสียงฟ้าร้องเขย่าขวัญหนึ่งที ทำเอาทุกคนต่างตกตะลึง
“กล่าวกันว่าถูกคนแทงหน้าอกหนึ่งมีดในกลางดึก เืไหลทั่วทั้งเตียง มารดาของเขาเกือบใตาย”
“ทหารทางการมากันทั้งหมดแล้ว กำลังตรวจสอบและซักถามคนครอบครัวเขาอยู่ ว่ากันว่ามีความเป็ไปได้ที่จะมีนักท่องยุทธกระทำการสังหาร หลายปีมานี้เหลียงหู่เที่ยวรังแกสร้างความแค้นตามหมู่บ้านและทุ่งกว้างมากมาย พอเขาได้รับาเ็เช่นนี้ คนที่้าเอาชีวิตเขาเลยเพิ่มมากขึ้น”
“โอ้โห ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต ถูกฝ่ายทางการจับได้เข้า อาจต้องใช้หนึ่งชีวิตแลกหนึ่งชีวิตเชียวนะ”
“เหลียงหู่ก่อเวรก่อกรรมไว้มากเกินไปแล้ว ์ทนดูไม่ไหวเลยเก็บเขาไป เ้าดูสิ ที่ไกลๆ ยังไม่ต้องเอ่ยถึง เอาแค่ฉางหลินของหมู่บ้านเรา ไม่กี่วันก่อนไม่ใช่ว่าถูกชายโฉดผู้นั้นตีจนกระอักเือย่างไม่มีสาเหตุหรือ?”
“ก็นั่นน่ะสิ แล้วยังมีบุตรสาวของครอบครัวสี่เหวินด้วย นางถูกตีขาหักจนต้องหามกลับมาบ้านบิดามารดา ได้ยินว่าตอนนี้ยังลงจากเตียงไม่ได้เลยนะ”
“…”
เจินจูถูกข่าวนี้ทำให้ใเข้า มีคนถือโอกาสตอนที่เขาาเ็้าชีวิตเขาจริงหรือนี่
ไม่รู้ว่าเป็ผู้ใดกล้าหาญเพียงนี้ ต้องรู้ว่าแม้เหลียงหู่จะเจ็บป่วยแต่ยังโเี้อำมหิตอยู่ หากคนที่คิดจะเอาชีวิตเขาต้องสามารถป้องกันการตอบโต้ก่อนที่เขาจะตายด้วย
สกุลหูได้ยินข่าวการตายของเหลียงหู่ ไม่ได้เบิกบานมากนัก แต่กลับกังวลใจขึ้นมาโดยปริยาย เหลียงหู่ถูกฆ่า หูฉางหลินจะถูกโยงเข้าไปเกี่ยวด้วยหรือไม่
ปฏิกิริยาของครอบครัวจ้าวสี่เหวินกลับดีใจระคนแปลกใจขึ้นพร้อมกัน เหลียงหู่ไม่อยู่แล้ว ราวกับกำจัดเครื่องพันธนาการที่กดอยู่บนตัวครอบครัวของพวกเขามาตลอดออกไปได้ ส่วนจ้าวหงยู่คลุมตัวเองอยู่ใต้ผ้านวมร้องไห้ไปครึ่งค่อนวัน การได้รับความไม่เป็ธรรม ความเศร้าเสียใจและการหลุดพ้น ความรู้สึกทั้งหมดได้ปลดปล่อยออกมา
“เจินจู เ้าว่า ทางการจะวางตัวผู้ที่ตกเป็ผู้ต้องสงสัยมาที่ครอบครัวเราไหม?” หวังซื่อขมวดคิ้วแน่น พอนางได้ยินข่าวก็นั่งอยู่บ้านไม่สงบเล็กน้อย จึงวิ่งมาพูดคุยกับเจินจู
ชาวบ้านไม่เข้าใกล้กับทางการ ชาวบ้านกลัวการไปติดต่อกับทหารทางการ หวังซื่อก็ไม่เป็ข้อยกเว้นเช่นกัน
“ท่านย่า ไม่มีทางหรอกเ้าค่ะ ไม่ใช่ทางการกล่าวว่าอาจเป็นักท่องยุทธฆ่าล้างแค้นหรือ เมื่อก่อนที่เหลียงหู่เป็หน่วยคุ้มกันล่วงเกินคนไว้มากมาย พวกเราคนชนบทเติบโตในพื้นที่ แล้วยังไม่ใช่นักท่องยุทธที่มีชื่อเสียงโด่งดังอะไรเสียหน่อย จะมีความสามารถนั้นได้อย่างไร ไม่ต้องกังวลไปเ้าค่ะ” เจินจูมองคนสกุลหูทั้งหมดที่นั่งล้อมกันเป็หนึ่งวง มีท่าทางใจเย็นบ้างขมวดคิ้วจิตใจร้อนรุ่มกระสับกระส่ายบ้าง
“ความจริงก็เป็ความจริง แค่กลัวว่าหากฝ่ายทางการจับฆาตรกรไม่ได้ ถึงตอนนั้นจะหาแพะรับบาปตามอำเภอใจ ท่านลุงเ้าจะอันตรายเข้าน่ะสิ” คิ้วที่ขมวดแน่นอยู่แล้วของหวังซื่อยิ่งขมวดแน่นขึ้นไปอีก สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีให้เห็น
“ท่านพี่าเ็ไปทั้งร่าง จะไปฆ่าเหลียงหู่ได้อย่างไร หากฝ่ายทางการไม่ฟังเหตุผล ้าจับก็ให้พวกเขามาจับข้าไป” หูฉางกุ้ยกัดฟันกล่าว
“เพ้ย กล่าวมั่วซั่วอะไรกัน หากเ้าให้พวกเขาจับไป เ้าจะให้พวกนางสามแม่ลูกทำอย่างไร?” หวังซื่อตำหนิเสียงดัง
หูฉางกุ้ยมองหลี่ซื่อแวบหนึ่งด้วยความรู้สึกผิดในใจ หลุบใบหน้าก้มต่ำลง “แต่ท่านพี่จะถูกจับไปไม่ได้ หากเข้าคุกไปแล้ว ไม่ตายก็ต้องถอดิั [1] อีกไม่นานพี่สะใภ้จะคลอดลูกแล้ว ท่านพี่ยังมาาเ็ไปทั้งตัวอีก ข้า…”
หวังซื่อขมวดคิ้วเม้มปาก ในดวงตามีน้ำตารื้นขึ้น
สองมือของหลี่ซื่อปิดริมฝีปากแน่น หยดน้ำตาร่วงหล่นลงมาอยู่นานแล้ว
“…”
เจินจูมองฉากนี้ด้วยเส้นดำเต็มศีรษะ มารดาเถอะ... ทำไมกล่าวไปกล่าวมาก็มาถึงความเศร้าโศกนี่ได้
หางตาเหลือบไปมองทางหลัวจิ่งที่พิงประตูห้องอยู่ สายตาเ้าหนุ่มนั่นมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้พร้อมกับเห็นอกเห็นใจไปด้วย เขาเหมือนไม่เข้าใจว่าทำไมพวกนางเปลี่ยนมาเป็เช่นนี้ได้?
เจินจูคลึงศีรษะมองสามคนที่ยังคงแสดงออกอย่างหม่นหมอง ในใจหมดหนทาง
“ผลัวะ!” เจินจูตบบนโต๊ะทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสหนึ่งฝ่ามือ ปลุกสามคนที่ตกอยู่ในบรรยากาศอึมครึมให้สะดุ้งขึ้น
“เื่ของเหลียงหู่กับพวกเราไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด ดังนั้น อย่านำเื่ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาในครอบครัวเรา หากฝ่ายทางการ้าหาแพะรับบาปจริง ก็ต้องหาผู้ต้องสงสัยที่เหมาะสม ไม่ใช่จับคนตามอำเภอใจก็สามารถจัดการอย่างขอไปทีได้ พวกเราไม่ใช่ไม่มีลู่ทางเส้นสายเสียหน่อย กลัวอะไรล่ะเ้าคะ” เดิมทีนางไม่อยากกล่าวแต่ก็ต้องกล่าวออกไป “ท่านย่า หากถึงขั้นนั้นจริงๆ พวกเราก็ไปหาเ้าของร้านหลิวให้ช่วยไกล่เกลี่ยเล็กน้อย ไม่มีทางเกิดเื่อะไรที่ไม่ดีแน่นอนเ้าค่ะ”
หวังซื่อตั้งสติให้มั่นคง ถามด้วยความลังเล “เช่นนั้น เ้าของร้านหลิวจะช่วยพวกเราหรือ? ถึงอย่างไรเขากับพวกเราก็ไม่ใช่ญาติไม่ใช่สหายเก่ากัน [2] เื่ของศาลาว่าการเขาสามารถช่วยเหลือได้หรือ?”
“ท่านย่าเ้าคะ ตรงนี้ท่านไม่ต้องกังวลใจ เ้าของร้านหลิวสามารถช่วยได้แน่นอน ฝูอันถังเป็กิจการของจวนสกุลกู้ ข้าเคยได้ยินเ้าของร้านเหนียนกล่าวว่า สกุลกู้เป็ครอบครัวขุนนางร่ำรวยในเมืองหลวง ได้ยินว่ามียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่ง กู้อู่ผู้นั้นเป็คุณชายห้าของจวนสกุลกู้ ศาลาว่าการของเมืองไท่ผิงเคารพนบนอบต่อสกุลพวกเขามากเ้าค่ะ” ที่จริงแล้วสถานการณ์รายละเอียดของสกุลกู้นางเองก็ไม่เข้าใจ แต่จากเบาะแสร่องรอยทั่วไปพอจะเดาออกได้เล็กน้อยไม่ยาก ขุนนางของศาลาว่าการในเมืองล้วนมาส่งเขาออกจากศาลาว่าการด้วยตัวเอง อำนาจของสกุลกู้ไม่ต้องคิดก็รู้ได้
“จริงหรือ? นั่นยอดเยี่ยมไปเลย ครั้งก่อนตอนคุณชายห้าผู้นั้นมาบ้านเรา แม้สีหน้ายังแย่อยู่ แต่มีชีวิตชีวาดีไม่น้อย หากพวกเขาสามารถช่วยพูดคุยให้ได้ ฉางหลินน่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว” บนใบหน้าหวังซื่อปรากฏรอยยิ้มออกมา
หลี่ซื่อได้ฟังคำพูดของเจินจูก็เช็ดน้ำตาทันที อารมณ์สลับซับซ้อนอธิบายไม่ได้พรั่งพรูออกมาจากดวงตาที่หลุบลง จวนสกุลกู้? เป็จวนสกุลกู้นั้นหรือ?
สายตาหลัวจิ่งประกายไหววูบ ครอบครัวขุนนางในเมืองหลวง? ยศถาบรรดาศักดิ์สูง? เช่นนั้นคงเป็ใต้เท้ากงปู้ซ่างซูกู้หลินอย่างไม่ต้องสงสัย
ใต้เท้ากู้กับกู้เจวี๋ยบุตรชายคนโตของเขา หลัวจิ่งล้วนเคยพบอยู่สองสามครั้ง ส่วนกู้อู่ผู้นี้หรือ เขายังไม่เคยเจอเลยจริงๆ
แต่เมื่อก่อนเคยได้ยินมาว่าสกุลกู้มีบุตรชายคนเล็กที่เกิดจากภรรยาหลวง เพราะประสบเหตุไม่คาดคิดคลอดก่อนกำหนด ร่างกายอ่อนแอและขี้โรค ตลอดทั้งปีล้มหมอนนอนเสื่อและพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายอยูในจวนตลอดทั้งปี ขยับเขยื้อนออกจากจวนน้อยมาก
นึกถึงการชำเลืองมองผ่านๆ อย่างเร่งรีบครั้งก่อน เห็นความขาวซีดร่างกายอ่อนแอ กลับมีความสง่างามที่เด่นจนผิดปกติอย่างหนึ่งอยู่ บุคลิกครอบครัวขุนนางสูงส่งไปทั่วทั้งกาย คล้ายคลึงกันกับกู้เจวี๋ยผู้เป็พี่ชายของเขาอยู่หลายส่วน ดูท่าจะเป็บุตรคนเล็กของกู้หลินจริงๆ อย่างไม่ต้องสงสัย
สีหน้าของหลัวจิ่งจิตใจห่อเหี่ยวเล็กน้อย ซ่างซูสกุลกู้วางตัวปฏิบัติหน้าที่รู้จักเอาตัวรอดได้และโปร่งใส แต่ไหนแต่ไรไม่ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับองค์ชายใดสักคน ยังคงท่าทีไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดมาตลอด ท่ามกลางความวุ่นวายต่อสู้แย่งชิงอำนาจขององค์ชายครั้งนี้ จึงไม่ได้รับผลกระทบไปด้วย
หวังซื่อได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจจากเจินจูที่นี่ ก็กลับไปด้วยความดีใจ อย่างไรเสียที่บ้านยังมีคนชราและเด็กให้ต้องดูแลอยู่ทั้งบ้าน
คดีเหลียงหู่ถูกฆ่าก่อความวุ่นวายขึ้นมาอย่างโกลาหล ทั้งทหารเร็วทั้งนักการในศาลาว่าการต่างนำคนที่มีความเกี่ยวข้องละแวกใกล้เคียงกับเหลียงหู่ มาตรวจสอบทั้งหมดหนึ่งรอบ
ครอบครัวจ้าวหงยู่ได้รับความเดือดร้อนกลายเป็เป้าหมายกลุ่มแรกที่ถูกสอบสวน ครอบครัวหูฉางหลินก็ถูกรวมเป็เป้าหมายในการถูกสอบสวนไปด้วย
จ้าวหงยู่ถูกพี่สะใภ้ประคองออกมา สภาพอาการาเ็ของนางเดิมทีหนักหนาสาหัส ผ่านการพักฟื้นหลายวันมานี้ สามารถฝืนลงมาเดินบนพื้นได้สองก้าว รอยแผลบนใบหน้ายังมีรอยฟกช้ำอยู่เลย
ผู้ที่มาตรวจสอบและซักถามที่หมู่บ้านวั้งหลินเป็ทหารเร็วสองคน คนหนึ่งผอมสูง คนหนึ่งหน้าดำ
ทหารเร็วหน้าดำใบหน้าแข็งกระด้างเย่อหยิ่ง ซักถามการไปไหนมาไหนของครอบครัวจ้าวหงยู่ในสองสามวันมานี้เป็อันดับแรก แล้วค่อยซักถามเกี่ยวกับข้อสงสัยเื่ที่จ้าวหงยู่หย่าร้างกับเหลียงหู่ หลังจากนั้นกระทำการตราหน้าเป็นัยขึ้น ความหมายคือพอพวกเขาหย่าร้างกันเหลียงหู่ก็ถูกฆ่า ครอบครัวพวกเขาจึงตกเป็ผู้ต้องสงสัยอย่างมาก ครอบครัวจ้าวหงยู่ใจนตัวสั่นงันงกทันที จ้าวหงยู่ยิ่งสีหน้าซีดเผือดลงไปอีก
ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่ไกลๆ ต่างก็เงียบกริบ ส่วนจ้าวเหวินเฉียงหัวหน้าหมู่บ้านจำต้องกัดฟันก้าวออกมาข้างหน้าอย่างห้าวหาญ เอ่ยสองสามประโยคอย่างยุติธรรมและตรงไปตรงมาเพื่อครอบครัวพวกเขา ทหารเร็วหน้าดำกลับทำเพียงจ้องเขาอย่างเ็าแล้วไม่ตอบ สุดท้ายทหารเร็วผอมสูงผู้นั้นจึงทำให้เื่จบลงด้วยดี กล่าวเพียงได้รับคำสั่งให้มุ่งมาตรวจสอบ และพูดทำนองว่าทุกคนให้ความร่วมมือดีมาก
ทหารเร็วสองคนออกมาจากบ้านของจ้าวหงยู่ก็เข้ามาบ้านสกุลหู
หูฉางหลินเป็เช่นเดียวกันกับจ้าวหงยู่คือถูกหวังซื่อประคองเดินออกมา ทหารเร็วหน้าดำสีหน้าเคร่งขรึมมากขึ้นไปอีก สอบถามสาเหตุกรณีพิพาทของครอบครัวเขากับเหลียงหู่ตามปกติ เมื่อได้ฟังว่าเป็เพราะบุตรของเขาทำให้เกิดการกระทบกระทั่งขึ้น จึงทำให้ชุ่ยจูต้องออกมาทำการถูกสอบสวนซักถามไปด้วย
ไม่กี่วันมานี้ชุ่ยจูได้รับความหวาดผวา ทำให้ผอมลงไปไม่น้อย ในชุดกระโปรงสีพระจันทร์ทั้งชุด รอบเอวเล็กเพรียว บนใบหน้าขาวราวหิมะเพราะตื่นตระหนกใจึงดูอ่อนแอแต่นุ่มนวลและงดงามขึ้นไปอีก
บนใบหน้าของทหารเร็วหน้าดำปรากฏสีหน้าตะลึงงันในความงาม คิดไม่ถึงเลยว่าในหมู่บ้านเขตูเาเล็กนี่จะมีสาวงามหน้าตาสะสวยเช่นนี้ มิน่าเล่าเหลียงหู่ชายโฉดผู้นั้นถึงขวางคนเขาไม่ปล่อย สายตาของเขาวูบไหว ตีหน้าขรึมขึ้นแล้วสอบถามชุ่ยจู
ชุ่ยจูจะเคยเจอการใช้อิทธิพลอำนาจเช่นนี้เสียที่ไหน นางทำได้เพียงอิงแอบหวังซื่อ ตอบคำถามอย่างระมัดระวังด้วยมือและเท้าที่สั่นเทา
ทหารเร็วหน้าดำมองคนงามตัวน้อยที่ถูกทำให้ใกลัว ดีดลูกคิดในใจอย่างฮึกเหิมขึ้น
หยุดพักอยู่บ้านสกุลหูครู่หนึ่ง ก็สอบถามสถานการณ์ภายในของสกุลหูจนกระจ่าง ทหารเร็วหน้าดำทำท่าทางบอกเป็นัย สกุลหูมีข้อพิพาทกับเหลียงหู่ การตายของเหลียงหู่สกุลหูตกเป็ผู้ต้องสงสัย ให้พวกเขารอฝ่ายทางการเรียกตัวอยู่ตลอดเวลา ห้ามพวกเขาเดินทางไปไกลตามอำเภอใจ
ทำให้ครอบครัวสาวงามตัวน้อยใกลัวได้แล้ว ทหารเร็วหน้าดำจึงออกจากหมู่บ้านวั้งหลินไปพร้อมกับทหารเร็วสูงผอมอย่างนิ่งสุขุม
เจินจูปะปนอยู่ในฝูงชนตลอดเวลา มองอยู่อย่างเงียบๆ
พอทหารเร็วออกจากบ้านสกุลหู นางจึงตามหลังพวกเขาไปอยู่ไกลๆ
เชิงอรรถ
[1] ไม่ตายก็ต้องถูกถอดิั หมายถึง ต้องถูกทำให้าเ็หนักมากแน่นอน
[2] ไม่ใช่ญาติไม่ใช่สหายเก่ากัน หมายถึง ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ เกี่ยวข้องกัน