ผู้คนนัดพบกันหลังพระอาทิตย์ตกดิน ยามที่พระจันทร์ลอยสูงเหนือทิวต้นหลิว
ดวงจันทร์ดวงโตลอยเด่นอยู่เหนือแม่น้ำท่ามกลางหมู่ไม้
ความมืดแผ่เข้าปกคลุม
ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับ
ในวังหลวงก็เป็เช่นนี้
ทว่าวันนี้ฮองเฮานับว่ากระฉับกระเฉงขึ้นมาสักหน่อย
องค์หญิงน้อยสลบไสลไปเสียหลายวัน โคมไฟในวังหลวงจึงดูเดียวดายขึ้นมา
ไม่มีใครกล้าจุดโคมขึ้นสุ่มสี่สุ่มห้า กระทั่งสายลมก็ยังหวังว่ามันจะไม่พัดมา
ด้วยกลัวว่าฮองเฮาจะทอดพระเนตรเห็นเปลวไฟที่สั่นไหวแล้วจะอารมณ์ไม่ดี
หลายวันมานี้เหล่านางกำนัลและขันที ล้วนแต่ต้องอยู่กันอย่างอกสั่นขวัญแขวน เพียงเกิดความผิดพลาดเล็กน้อย ก็สามารถถูกลากออกไปปะาได้ทันที
ฮองเฮาจ้าวไม่อาจรักษาชื่อเสียงแห่งความเมตตาของตนเหมือนในวันวานได้อีกต่อไป
บัวหิมะที่ตุ๋นมาถึงหนึ่งวันเต็มๆ จนกลีบของมันใสจนแทบจะโปร่งแสง บัดนี้ใส่ไว้ในถ้วยลายครามให้ฮองเฮาจ้าวได้สามารถป้อนให้องค์หญิงน้อยเสวย
แต่ละคำใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นฮองเฮาจ้าวก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดรอยเลอะให้เรียบร้อย
องค์หญิงน้อยรู้สึกว่านางหิวเหลือเกิน ทว่านางเองก็รู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ หากกินมากไปก็ย่อมไม่ดีกับร่างกาย
ทว่าเมื่อได้เห็นเสด็จแม่ลงมือป้อนนางด้วยพระองค์เองเช่นนี้ก็รู้สึกซึ้งใจเหลือเกิน
“เสด็จแม่ ให้ตงฉือทำแทนเถิดเพคะ”
ฮองเฮาจ้าวในยามปกติออกแรงน้อยนัก เมื่อต้องถือถ้วยใบหนึ่งเอาไว้ในมือนานๆ ก็เริ่มจะรู้สึกเมื่อย ทว่านางก็ไม่อยากให้คนอื่นมาทำหน้าที่นี้แทนตน
“ไม่ต้องหรอก แม่ได้เห็นเ้าตื่นขึ้นมาเช่นนี้ก็สบายใจแล้ว ไม่ว่าจะให้ข้าทำอะไร ข้าก็ยอมทั้งนั้น” รอยยิ้มเปี่ยมเมตตาของฮองเฮาเ้าพลันปรากฏขึ้น
อีเหรินได้ยินเช่นนั้นก็ซาบซึ้ง จากอายุของเสด็จแม่แล้ว ยามที่นางยังอยู่ที่นั่น ยังนับว่าเป็ลูกสาวยอดดวงใจของพ่อแม่อยู่เลยด้วยซ้ำ ทว่ายามอยู่ที่นี่กลับเริ่มจะดูชราเสียแล้ว ทั้งหางตาก็เริ่มจะปรากฏริ้วรอยจางๆ
่ที่นางสลบไป เสด็จแม่ต้องลำบากมากเป็แน่ แต่ไหนแต่ไรมาเสด็จแม่ของนางเคร่งครัดในกฎระเบียบนัก ทว่าบัดนี้กระทั่งคำว่า ‘ข้า’ นางก็ยังกล่าวออกมาแล้ว
“เสด็จพ่อเล่าเพคะ” อีเหรินถามขึ้น
สีหน้าของฮองเฮาจ้าวแข็งค้างไปชั่วขณะ
“เสด็จพ่อของเ้ามีเื่ต้องหารือกับท่านราชครู ยามบ่ายจึงจะเสด็จกลับมา”
องค์หญิงอีไม่ได้ซักไซ้อันใดต่อ แค่ดื่มบัวหิมะตุ๋นต่อเงียบๆ ทว่ามือคู่น้อยกลับยื่นไปกอดเอวของเสด็จแม่ของตนไว้ ร่างน้อยโถมเข้าสู่อ้อมกอดของอีกฝ่าย
นับั้แ่พระธิดายังเล็ก นางก็รู้สึกขัดข้องกับพระธิดาน้อยของตนเสมอมา ความสนิทสนมอบอุ่นระหว่างมารดา และบุตรสาวจึงไม่ค่อยจะมีนัก
ทว่าในยามนี้พระธิดากลับพุ่งเข้ามากอดนางด้วยท่าทีอ่อนแรง นางสะบัดเพียงเบาๆ ก็คงหลุดจากอ้อมกอดนี้ได้ ทว่านางกลับไม่อยากทำเช่นนั้น
นางเองก็ขยับเข้าไปใกล้เช่นกัน
ในตำหนักจ้าวเหอจึงปรากฏภาพมารดา และบุตรสาวกอดกันด้วยความอ่อนโยน
ในตำหนักซีเหอ สตรีผมยาวกำลังกอดหุ่นกระบอกของตนเข้าสู่ห้วงนิทราเช่นกัน
บนูเาหลงยวน สามหนุ่มตระกูลลู่ยังคงรอแล้วรอเล่า นานจนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นเงาของเฉินโย่ว
ฟ้าก็มืดแล้ว แต่เฉินโย่วยังไม่กลับมา
ท่านอาจารย์ไม่ใช่กล่าวว่าวันนี้ไม่ต้องค้างคืนหรอกหรือ
หรือจะมีเื่อันใดเกิดขึ้นกัน
อาลู่รู้สึกว่าน้องสาวของตนช่างไร้เดียงสา เป็ไปได้หรือไม่ว่าจะโดนใครหลอกเข้า
แม่นางหลัวก็เป็กังวลมากเช่นกัน ทว่ายามนี้ไม่ว่าใครก็คิดว่าเฉินโย่วเป็บุตรบุญธรรมปลอมของนาง เช่นนี้หากเป็บุตรแท้ๆ ฮองเฮาจ้าวย่อมไม่กล้าลงมือ อีกทั้งยามนี้องค์หญิงก็ยังไม่ฟื้นคืนสติดีนัก ฮองเฮาจ้าวที่กระทั่งเื่ของตนยังเอาไม่รอดเช่นนี้ ย่อมไม่มีทางจะมาสนใจเฉินโย่ว
เป็ไปได้ว่านางคงจะแอบเที่ยวเล่น เื่นี้นับว่าเป็ไปได้ที่สุด อีกทั้งเ้าเด็กคนนี้ยิ่งนับวันก็จะยิ่งขวัญกล้า
น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีใครให้นางปรึกษาแล้ว เมื่อก่อนไม่ว่ามีเื่อะไรนางก็สามารถปรึกษานายท่านสามได้ ยามนี้เขากลับหายตัวไปเสียแล้ว ความจริงแล้วก็รู้สึกอ้างว้างไม่น้อย กระทั่งท่านราชครูก็ไม่อยู่
“น้าหลัวให้ข้ากับเสี่ยวอู่ลงไปตามหาเฉินโย่วดีกว่า บางทีนางอาจจะมัวโอ้เอ้อยู่ที่ใดก็เป็ได้” ยามที่หลัวอู๋เลี่ยงกำลังเป็กังวลอยู่นั้น อาลู่ก็เข้ามา
อาสวินเดิมทีก็อยากตามไปด้วย ทว่าร่างกายไม่ค่อยจะมีแรง หากเกิดเื่ไม่เพียงแต่จะช่วยพวกเขาไม่ได้ แต่ยังจะเป็ตัวถ่วงอีก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ดื้อดึง
เสี่ยวซีก็อยากไปด้วยเช่นกัน ทว่ากลับโดนท่านลุงฉือขวางไว้ ด้วยเพราะหากเขาตามไปเช่นนี้แล้วเกิดเื่ ชายชราย่อมจะตามไปช่วยไม่ไหว
เพื่อความสะดวกอาลู่จึงสวมเครื่องแบบของสำนักเชิน
ซึ่งก็คือชุดสีดำธรรมดาชุดหนึ่ง
ทว่าปิ่นที่ปักอยู่บนเรือนผมที่รวบเก็บเรียบร้อยแล้วคือเข็มพิษ ในรองเท้าก็มีมีดซ่อนอยู่เล่มหนึ่ง บนร่างยังซ่อนงูพิษและหญ้าพิษที่บดจนกลายเป็ยาพิษแล้ว
ใต้ชุดสีดำยังสวมเกราะอ่อนเอาไว้ ทั้งร่างของเขาล้วนแต่ติดอาวุธครบมือ
ส่วนเสี่ยวอู่สวมชุดธรรมดา เขาไม่ชอบเครื่องแบบของสำนักเชิน มันเรียบร้อยเกินไป ทั้งยังใหญ่ไม่พอ จึงได้สวมชุดที่สวมในวันธรรมดาและแบกลูกเหล็กเอาไว้ดังปกติแทน
เด็กหนุ่มทั้งสองเร่งลงจากูเา
สองข้างทางมีเสียงแซ่กๆๆ ดังมาไม่ขาด เห็นได้ชัดว่าในยามราตรีจะมีงูเพิ่มขึ้น
“เห็นทีจะต้องเริ่มสร้างรถรางแล้ว ไม่เช่นนั้นยามเกิดเื่อะไรขึ้นแล้วเส้นทางยาวไกลเช่นนี้จะไม่ทันการเอา” อาลู่เอ่ยขึ้น
เสี่ยวอู่พยักหน้าเห็นด้วย ในใจไม่ได้กังวลถึงเพียงนั้น
“พี่ลู่ คนในเมืองหลวงล้วนมีแต่ไก่อ่อน ฝีมือของเฉินโย่วก็ใช่ว่าจะเล่นๆ ไป นางย่อมจะต้องไม่เป็อะไรแน่นอน ท่านไม่ต้องกังวลไปหรอก”
อาลู่ทำหน้าคร่ำเคร่ง ส่ายหน้าไปมา “เ้ายังไม่รู้ คนเมืองหลวงร้ายกาจนัก ภายนอกทำเป็อ่อนแอ ความจริงในท้องกลับเต็มไปด้วยเื่ชั่วร้าย เฉินโย่วไร้เดียงสาเพียงนั้น ทั้งยังซื่อตรงว่าง่ายเหลือเกิน ข้ากลัวว่าจะถูกคนชั่วสอนเื่ไม่ดีเข้า เช่นนั้นย่อมอันตราย”
เสี่ยวอู่เมื่อได้ยินพี่ลู่กล่าวเช่นนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง น้องสาวดูเหมือนจะไม่ได้ใสซื่อดังที่พี่ลู่พูด ตลอดทางที่เดินทางมาจากพื้นที่ห่างไกล เหล่าโจรชั่วร้ายที่โดนเฉินโย่วทรมานจนแทบอยู่ไม่สู้ตายไม่รู้ว่ามีกันมากเพียงใด ทว่าสิ่งที่พี่ลู่พูดย่อมจะไม่มีทางผิดพลาด
เสี่ยวอู่จึงพยักหน้า “เช่นนั้นพวกเรารีบลงจากเขาเถิด”
บัดนี้ในหอมู่เหยียนที่จุดโคมจนสว่างโร่ แม่นางกั่วเอ๋อร์เริ่มเมามายแล้วจริงๆ ร่างอ่อนระทวยโถมเข้าสู่อ้อมกอดของเฉินโย่ว ทว่ากลับโดนเฉินโย่วเอี้ยวกายหลบ
โฉมงามหลินกั่วเอ๋อร์ที่งามราวกับปีศาจงู จึงได้แต่นอนแผ่พังพาบไม่ไหวติงอยู่บนเบาะนุ่มเบื้องล่าง
ไม่เพียงแค่หลินกั่วเอ๋อร์ที่แพ้พนันในครานี้ เหล่านางคณิกาคนอื่นๆ ก็แพ้เช่นกัน พวกนางไม่ได้ใส่น้ำลงไปในสุรา ด้วยหวังจากจะเห็นเด็กหนุ่มรูปงามเมามาย ทว่ากลับไม่คิดว่าพวกนางจะแพ้ราบคาบเสียทุกตา ทุกตาจริงๆ…
เริ่มแรกมีเพียงไม่กี่คนที่ล้อมเข้ามาร่วมชมความสนุก ทว่ายามนี้กลับกลายเป็จุดสนใจของทั้งห้องโถงไปแล้ว
ไม่มีใครเคยเห็นเหล่าสตรีในหอมู่เหยียนเสียกิริยามาก่อน
เหล่าโฉมงามดื่มสุรากันจนเมามาย
ผู้คนในโถงมองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่กลางวงแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจในความโชคดีต่อสตรีของเด็กหนุ่ม
ตรงหน้าของเฉินโย่วยังมีสตรีโบกไม้โบกมือ ยืนให้เฉินโย่วทายต่อ
เฉินโย่วได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเสียดาย
“เล่นกันมานานถึงเพียงนี้ ข้ายังไม่ได้ดื่มสุราสักจอกเลย ตานี้หากข้าแพ้ ขอข้าดื่มสุราสักอึกได้หรือไม่”
คนที่อยู่ในโถงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พากันหัวเราะลั่น
กระทั่งท่านจี้จิ่วโหยวที่นั่งอยู่ในมุมหนึ่งของโถงก็พลอยหัวเราะไปด้วย
ท่านอาจารย์จวีจึงได้เอ็ดขึ้น “เ้าเด็กเวรนี่ ช่างน่าขายหน้านัก”
จากนั้นก็เห็นเฉินโย่วจับกาสุราที่เปิดไว้เป็กาแรก พร้อมกับก้มหน้าลงดม ดูแล้วน่าจะได้สติแล้วกระมัง
จากนั้นจึงยกกาสุราขึ้นมาแล้วจรดริมฝีปากคู่งามลงกับกาสุรา ดื่มลงไปอึกหนึ่ง
นางเดินทางผ่านเจียงหูมาตั้งนาน เคยได้ยินเื่ราวมาก็ไม่น้อย ทั้งเ้าเด็กอ้วนที่เอาแต่เกาะติดนางยังชอบเื่เล่าจากเจียงหู วันๆ ก็เอาแต่พูดเื่นี้ นางเดิมทีก็อยากทำตามท่าทางของคนในเื่เล่าของเ้าเด็กอ้วนอยู่แล้ว
ทว่าเหล่าพี่ชายเอาแต่ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ตลอดเวลา นางจึงไม่มีโอกาสทำเช่นนี้สักครา
เฉินโย่วที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะ ยกกาสุราขึ้นกรอกปาก
ท่าทางป่าเถื่อนเช่นนี้ เมื่อเป็นางที่ทำก็ดูแล้วงดงามอย่างประหลาด
เหล่าบุรุษในโถงจึงพากันปรบมือชื่นชม
โชคดีของแคว้นเชิน เดิมทีล้วนแต่รวมกันในวังหลวง
ครอบครัวคนยากจนจะมียอดคน ทั้งยังไม่เพียงเพราะเื่นี้เท่านั้น แต่ยังเป็เพราะต้องยื้อแย่งโชคชะตา
พื้นที่แร้นแค้นโดยปกติแล้วจะมีโชคเบาบางนัก
เฉินโย่วยามอยู่ในพื้นที่ห่างไกลช่างเงียบเชียบ ทว่าเมื่อมาถึงเมืองหลวงกลับมีแต่โชคดี
หากว่ามีคนสามารถมองเห็นโชคดีได้อยู่ที่นี่ บัดนี้ย่อมจะต้องมองเห็นแล้วว่าโชคดีที่เคยไหลบ่าเข้าสู่วังหลวงได้เปลี่ยนทิศทางไหลมาทางหอมู่เหยียนที่เฉินโย่วรั้งอยู่ในขณะนี้ กระทั่งโชคดีที่ถูกกักเอาไว้ในวังหลวงก็ยังรั่วไหลมาที่นี่
“ดื่มสุรา ขับลำนำ เอามาให้ข้าอีกกา”
เหล่าแม่นางในหอมู่เหยียนก็เมามายกันไปแล้วกว่าครึ่ง บัดนี้จึงล้วนแต่ไม่ได้สติ คนที่ยื่นสุราให้เฉินโย่วจึงเป็ชายชราหน้าแหลมคนหนึ่ง
เฉินโย่วเมื่อรับสุรามาแล้ว ก็หัวเราะขึ้น “ท่านทำข้าใแทบแย่”
อาจารย์จวีได้แต่ทำหน้าดำ ในใจคิดว่านี่มันหัวโจกเสียยิ่งกว่าหัวโจก…
เฉินโย่วก้มหน้าลงดมสุราแล้วก็เอ่ยขึ้น “สุรากานี้ดีกว่ากาเมื่อครู่ ขอบคุณท่านผู้เฒ่ามาก”
หลินเฟินเดิมทีก็เริ่มจะเมากรึ่มแล้ว ทว่าเมื่อเห็นชายชราที่มาส่งสุราให้ก็สั่นเทิ้มไปทั้งกาย มารดามันเถิด ชายชราตรงหน้าที่ยื่นสุรามาให้คือท่านจี้จิ่วโหยว…
เฉินโย่วที่ได้ดื่มสุราเข้าไปอีกกา พลันร่ายกลอนขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“ในป่ามีเถาวัลย์ แต่ไร้หยาดน้ำค้าง แม่สาวงามบริสุทธิ์ดั่งต้นหยาง ได้เพียงหนึ่งครา ข้าเฝ้าฝัน
ในป่ามีเถาวัลย์ แต่ไร้หยาดน้ำค้าง แม่สาวงามบริสุทธิ์ดั่งต้นหยาง ได้เพียงหนึ่งครา ข้าอยากเคียงชีวี”
เมื่อนางร้องจบ ชายชราก็ยังคงหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เฉินโย่วจึงได้ผลักเขาออกแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ได้ร้องให้ท่านฟัง ข้าร้องให้เหล่าพี่สาวแสนสวยฟัง”