เมื่อเห็นใบหน้าเจิดจ้าของนาง เฉินเนี้ยนหรานก็รู้สึกว่าป้าฝูกำลังชื่นชมเ้านายของตัวเองอยู่
นางหัวเราะออกมา มือก็ยังคงถักผ้าต่อไปไม่หยุด
ทั้งสองคนพูดคุยกันไปสักพัก ป้าฝูถึงได้ลุกขึ้นเตรียมกลับ
ก่อนจะไป ยังไม่ลืมกำชับอย่างหนึ่งว่า “น้องสาว ข้ากับเ้าช่างมีดวงสมพงศ์ต่อกันนัก หากว่างก็มาหาข้าที่เรือนได้นะ ต่อไปเรือนนี้ก็เป็ข้ากับน้องเขยช่วยกันดูแล พวกเราอยู่ในหมู่บ้านนี้ก็มีคนรู้ใจกันไม่มาก มีแต่เ้านี่แหละที่ข้าถูกชะตา”
คำพูดนี้กำลังพูดว่าต่อไปพวกเราสองบ้านจะดูแลกัน แน่นอนว่าเฉินเนี้ยนหรานก็รับปาก
หลังจากนางจากไปแล้ว คิ้วของเฉินเนี้ยนหรานก็ขมวดแน่น เพื่อนบ้านใหม่คนนี้...
นางรู้สึกแปลกๆ และอดที่จะนับถือลางสังหรณ์ของน้องห้าไม่ได้ เป็คนที่คอยช่วยเ้าของเรือนดูแลบ้านจริงๆ น่าภูมิใจนัก ทั้งๆ ที่น้องห้าดูแค่จากรอยยิ้มกับการกระทำของป้าฝู ก็เดาสถานะของนางออกแล้ว
“ช่างเถิด คนคนนี้จะทำอะไร เ้าของคือใคร เกี่ยวอะไรกับข้าเล่า? ขอแค่ไม่ปองร้ายข้า เช่นนั้นก็พอแล้ว” เมื่อจัดการความคิดเรียบร้อยแล้ว เฉินเนี้ยนหรานก็ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะเข้าไปที่อำเภอ
บัญชีนี้ จะต้องไปคิดกับจือเว้ยไจ๋
แต่การเข้าอำเภอครั้งนี้จะได้พบคนคนนั้นหรือไม่?
แค่คิดถึงใบหน้าหล่อเหลานั่น ในใจของเฉินเนี้ยนหรานก็ว้าวุ่น ช่างเถิด ไม่คิดถึงแล้ว เื่พวกนี้ก็ให้มันเป็เช่นนี้ไปแล้วกัน จากอำนาจของสกุลโจวและสถานะของเขา เกรงว่าเขาคงหนีไม่พ้นการถูกคลุมถุงชน
เช้าวันต่อมา เฉินเนี้ยนหรานตื่นขึ้นมาจัดการตัวเองให้เรียบร้อยและทำอาหารง่ายๆ ทาน สั่งน้องห้าและหนิวซื่อให้พวกนางดูแลเรือน ก่อนจะนั่งรถม้าเข้าไปในอำเภอ การมีม้าก็ดีเช่นนี้ เพียงแค่ชั่วครู่ก็ถึงจุดหมาย หากเป็แต่ก่อนจะต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะไปถึง
แต่สิ่งที่ทำให้นางแปลกใจก็คือ ทันทีที่มาถึงร้านก็เห็นกวนซูเยวียนทำท่าโกรธอยู่ นางเพิ่งจะมาถึง อีกฝ่ายก็ไม่ได้ลดสีหน้าโกรธนั้นลงเลย ความโกรธนั้นเกือบจะกลายเป็ไฟเผาทั้งใบหน้านางแล้ว
กวนซูเยวียนมองนางก่อนจะถอนหายใจไอ๊หยาไอ๊หยาออกมา ทำเอาเฉินเนี้ยนหรานต้องหยุดเท้าแล้วเงยหน้ามองนาง
“เฮ้อ แม่หนู...” กวนซูเยวียนทำท่าทางเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด ก่อนจะกัดฟันแน่นด้วยท่าทางโมโหจนสุดจะทน
“ท่านป้า ท่าทางของท่านราวกับถูกใครทำให้โกรธมากๆอย่างไรอย่างนั้นเลย โอ้ คงไม่ใช่เปาจื่อเป็คนทำหรอกนะ หรือต้าหลางไม่เชื่อฟัง หรือว่าอะไรเ้าคะ? หากเป็เช่นนั้นจริง ข้าจะช่วยไปสั่งสอนให้ รับรองจะตีก้นของพวกเขาให้ลายเลยเ้าค่ะ”
กวนซูเยวียนถูกนางพูดเช่นนี้จนหัวเราะออกมา ก่อนจะมองค้อนใส่
“ไม่ใช่หรอก ไปเถิด ระหว่างทางพวกเราค่อยพูดกัน”
การไปคิดบัญชีรอบนี้ มีเพียงเฉินเนี้ยนหรานกับกวนซูเยวียนและสามี
ต้าหลางคอยเฝ้าร้านอยู่ที่เรือน เขากำลังเตรียมตัวว่าหลังจากได้รับความไว้วางใจแล้ว จะลงไปทางใต้กับกลุ่มพ่อค้า ซึ่งการไปทำธุรกิจภายนอก ตัวเลือกที่ดีที่สุดก็คือการตามกลุ่มพ่อค้าไป
เฉินจื่อิเองก็มีเพื่อนที่ออกไปขายของด้านนอกด้วยกันมาก่อน จากที่ได้ยินมาคือตอนนี้เขาเป็กลุ่มพ่อค้า ดังนั้นจึงฝากฝังต้าหลางให้ไปกับเขา เช่นนี้ลูกชายก็มีคนที่คุ้นเคยนำทาง และแน่นอนว่าต้าหลางยังสามารถหาช่องทางรวยได้ด้วยตัวเองอีกด้วย
หลังจากกวนซูเยวียนเล่าเื่พวกนี้จบแล้ว ความเงียบก็เข้ามาปกคลุมอีกครั้ง เฉินจื่อิขับรถม้าอยู่ด้านนอก ภายในรถม้าจึงได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าของม้าเท่านั้น
เฉินเนี้ยนหรานมองป้าสะใภ้ตนด้วยท่าทางยิ้มไม่ออก ดูเหมือนว่าป้าสะใภ้จะโมโหมาก
“ท่านป้าสะใภ้ กินเต้าหู้แห้งสักหน่อยเถิดเ้าค่ะ เ้านี่เป็ของที่ข้าทำ่นี้เลยนะ เต้าหู้แห้งนี้ หอม อร่อย หากพวกเราสองคนดื่มสุราได้ ตอนนี้คงเมามายกันเล็กน้อย การเดินทางนี้ก็ไม่หงอยเหงาแล้วเ้าค่ะ”
กวนซูเยวียนมองท่าทางยิ้มแย้มยินดีเช่นนี้ ในใจยิ่งรู้สึกขมขื่น
นางจับมือของหลานสาว แล้วตบลงไปเบาๆ “เฮ้อ เ้านี่นะ ทำไมถึงได้มีชะตาชีวิตลำบากเช่นนี้ คนดีๆ ควรจะมีครอบครัวดีๆ สิ”
เฉินเนี้ยนหรานเลิกคิ้วขึ้น หรี่ตามองนาง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางลง “ท่านป้า ท่านได้ยินอะไรมาใช่หรือไม่? เื่ของคนคนนั้นหรือ? ข้ากับเขาน่ะ ท่านไม่ต้องรู้สึกไม่ดีหรอก เื่นี้ ข้าจะไม่พูดอะไรกับเขาทั้งนั้น”
กวนซูเยวียนถูกพูดเช่นนี้ก็ฉุนเฉียวขึ้นมา “เ้าน่ะ มองออกไปเสียหมด แค่ประโยคเดียวก็เดาเื่ราวออกทันที ่นี้ข้า...ได้ยินข่าวหนึ่งมา ได้ยินว่าเขารับแม่ลูกสกุลหลัวเข้ามาในเรือน เฮ้อ ....รับใครไม่รับ ดันต้องไปรับบุตรสาวสกุลหลัวมา.....”
เฉินเนี้ยนหรานกระพริบตา สำหรับคำพูดไม่มีหัวไม่มีท้ายของกวนซูเยวียน ฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจเสียเท่าไร
เมื่อเห็นท่าทางนางไม่รู้เื่ราวอะไร กวนซูเยวียนถึงได้ค่อยๆ ถอนหายใจออกมา
“เื่นี้...ความจริงแล้วข้าแค่ได้ยินมานิดหน่อย อย่างไรจวนสกุลโจวของเขาก็ใหญ่เสียขนาดนั้น สำหรับเื่ของคุณชายห้าน่ะ หลายคนรู้สึกใส่ใจมาก”
เฉินเนี้ยนหรานต่อว่าในใจ เกรงว่าไม่เพียงแค่ใส่ใจตื้นๆ แต่เป็ใส่ใจมากต่างหาก
“อืม ข้ารู้แล้ว ท่านป้าพูดต่อเถิดเ้าค่ะ สกุลหลัวคนนี้มีความสัมพันธ์อย่างอื่นกับคุณชายห้าหรือ? ความจริงแล้วเื่ที่เกี่ยวข้องกับเขา ข้าเป็เพียงผู้ฟังคนหนึ่งเท่านั้น เื่อื่นท่านป้าไม่ต้องกังวลใจหรอกเ้าค่ะ” นางก้มหน้า พูดด้วยท่าทางสบายๆ โดยที่ไม่มีท่าทางเสียใจอะไร นางที่เป็เช่นนี้ทำให้กวนซูเยวียนถอนหายใจออกมาเบาๆ นางยังคิดว่าสองคนนี้จะเกิดเื่อะไรขึ้น น่าเสียดายนัก แต่เมื่อคิดถึงฐานะของโจวอ้าวเสวียนแล้ว และคิดถึงฐานะของแม่หนูหราน...นางก็เก็บความรู้สึกเ็ปกลับเข้าไป
กวนซูเยวียนยืดตัวตรงแล้วพยักหน้า “ใช่ เ้าพูดถูก เป็เ้าที่มองออก เื่นี้ั้แ่ต้นก็เป็ป้าเองที่ไม่ควรมีความคิดเช่นนี้ ตอนนี้ก็ดีมากแล้ว สกุลหลัวคนนี้...ความจริงแล้วได้หมั้นหมายกับคุณชายห้าตอนแปดขวบ เพียงแต่สตรีนางนั้นมักจะป่วยอยู่ตลอด ทั้งได้ยินมาว่านิสัยไม่ค่อยจะดี แต่ในเรือน...เหมือนว่าจะมีสิทธิ์มาก และมีอำนาจมาก ปีนั้นสกุลหลัวก็เลือกว่าจะหมั้นกับคุณชายห้า และยังมีอีกเื่หนึ่ง”
เฉินเนี้ยนหรานในตอนนี้ฟังแล้วก็สับสนไปหมด “ท่านป้าจะบอกว่า...การแต่งงานของโจวอ้าวเสวียนกับสตรีสกุลหลัวคนนั้น เป็เพราะจวนสกุลหลัวเลือกขอหมั้นด้วยอย่างนั้นหรือเ้าคะ? นี่...ทำไมกัน ได้ยินมาว่าคนในจวนคอยหาสาวใช้คนอื่นๆ เข้าเรือนของโจวอ้าวเสวียนตลอดไม่ใช่หรือเ้าคะ? ดูเหมือนว่า มีทั้งหลานสาวขุนนางเมือง และยังหามาอีกจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะตอนนี้ จากที่ข้าได้ยินมา หลานสาวขุนนางเมืองยังเข้าหาเองเชียวนะเ้าคะ” เฉินเนี้ยนหรานอดยอมรับไม่ได้ว่า ตนเองถูกดึงเข้าไปในเื่ซุบซิบเสียแล้ว
“เอ่อ เ้ารู้ได้อย่างไร?” กวนซูเยวียนถามหลังจากได้สติคืนมา
เฉินเนี้ยนหรานสารภาพออกมา “ครั้งก่อน ข้าเจอกับเฟิงเอ๋อร์ระหว่างทางเ้าค่ะ นางบอกว่านางจะออกไปทำงานด้านนอกแล้ว จึงชวนคุยกันเล็กน้อย ได้ยินนางพูดว่าตอนนี้ในเรือนมีหลานสาวขุนนางอยู่ ทั้งวันเอาแต่เข้าไปตอแยโจวอ้าวเสวียน ฮ่าๆ ตอนนี้ก็ดีแล้ว ที่โจวอ้าวเสวียนไปรับคู่หมั้นในนามมาอยู่ด้วย ทั้งสองคนจะต้องปะทะกันแน่นอนเ้าค่ะ เอ๋ ไม่ใช่พูดว่าบุรุษและสตรีที่หมั้นหมายกัน ก่อนแต่งงานไม่สามารถเจอหน้ากันไม่ใช่หรือเ้าคะ แล้วทำไมสองคนนี้?”
เฉินเนี้ยนหรานถามออกมาด้วยความสงสัย จะต้องรู้ว่าในยุคโบราณ สตรีที่ยังไม่ได้แต่งงาน ถึงแม้จะเป็สตรีที่ยังไม่มีใครมาขอ ก่อนแต่งงานจะไม่ออกมาเจอใครง่ายๆ อย่างเช่น ยามที่ออกมาข้างนอก ก็ทำทรงผมแบบสตรีที่แต่งงานแล้วโดยการรวบไปด้านหลัง จึงจะหลีกเลี่ยงเื่ยุ่งยากมากมายได้
หากแต่งตัวเป็สตรีที่ยังไม่แต่งงาน จะถูกคนพูดถึงได้ง่าย
ช่วยไม่ได้ ในยุคนี้ เป็่ที่จำกัดอิสระของสตรีเพศ
“อืม เป็เช่นนี้ เพราะนิสัยของลูกสาวสกุลหลัวไม่ค่อยจะดีสักเท่าใด จากที่ได้ยินมาว่าร่างกายของฮูหยินหลัวไม่ค่อยจะดี ดังนั้นคุณชายห้าจึงส่งคนไปรับมาที่อำเภอของเรา และเรียกหาหมอหลวงหลิวของโถงกุยชุน หมอหลวงคนนี้เป็หมอหลวงที่มาจากวัง”
“นั่นแสดงว่าคุณชายห้าให้ความสำคัญกับคู่หมั้นของเขามาก”
กวนซูเยวียนกรอกตามองบนใส่นาง “นั่นก็ไม่แน่หรอก ข้าได้ยินมาไม่เหมือนกัน แต่ว่านั่นเป็เื่ของแต่ก่อน ตามที่เขาพูดกัน ความจริงแล้วคุณชายห้าไม่ค่อยชอบแม่นางสกุลหลัวคนนี้เท่าใด อย่างไรก็เป็สตรีที่อ่อนแอจนสามารถตายได้ตลอดเวลา ทั้งยังนิสัยไม่ดี ทั้งเย่อหยิ่ง จากที่ได้ยินมานางเป็คนที่โกรธได้ง่ายมาก แต่ก่อนยามที่คุณชายห้าพูดถึงคนคนนี้บนใบหน้าจะมีความหงุดหงิด แต่ครั้งนี้ไม่รู้เหตุใดจึงได้ยอม”
เฉินเนี้ยนหรานยิ้มเย็น ไม่รับคำ เื่บางเื่ ใครสามารถพูดได้อย่างชัดเจนกันเล่า
โดยเฉพาะใจของบุรุษ นางยิ่งคิดว่าเื่นี้ไม่สามารถใช้เหตุผลปกติมาตัดสินใจได้ แต่พูดตามที่นางเข้าใจโจวอ้าวเสวียน หากสตรีสกุลหลัวเป็อย่างที่กวนซูเยวียนพูด ก็ไม่ทำให้บุรุษนึกชอบจริงๆ นั่นแหละ
“แต่ว่า สกุลหลัวน่ะ เก่งกาจมากโดยแท้ เ้ารู้หรือไม่ ครอบครัวนี้น่ะ...เป็ญาติกับคนที่อยู่ในเมืองหลวง คนคนนั้นเป็ถึงมารดาของกุ้ยเฟยเชียวนะ...มีญาติเช่นนี้...จะมีนิสัยไม่ดีสักหน่อย ก็สามารถเข้าใจได้”
“โอ้ เป็คนที่มีอำนาจมากขนาดนี้” เื่นี้ เกินความคาดหมายของเฉินเนี้ยนหราน นางคิดว่าคนที่มีอำนาจที่ทำให้คนใเช่นนั้น คงมีครอบครัวเป็ขุนนางเมืองระดับหนึ่งสอง ไม่คาดคิดเลยว่านางจะเป็ญาติกับราชวงศ์
“แน่นอน หากไม่ได้มีอำนาจมากขนาดนี้ ในปีนั้นตอนที่เห็นโจวอ้าวเสวียนครั้งแรก นางคงไม่ร้องจะแต่งงานกับเขาให้ได้หรอก ไอ๊หยา ถึงแม้จะบอกว่าคำพูดเด็กนั้นไร้เดียงสา แต่อย่างไร นั่นก็เป็หลานสาวของกุ้ยเฟย หนามแท่งใหญ่ จิ้มเลือกว่าจะให้โจวอ้าวเสวียนเป็สามีในอนาคต จุ๊ๆ...ตอนนั้นมีคนมากมายต่างพูดถึงเื่นี้ มีทั้งคนอิจฉา คนดูถูก เยอะแยะมากมาย”
เฉินเนี้ยนหรานใอีกครั้ง คุณชายห้าโจว เ้าคนดวงความรักกุด ั้แ่เก้าขวบก็มีเสน่ห์ดึงดูดสาวแล้ว แต่ว่าเื่ความรักกลับแสนอาภัพเสียนี่ ไม่พูดไม่ได้เลยว่า ชีวิตของคุณชายห้าทำให้คนทอดถอนใจนักทั้งเป็อะไรที่น้ำเน่ามาก
“ในเมื่อรับสองแม่ลูกนี่มาแล้ว เช่นนั้นการแต่งงานของพวกเขาคงใกล้เข้ามาแล้วสินะ” เฉินเนี้ยนหรานถามออกมาเรียบๆ
“อาจจะ รายละเอียดไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร แต่ข้าได้ยินมาว่า สกุลหลัวคนนี้ เป็คนที่...ร่างกายแย่มาก ถูกหมอพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า นางอาจจะอยู่ได้ไม่ถึงวัยกลางคน ความจริงแล้ว สกุลหลัวส่งลูกสาวออกมาในครั้งนี้ ถือว่าพวกเขารีบร้อนให้แต่งงาน เฮ้อ พูดไปแล้ว คุณชายห้าก็เป็คนที่ชะตาอาภัพนัก คนดีๆ คงไม่หมั้นเช่นนี้หรอก เื่อะไรแย่ๆ มักจะไปลงที่ตัวของเขาเสมอ"