เวลาล่วงเลยไปจนใกล้ยามเย็น แต่ทั้งสามก็ยังไม่มีวี่แววจะได้สูตรลับการหมักสุราดังที่ตั้งใจเอาไว้
จ้าวเหม่ยหลินจึงเริ่มเข้าใจเหตุผลแล้วว่าทำไมกงเจวี๋ยถึงแวะเวียนมาที่หอเมิ่งฮวาบ่อยครั้ง
จ้าวเหม่ยหลินเหลือบมองกงซุนที่เมาจนฟุบหลับไปบนโต๊ะไม้ ดูท่าร่างกายของชายหนุ่มจะรับไม่ไหวแล้ว ทว่ากงเจวี๋ยกลับยังคงมีสติครบถ้วน
“ท่านดื่มไปมากเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่เมาเสียที” นางเอ่ยถาม พลางพยายามประคองดวงตาตัวเองไม่ให้หลับ
กงเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นมองคนตัวเล็กอยู่ครู่หนึ่ง ั์ตาฉายแววครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอื้อมมือลงไปใต้โต๊ะแล้วหยิบถ้วยน้ำสีขาวขึ้นมาวางไว้ตรงหน้า
“ข้าแอบเทสุราทิ้ง” กงเจวี๋ยยิ้มบาง “หากพวกเราทั้งสามคนเมาหมดสติไปเหมือนกงซุน คนที่จวนคงออกตามหากันให้วุ่น”
“ข้าเข้าใจ” จ้าวเหม่ยหลินเม้มปากแน่น ก่อนพยักหน้ารับเบาๆ ท่าทางของร่างเล็กดูประหม่าเสียจนคล้ายตุ๊กตาที่ถูกสะกิด
กงเจวี๋ยหลุดหัวเราะออกมาในลำคอ สีหน้าเ้าเล่ห์ปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยน “อีกอย่างข้าตั้งใจจะไปส่งเ้าั้แ่แรกแล้ว” ร่างสูงเอ่ย
จ้าวเหม่ยหลินชะงักไปเล็กน้อย มองชายหนุ่มด้วยแววตาประหลาดใจ ปากนางอ้าค้างเหมือนจะเอ่ยอะไร แต่กลับไม่มีเสียงหลุดออกมา
ั้แ่เด็ก จ้าวเหม่ยหลินไม่เคยมีใครแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้มาก่อน ถ้อยคำของกงเจวี๋ยฟังดูเรียบง่าย แต่กลับสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ให้นาง คล้ายทั้งตื่นเต้นทั้งประหม่า
“ขะ…ข้าไม่ได้อยากให้ท่านไปส่งเสียหน่อย” ร่างเล็กบ่นพึมพำเบาๆ
“จริงหรือ” สายตาของกงเจวี๋ยยังคงมองจ้าวเหม่ยหลิน เขาเว้นจังหวะกล่าวต่อ “เช่นนั้น ข้าขอตัวกลับก่อน”
กงเจวี๋ยลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะทำท่าทีก้าวออกจากห้อง ทว่าชายหนุ่มกลับจงใจให้ฝีเท้าก้าวเดินอย่างเชื่องช้าเป็เชิงกำลังหยอกเย้า
กงเจวี๋ยรู้ดีจ้าวเหม่ยหลินจะต้องรั้งเขาไว้แน่นอน
ถึงอย่างไรจ้าวเหม่ยหลินก็ดื่มมากจนหน้าขึ้นสี ร่างกายก็เอนเอียงคล้ายจะล้ม สภาพนางในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับกงซุนนัก กงเจวี๋ยย่อมไม่ปล่อยให้นางกลับจวนตามลำพังแน่
“เดี๋ยวก่อน” จ้าวเหม่ยหลินเอ่ย ขณะที่สายตามองแผ่นหลังกว้างของกงเจวี๋ยด้วยความลังเล
ร่างสูงหยุดฝีเท้าทันที แล้วหันกลับมามองหญิงสาวพร้อมรอยยิ้มมุมปาก “มีอะไรหรือ” น้ำเสียงเรียบนิ่ง ั์ตาเจือความใสซื่อ
“ชะ…ช่วยพยุงข้าที” จ้าวเหม่ยหลินเอ่ยเสียงเบา เบือนสายตาหลบเลี่ยงสายตาของอีกฝ่าย
เดิมทีนางตั้งใจจะกลับจวนเอง แต่พอลองลุกขึ้นยืนกลับรู้สึกว่าโลกทั้งใบเริ่มหมุน จนต้องรีบทรุดตัวลงนั่งอย่างเดิม จำใจยอมรับตนเองเมาหนักเกินกว่าจะฝืนเดินกลับจวน
กงเจวี๋ยไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงเดินเข้ามาใกล้คนตัวเล็ก แล้วยื่นมือตัวเองออกไปตรงหน้าจ้าวเหม่ยหลิน
“มือของท่าน…ยามเช้าน่ะหรือ” จ้าวเหม่ยหลินเอ่ย พลางชี้นิ้วไปที่มือของชายหนุ่ม ก่อนเลื่อนสายตาลงต่ำเป็เชิงหยอกล้อกลับ
กงเจวี๋ยหัวเราะในลำคอ จากนั้นจึงหันไปเช็ดมือกับชายเสื้อคลุมของกงซุนที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ แล้วจึงยื่นมือให้จ้าวเหม่ยหลินอีกครั้ง
จ้าวเหม่ยหลินมองมือของกงเจวี๋ยที่ยื่นมาตรงหน้า ก่อนจะวางมือของตัวเองลงบนฝ่ามือของอีกฝ่าย
กงเจวี๋ยจับมือของร่างเล็กไว้มั่น แล้วออกแรงดึงเบาๆเพื่อพยุงให้นางลุกขึ้นยืน
ทั้งสองเดินมาถึงหน้าประตูใหญ่ของหอเมิ่งฮวาแล้ว กงเจวี๋ยหันไปบอกกับผู้ดูแลยังมีคนอยู่ในห้องยี่สิบเอ็ด และคนนั้นเป็ผู้รับผิดชอบค่าเหล้าทั้งหมดของวันนี้
จากนั้นชายหนุ่มก็พยุงจ้าวเหม่ยหลินออกจากหอ ทว่าพอเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว ร่างเล็กก็เริ่มเซจะล้มอยู่รอมร่อ
กงเจวี๋ยจึงหยุดฝีเท้าเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เ้าคงเดินไม่ไหวแล้ว” พูดจบชายหนุ่มก็ย่อตัวหันหลังให้ “ขึ้นมาเถิด ข้าจะพาเ้ากลับจวนเอง”
จ้าวเหม่ยหลินในสภาพเมาจนหัวหมุนลังเลเพียงครู่ ก่อนจะยอมปีนขึ้นหลังองค์ชายน้อยอย่างจำยอม “ข้าไม่ได้อยากให้ท่านแบกหรอกนะ…แค่ขาไม่ให้ความร่วมมือก็เท่านั้น”
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ทั้งสองก็มาถึงจวนรองเสนาบดีคลังแล้ว จ้าวเหม่ยหลินจึงกระซิบบอกให้กงเจวี๋ยพาอ้อมไปยังประตูด้านหลัง
เพราะถ้าหากมีผู้ใดเห็นเข้าคงเป็เื่ใหญ่ องค์ชายน้อยผู้สูงศักดิ์แบกคุณหนูใหญ่จ้าวกลับจวนคงดูไม่เหมาะสม
กงเจวี๋ยพยักหน้ารับแบกร่างเล็กไปยังประตูด้านหลังตามที่นางบอก และค่อยวางจ้าวเหม่ยหลินลงอย่างเบามือ
ทว่าในจังหวะนั้นเองประตูกลับถูกผลักเปิดออกกะทันหัน เผยให้เห็นจ้าวซ่งจื่อและซูจินที่กำลังเดินออกมา
จ้าวเหม่ยหลินถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะแสร้งโค้งคารวะกงเจวี๋ยเป็เชิงรักษาภาพลักษณ์ แล้วตั้งใจจะเดินเข้าจวนโดยไม่กล่าวอะไร
ทว่าข้อมือของนางกลับถูกจ้าวซ่งจื่อคว้าไว้แน่น
“ดึกดื่นป่านนี้ เ้าออกไปกับบุรุษเพียงลำพัง เ้ายังเห็นว่าถูกต้องอยู่อีกหรือ?” จ้าวซ่งจื่อกล่าวเสียงเข้ม แต่พยายามกดกลั้นอารมณ์โกรธไม่ให้ะเิออกมา
“ไม่เกี่ยวกับท่าน” จ้าวเหม่ยหลินสะบัดมือของเขาออกเต็มแรง น้ำเสียงไม่หลงเหลือความเกรงใจแม้แต่น้อย
ซูจินที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นดังนั้นก็รีบเข้ามาพยุงผู้เป็นายไว้ด้วยสีหน้ากังวล แล้วกล่าวกระซิบบอกว่าจ้าวเหม่ยหลินออกจวนไปนาน นางเป็ห่วง จึงได้บอกคุณชายใหญ่ให้มาช่วยตามหา
จ้าวเหม่ยหลินเพียงพยักหน้าเข้าใจ
ส่วนกงเจวี๋ยไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว เพียงยกยิ้มมุมปากเย้ยหยันบุรุษตรงหน้า แล้วหันหลังเดินจากไป
จ้าวซ่งจื่อที่ไม่รู้จะระบายอารมณ์เช่นไร ได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปคว้ากระถางต้นไม้ใกล้ตัว ยกขึ้นแล้วเหวี่ยงลงกับพื้นอย่างแรงจนแตกกระจาย
ยังไม่พอกระถางที่สองสามและสี่ก็ตามมาในเวลาไม่นาน เศษดินและเศษกระเบื้องกระจัดกระจายเต็มพื้น
จ้าวซ่งจื่อหอบหายใจแรง น้ำตาคลอจ้องมองเศษซากตรงหน้าอย่างเหม่อลอย ชายหนุ่มเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองเผลอแสดงความอ่อนแอออกมา
หากจะให้ยอมรับสถานะพี่ชายของตนเองต่อจ้าวเหม่ยหลินคงเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้
หัวใจของจ้าวซ่งจื่อไม่เคยมองจ้าวเหม่ยหลินในฐานะน้องสาวั้แ่ต้น